ตอนที่ 247 เปลี่ยนยา

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 247 เปลี่ยนยา

หลี่ซื่อนึกแล้วก็ตระหนักว่ายังมิเล่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าเตรียมหาภรรยาเอกให้ท่านโหวออกไปดีกว่า

“ส่วนฝั่งอันหลิงเกอ แม่จัดการนางอย่างไรเจ้ามิจำเป็นต้องสนใจแล้ว”

การจัดการกับอันหลิงเกอเป็นไปได้หรือที่อันหลิงอีมิอยากรู้?

นางดึงแขนเสื้อของมารดาเอาไว้พลางออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ท่านบอกลูกมาเถิดเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อจนใจอย่างยิ่ง นางได้แต่ให้บุตรียื่นใบหูเข้ามาใกล้และกล่าวแผนของตนออกมา

อันหลิงอีฟังจนตาเป็นประกาย จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มชั่วร้าย

“พี่หญิงใหญ่ยังอ่านตำราอยู่หรือ ? วันนี้มิต้องไปที่สำนักหมอหลวงใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

อันหลิงอีเดินเข้ามาในเรือนของอันหลิงเกอ เมื่อเห็นอีกฝ่ายถือตำราไว้ในมือเล่มหนึ่งจึงเอ่ยปากถาม

ปี้จูที่อยู่ด้านข้างจึงกลอกตาใส่ ระหว่างคุณหนูของพวกนางกับอันหลิงอีได้ฉีกหน้ากันไปแล้ว ยังแสร้งทำท่าทีว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อคุณหนูของตนเพื่อเหตุใด

อันหลิงอีมีนิสัยใจร้อน มิเหมือนหลี่ซื่อที่กลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์

ทว่าทักษะการเล่นละครของนางก็นับว่าได้รับการสืบทอดมาจากมารดาโดยแท้จริง

อันหลิงเกอเหลือบตามองนางทีหนึ่งแล้ววางบันทึกประวัติผู้ป่วยของสำนักหมอหลวงไว้บนโต๊ะ “น้องหญิงสามมีเรื่องอันใดมิทราบ ? ”

แม้ใบหน้าประดับรอยยิ้ม แต่คำที่กล่าวออกมาจากปากก็เย็นชาราวกับมิต้อนรับการมาของอีกฝ่าย

อันหลิงอีมาเพราะมีแผนการ ดังนั้นจึงมิได้ถอยเพียงเพราะคำกล่าวเพียงมิกี่คำ อันหลิงอียิ้มและทำทีขยับเข้าไปชิดใกล้อันหลิงเกอ

“พี่หญิงใหญ่ ข้ารู้สึกว่าท่านเชี่ยวชาญการแพทย์ยิ่งนัก ท่านสามารถช่วยราษฎรไว้ได้มากมายถึงเพียงนั้น มิทราบว่าท่านจักสอนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”

เมื่อเห็นอันหลิงเกอเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย อันหลิงอีจึงรีบเอ่ยว่า “มิจำเป็นต้องเก่งมากหรอก ข้าเพียงต้องการเรียนรู้เล็กน้อยก็พอ”

อันหลิงเกอตอบ อืม ทีหนึ่งพลางจ้องอันหลิงอีด้วยดวงตาล้ำลึก “หากน้องหญิงสามอยากเรียนก็ให้หลี่ซื่อเชิญหมอหลวงมาสอนก็ได้แล้ว ข้าเพียงคิดค้นออกมาเรื่อยเปื่อยคงสอนเจ้ามิได้หรอก หากข้าให้เจ้าเรียนรู้มั่ว ๆ แล้วเกิดเรื่องใหญ่ในวันข้างหน้า มันอาจกลับมาเป็นความผิดของข้าก็ได้”

“ข้าว่างจนรู้สึกเบื่อจึงอยากหาอันใดทำบ้าง อีกอย่างข้าก็มิอยากออกไปตรวจโรค ดังนั้นมันมิเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน พี่หญิงใหญ่ก็สอนข้าเถิดเจ้าค่ะ” อันหลิงอีมิยอมถอยและดึงดันที่จักให้อันหลิงเกอตกลงให้ได้

อันหลิงเกอยกยิ้มตรงมุมปาก ท่าทางเหมือนว่ารักใคร่เอ็นดูน้องหญิงคนนี้มาก “หากน้องหญิงสามว่างจนมิมีอันใดทำ ข้าว่าเจ้าไปเรียนกฎระเบียบกับน้องหญิงสองดีหรือไม่ แม่นมที่ท่านย่าเชิญมาเป็นผู้เชี่ยวชาญจากวังและเก่งกว่าแม่นมคนเดิมมากนัก หากเจ้าได้รับการสั่งสอนจากนางคงได้ประโยชน์อย่างยิ่งแน่นอน”

อันหลิงเกอพูดเหมือนหวังดีต่ออันหลิงอี แต่ความจริงกลับเสียดสีความไร้เหตุผลและเอาแต่ใจของนาง คำพูดนี้แม้ฟังดูดีแต่ทำให้อันหลิงอีเสียหน้า

นางมิใช่คนโง่ เหตุใดจักฟังความหมายมิออก ?

