บทที่ 890 “ญาติเยอะ”

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เด็กชายตัวเล็ก…ไม่สิ เด็กผู้หญิงตัวนี้ หลังจากที่เธอกรีดร้องอยู่หนึ่งนาทีเต็มๆ ก็ถูกหลิงม่อใช้มือปิดปากสนิท และในระหว่างนั้น เสียงครืนๆ ก็ดังขึ้นบนหัวพวกเขาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมีเสียงคำรามแสดงฤทธิ์เดชดังมาด้วย…ปรากฏว่าพวกกระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนต่างพากันเปลี่ยนทิศทางไป แม้แต่เสียงของจอมแล่เนื้อก็ค่อยๆ ห่างออกไปด้วย

“ฉันขอเตือนเธอ…” หลิงม่อเบิกตาจ้องเด็กผู้หญิงตัวน้อย แล้วพูดเสียงเบา “ถ้าเธอกล้าร้องอีกครั้งล่ะก็ ฉันจะ…”

“ฉันไม่กลัวหรอก!” ซอมบี้ตัวน้อยก่นด่าเขาเสียงอู้อี้

“ฉันจะตีก้นเธอแล้วนะ!” หลิงม่อตวาดลั่น

ไม้นี้ได้ผลตามคาด ซอมบี้ตัวน้อยเบิกตากว้างทำท่าครุ่นคิดอยู่สองวินาที แล้วก็หยุดดิ้นทันที ขณะเดียวกันก็พูดเสียงโกรธแค้น “ฉันไม่ร้องแล้ว แต่พี่สาวฉันไม่มีทางปล่อยแกไปแน่!”

“พี่สาวอะไรนะ?” หลิงม่อชะงัก แล้วถามอีกครั้ง

นอกจากคู่ครองและทายาทรุ่นหลังแล้ว เขายังไม่เคยได้ยินว่าในเผ่าพันธุ์ซอมบี้จะมีความสัมพันธ์แบบญาติมิตรกันอยู่ด้วย

ซอมบี้ตัวน้อยฉีกยิ้มชั่วร้าย บอกว่า “กลัวล่ะสิ? พี่สาวฉันร้ายกาจมากนะจะบอกให้!ไอ้กากอย่างแก พี่เขากัดคำเดียวก็ตายแล้ว”

“ในฐานะเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้มีระดับวิวัฒนาการที่ไม่สูงมาก เธอก็ถือว่ามีคลังคำศัพท์สูงไม่เบาเหมือนกันนะ” หลิงม่อพูดอย่างตะลึง

“หึหึ…” ซอมบี้ตัวน้อยหัวเราะ แต่ไม่นานก็ชะงักไป “แกไม่ได้ชมฉันนี่…”

“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ ว่าเธอคิดจะทำอะไรกันแน่?” หลิงม่อฉวยโอกาสกระชากตัวเธอขึ้น และเปลี่ยนเรื่องทันที

เท้าของซอมบี้ตัวน้อยลอยห่างจากพื้น และถูกกดร่างติดกับผนังแน่น จึงทำได้เพียงพยายามขยับร่างกายท่อนบนอย่างยากลำบากแล้วพูดว่า “ฉันจะไปรู้ได้ไง? อีกอย่าง…ทำไมแกถึง…”

“เธอคงอยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นข้างบนนั้นสินะ? น่าเสียดายจริงๆ ฉันเองก็มีตัวช่วยอยู่เหมือนกันนะ” แน่นอนว่าหลิงม่อไม่มีทางอธิบายรายละเอียดอย่างเรื่องที่หุ่นซอมบี้อีกตัวของเขาหาอาวุธลับแบบง่ายเจอจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ตัวเองเข้าล่อสัตว์ประหลาดฝูงนั้นให้ออกไปอีกทางให้เธอฟังอยู่แล้ว หลังจากที่พูดอย่างมีลับลมคมใน เขาก็รีบยิ้มชั่วร้าย บอกว่า “ดังนั้น รีบตอบคำถามมา ไม่รู้งั้นหรอ? เธอคิดว่าฉันจะเชื่อ?”

“ฉันไม่รู้จริงๆ ฉันแค่…”

“ถึงแม้ระดับวิวัฒนาการของเธอจะสูงกว่านาย แต่พฤติกรรมของนายอย่างนี้เรียกได้ว่าเป็นการรังแกเด็กผู้หญิงหรือเปล่า?” ขณะที่ซอมบี้ตัวน้อยกำลังจะหลุดปากบอกความจริง อยู่ๆ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังมาจากส่วนลึกของทางเดิน

หลิงม่อใจหายวาบ รีบหันกลับไปมองในทางเดินทันที

เงาร่างสูงเพรียวเส้นหนึ่งเดินออกมาจากเงามืด เธอก้มหน้าเล็กน้อย จึงทำให้มองเห็นหน้าตาได้ไม่ชัด ในมือของเธอเหมือนกำลังถืออาวุธรูปร่างแปลกๆ ไว้หนึ่งด้าม ไม่รู้เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้วยหรือเปล่า หลิงม่อรู้สึกเหมือนซอมบี้สาวตัวนี้ดูมืดมนและเย็นชามาก ท่าเดินของเธอก็ดูแปลกๆ เหมือนขาข้างหนึ่งของเธอไม่มีแรง จึงต้องค่อยๆ เดินลากขามา

“นี่คือพี่สาวที่เธอบอก?” หลิงม่อถามอย่างระมัดระวัง

ซอมบี้ตัวน้อยลังเลเล็กน้อย เธอพยักหน้าจากนั้นก็รีบส่ายหัวบอกว่า “พี่สาวอีกคน”

“ญาติเยอะจริงๆ เลยนะ” หลิงม่อตะลึง

ทว่าตอนนี้เขาสัมผัสได้รางๆ ว่าตัวเองกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ อย่างน้อยเขาก็มีตัวประกันอยู่ในมือ…และแผนการบางอย่างของอีกฝ่ายก็ถูกเขาทำพังแล้วด้วย ถ้าหากจะพูดถึงช่องโหว่ของเขาในตอนนี้ ก็คือเรื่องที่หุ่นซอมบี้อีกตัวคงทนได้อีกไม่นานนั่นเอง…การอาศัยแค่วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ในนี้นั้นใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนัก และการที่เขาไม่รู้จักสถานที่ดีก็เป็นจุดอ่อนที่อันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ ระหว่างที่ฝูงกระเป๋าเลี้ยงตัวอ่อนพวกนั้นกำลังวิ่งไล่ล่า พวกมันกลับเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ…พวกมันไม่ได้แค่คลานตามพื้นอีกแล้ว แต่กลับปีนขึ้นไปบนผนังและเพดานด้วย

หุ่นซอมบี้เองก็ลำบากมากเหมือนกัน!

“นายจะปล่อยเธอหรอ?” ซอมบี้สาวหยุดยืนท่าแปลกๆ อยู่ในจุดที่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร ร่างกายซีกหนึ่งของเธอโน้มมาข้างหน้า แขนสองข้างห้อยข้างลำตัว ศีรษะยังคงก้มลงพื้นอยู่อย่างนั้น แม้แต่เสียงพูดของเธอก็ยังแหบแห้งและทุ้มต่ำเล็กน้อย เหมือนกำลังเปล่งเสียงผ่านสิ่งของอะไรบางอย่างออกมา

หลิงม่อคิดว่าแค่เสียงพูดของตัวเองก็แปลกมากแล้ว…ในฐานะหุ่นซอมบี้ที่ไม่เคยไปถึงระดับวิวัฒนาการมาก่อน การจะทำให้เจ้านี่พูดออกมาถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก นั่นไม่ได้เป็นเพราะระบบเปล่งเสียงของมันได้รับผลกระทบมากน้อยเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะกล้ามเนื้อบนใบหน้าของมันยังอยู่ในสภาวะบิดเบี้ยวแปลกๆ ต่างหาก…หลังจากที่ควบคุมหุ่นซอมบี้ในระดับใกล้เคียงกันมาหลายครั้ง หลิงม่อก็ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะหน้าเบี้ยวอย่างนี้ในระดับหนึ่งแล้ว จากที่เขาเห็น มันก็คล้ายๆ กับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฉีดฮอร์โมนนั่นแหละ สิ่งที่มาพร้อมกับการอัพเกรดครั้งใหญ่ของศักยภาพร่างกายรวมถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้น กลับเป็นการสูญเสียสติปัญญาและอาการกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกหรือตาย สรุปก็คือ ผลข้างเคียงล้วนปรากฏอยู่ที่ส่วนศีรษะ…

ทว่าหากเทียบกับเขา ซอมบี้สาวตัวนี้กลับไม่ได้แปลกน้อยไปกว่าเขาเลยซักนิด…

“ถ้าปล่อยฉันตายแน่ ใช่ไหมล่ะ” หลิงม่อพูดขึ้น

ซอมบี้สาวลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “ใช่”

“หึหึ…” ซอมบี้เป็นพวกโกหกไม่เป็นตามคาด

“แล้วทำไมฉันต้องปล่อย?” หลิงม่อถามย้อน

ซอมบี้สาวชะงัก เธอไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน

ขณะเดียวกัน เจ้าซอมบี้ตัวน้อยเริ่มร้องลั่นอีกครั้ง “ไปหาพี่สาว!”

“ป๊าบ!”

ฝ่ามือที่โจมตีเข้ามากะทันหันทำเอาซอมบี้ตัวน้อยหุบปากทันที เธอจ้องหน้าหลิงม่ออย่างตกตะลึง จากนั้นก็ก้มมองก้นตัวเอง…

“อยากคุยกันหน่อยไหม?” หลิงม่อถามซอมบี้สาว

“อะไรนะ?” ซอมบี้สาวหันคอดัง “กร๊อบแกร๊บ” ไปมองซอมบี้ตัวน้อยแวบหนึ่ง แล้วก็อดถามขึ้นไม่ได้

เห็นชัดว่าเธอไม่สามารถตัดสินใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้…ด้านหนึ่งเป็นข้อเสนอจากเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ระดับต่ำที่ดูอ่อนแอมาก แต่ก็ประหลาดมากเช่นกัน ส่วนอีกด้านก็เป็นคำแนะนำจากซอมบี้ตัวน้อยที่เพิ่งตะโกนบอกเธอเมื่อกี้…สุดท้ายเธอก็เลือกข้อแรก

“ที่เป็นสถานที่อะไร? เมื่อกี้น้องสาวของเธอตัวนี้กำลังทำอะไร? แล้วพี่สาวอีกคนคือใคร?” หลิงม่อพ่นคำถามออกไปทีเดียวสามคำถามรวด

“อื้อๆ!” ซอมบี้ตัวน้อยอ้าปากหมายจะพูด แต่ถูกหลิงม่อใช้มือปิดปากทันที

ส่วนซอมบี้สาวตัวนั้นกำลังก้มหน้า เส้นผมที่บดบังอยู่ข้างหน้าสั่นไหวเบาๆ จากนั้นก็ตอบด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ที่นี่หรอ? ที่นี่ก็เป็นแค่สถานที่เพาะเลี้ยงเท่านั้นแหละ…”

………..

“ดูนี่สิ”

บริเวณประตูลิฟท์บานหนึ่ง ซย่าน่ากำลังนั่งยองๆ อยู่บนพื้น และสังเกตคราบเลือดที่อยู่บนนั้นอย่างจริงจัง

บนประตูลิฟท์มีป้าย “1F” ห้อยไว้ ด้านล่างมีหลุมดำที่ดูน่ากลัวและบิดเบี้ยวอยู่ ดูจากทิศทาง ที่นี่อยู่ตรงข้ามกับบันไดหนีไฟที่หลิงม่อเพิ่งเดินผ่านเมื่อกี้พอดี…

หลี่ย่าหลินเดินเข้ามาดูแวบหนึ่ง บอกว่า “ยังใหม่อยู่เลย”

“อืม ระดับเข้มข้นของเชื้อไวรัสก็สูงมาก แต่ก็ยังต่างจากพวกเราอยู่ เพียงแต่กลิ่นนี้ไม่เหมือนซอมบี้บริสุทธิ์เลยนะ แล้วก็ไม่ค่อยเหมือนกับรุ่นพี่ด้วย” ซย่าน่าสูดหายใจ แล้วเงยหน้ามองเข้าไปในลิฟท์

“รอยเลือดไปทางนั้น” หลี่ย่าหลินยื่นมือไปลูบช่องว่างที่บิดเบี้ยวผิดรูปหนึ่งที “อาจเป็นเพราะเบียดตัวเข้าไปไม่ได้ ก็เลยบาดเจ็บ?”

“พูดยาก” ซย่าน่าจับขอบประตูลิฟท์แล้วออกแรง พร้อมกับมองประตูลิฟท์สั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง บอกว่า “ถ้าหากว่าเจ้านี่โง่มาก ก็อาจจะมองข้ามรอยแหวกแหลมๆ พวกนี้ไป แล้วพยายามยัดตัวเองเข้าไปก็ได้ บวกกับรอยเลือดบนพื้น…บ่งบอกว่ามันพยายามอย่างน้อยสองครั้งกว่าจะทำสำเร็จ อ๊ะ จริงๆ ด้วย…ตรงนี้มีหยดเลือดอยู่ ตรงนี้ก็มี”

ขณะที่พูด เธอได้เบี่ยงตัวเดินเข้าไปข้างในแล้ว

“ข้างบนมีรูด้วย! เป็นทางหนีงั้นหรอ?” เสียงของซย่าน่าดังออกมาจากข้างใน แล้วเสียง “ตึง” ก็ดังตามมาเบาๆ เหมือนเธอกำลังปีนขึ้นไปบนรูข้างบนนั้น

“ว๊าว นี่มันอะไรเนี่ย?…รุ่นพี่ ฉันจะขึ้นไปดูหน่อยนะ!”

ส่วนหลี่ย่าหลินที่ยืนอยู่หน้าประตูกำลังจะอ้าปากถาม แต่อยู่ๆ เธอกลับหันขวับมองเข้าไปในส่วนลึกของทางเดิน

“ซย่าน่า มีเสียงอะไรไม่รู้” หลี่ย่าหลินพูดพึมพำ

เธอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว จนกระทั่งแผ่นหลังแนบติดกับช่องประตูลิฟท์ แล้วเธอก็อ้าปากเรียกอีกครั้ง “ซย่าน่า?”

หลายวินาทีต่อมา เธอจ้องเข้าไปในความมืดตรงหน้าอย่างงงงัน เสียง “ตึกตัก” เริ่มดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิดๆ “ฉันจะทำยังไงดี?”

………..

ในอาคารสองชั้นที่ตั้งอยู่ข้างถนน

“สัตว์ประหลาดพวกนั้นเงียบไปอีกแล้ว” อวี่เหวินซวนแหวกม่านหน้าต่างออกดู แล้วพูดขึ้น

แต่อยู่ๆ มู่เฉินที่อยู่ข้างหลังเขากลับถามอย่างสงสัย “บอกมาตามตรง ทำไมนายถึงดึงดันจะตามพวกฉันมาให้ได้?”

“แล้วนายตามมาทำไม?” อวี่เหวินซวนถาม

“ฉันถูกบังคับให้มานี่!” มู่เฉินตอบ และพูดเสริมอย่างเอือมระอา “ก็ครึ่งหนึ่งแหละ…ส่วนอีกครึ่ง เพราะฉันเบื่อมาก ถ้าเขาพาทีมปาฏิหาริย์ออกมา ฉันก็ไม่มีอะไรทำน่ะสิ ดังนั้นในฐานะครูฝึกของทีม ฉันก็เลยตามมาทำหน้าที่ของฉันต่อ”

อวี่เหวินซวนยังคงจ้องออกไปข้างนอก แล้วพยักหน้าบอกโดยไม่หันมามอง “เข้าใจแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือว่างจนไม่มีอะไรทำเลยตามมา…”

“อย่าว่าแต่ฉันเลย! นายเล่า?” มู่เฉินยังคงไล่ถามอย่างไม่ลดละ

เขาแอบเหลือบมองหลิงม่อแวบหนึ่ง พลางลอบคิดในใจว่าถึงเจ้าหมอนี่จะหลับตาอยู่ แต่ก็ต้องกำลังแอบฟังพวกเขาอยู่แน่ๆ…

“แล้วนายว่าแม่สาวผ้าปิดปากตามมาทำไม?” อวี่เหวินซวนถามอีกครั้ง

“ก็ไปถามเธอเองสิ เดี๋ยวก่อน…หรือว่านายมีเหตุผลเดียวกับเธอ?” มู่เฉินอ้าปากค้างทันที เขาย่อมรู้ความหมายที่อวี่เหวินซวนพูดถึงสวี่ซูหานอยู่แล้ว หลายวันมานี้แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออก เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือ เธอเพียงแค่มาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนหลิงม่ออย่างเงียบๆ เท่านั้น และคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหมือนคนโง่ ก็คือหลิงม่อที่นั่งอยู่ในห้องนี้นั่นเอง

มู่เฉินแอบหวังการพูดคุยยามว่างของตัวเองกับอวี่เหวินซวนจะช่วยเตือนหลิงม่อให้รู้ตัวบ้าง ถึงแม้เหตุผลนี้จะฟังไม่ขึ้นนัก แต่ร้ายดีอย่างไรสวี่ซูหานก็เป็นเพื่อนเขา…มีสามคนได้ก็มีสี่คนได้เหมือนกันแหละน่า! มู่เฉินคิดอย่างนี้…

“อุวะฮ่าฮ่าฮ่า…จะเป็นไปได้ไง?” อวี่เหวินซวนจับตามองซอมบี้ข้างล่าง แต่อยู่ๆ สีหน้าของเขากลับดูอ่อนโยนขึ้นมา “แต่ก็มีจุดคล้ายๆ กันอยู่ล่ะมั้ง…ฉันน่ะ อยากฉวยโอกาสนี้ ตามหาคนที่สามารถทำให้ฉันจับตามองได้…อะแฮ่ม แต่โอกาสช่างริบหรี่ซะเหลือเกินน่ะสิ ดังนั้นหลักๆ ฉันก็มาเป็นเพื่อนน้องสาวฉันนี่แหละ! ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะของเขาพลันสะดุดลง พร้อมกับม่านหน้าต่างที่ถูกดึงปิดเข้ากันดัง “ฟืดด”

“เป็นอะไรไป?” มู่เฉินตระหนักได้ถึงความผิดปกติทันที เขารีบถามขึ้นอย่างร้อนลน

อวี่เหวินซวนหันกลับเข้ามาในห้อง แล้วหันไปจ้องหลิงม่อเขม็ง พลางขมวดคิ้วพูดเสียงเบา “มีคนกำลังมองพวกเราอยู่”

—————————————————————————–