แต่พอนึกถึงเรื่องที่มารดามอบหมายให้ทำ นางก็ได้แต่ทำเป็นฟังมิรู้เรื่องแล้วยิ้มออกมาแทน

“พี่หญิงใหญ่สบายใจได้ ท่านแม่ย่อมเชิญแม่นมที่ดีให้แก่ข้าเจ้าค่ะ”

นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย แววตาฉายความเย่อหยิ่งออกมาโดยมิรู้ตัว

หลี่กุ้ยเฟยเป็นท่านน้าของนาง หากนางต้องการแม่นมคนหนึ่ง แค่ขอให้หลี่กุ้ยเฟยเอ่ยปากเพียงคำเดียวก็พอ มิเหมือนอันหลิงเกอที่ต้องนำเรื่องนี้ไปขอร้องไทเฮาเสียก่อน

อันหลิงอีแอบได้ใจอยู่ลึก ๆ และรู้สึกว่าตนอยู่เหนือกว่าอันหลิงเกอเสียที

อันหลิงเกอเห็นท่าทางของอันหลิงอีก็รับคำหน้านิ่ง “เช่นนั้นก็ดี ข้ายังคิดว่าหลี่อี๋เหนียงมิได้ใส่ใจเรื่องการอบรมสั่งสอนน้องหญิงสามเสียอีก”

มิเช่นนั้น คนที่ผ่านการอบรมสั่งสอนมาจักป็นเช่นนี้ได้หรือไร

ทุกถ้อยคำช่างทิ่มแทงอย่างยิ่งจนรอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลิงอีแข็งค้างไป ทั้งที่ในใจเกลียดแทบตายแต่ก็ต้องทนไว้ “ข้ารู้ว่าพี่หญิงใหญ่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”

อันหลิงอีกลอกตาไปมา จากนั้นดวงตากลมโตก็เป็นประกาย “พี่หญิงใหญ่ ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าท่านเคยตรวจอาการให้ไทเฮามาก่อน เป็นเรื่องจริงหรือไม่เจ้าคะ ? ”

“เคยตรวจอาการให้ 2 ครั้ง” อันหลิงเกอมิรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอันใดจึงตอบไปอย่างมิใส่ใจ

ดวงตาของอันหลิงอีสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ท่าทางเหมือนหญิงสาวที่สนใจเรื่องบางอย่าง “เยี่ยงนั้นพี่หญิงใหญ่เคยตรวจอาการให้ท่านย่าหรือไม่ ? ข้าได้ยินว่าทีแรกท่านศึกษาการแพทย์ก็เพราะอยากรักษาท่านย่า แต่พี่หญิงใหญ่เข้าวังไปเป็นหมอหญิงแล้ว มิทราบว่าท่านได้ทำเรื่องเหล่านั้นให้ท่านย่าหรือยังเจ้าคะ”

อันหลิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ฝั่งท่านย่าข้าให้คนส่งน้ำซุปบำรุงไปทุกวัน”

ส่งน้ำซุปบำรุงให้ทุกวัน เช่นนั้นก็ดีมาก!

อันหลิงอียกยิ้มตรงมุมปากแล้วทำท่าทางดีอกดีใจ นางรั้งอันหลิงเกอไว้แล้วถามโน้นถามนี่อยู่ช่วงหนึ่ง พอเห็นสมควรแล้วถึงยอมจากไป

“ท่านแม่ ลูกถามมาชัดเจนแล้วว่าอันหลิงเกอเขียนใบสั่งยาให้คนครัวทำน้ำซุปตามใบสั่งทุกวันเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อมองบุตรีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ “เจ้าได้ถามสูตรยามาให้ชัดเจนหรือไม่ ? ”

“ถามชัดเจนแล้วเจ้าค่ะ ลูกแกล้งทำเป็นถามถึงเรื่องทั่วไป รอจนอันหลิงเกอทนมิไหว พอลูกถามอันใดนางก็ตอบอย่างนั้น ขอเพียงให้ลูกออกไปโดยเร็วที่สุดเจ้าค่ะ”

อันหลิงอีมุ่ยปาก ท่าทางมิชอบใจนัก

อันหลิงเกอมิอยากพบนาง แล้วคิดว่านางอยากพบอันหลิงเกอนักหรือ ?

หลี่ซื่อได้ยินบุตรีท่องสูตรยาออกมาจึงปรบมือให้พร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื้นตัน “อีเอ๋อ เรื่องที่เหลือก็ให้แม่จัดการเอง”

นางคาดเอาไว้มิผิด ใบสั่งยาที่อันหลิงเกอเขียนออกมามีเปลือกส้มอยู่จริง ๆ

ในปีนั้น ตอนที่นางพักอยู่ที่เรือนตระกูลหลี่ยังเป็นแค่ตระกูลที่ยากจนในเมืองจิง บิดาของนางแม้เป็นขุนนางขั้นหก แต่ทำงานประจำอยู่ในพื้นที่ห่างไกลมาก แม้นับว่าพอมีอำนาจแต่ก็มิได้สูงอันใด เบี้ยหวัดทุกเดือนเพียงพอแค่เลี้ยงสมาชิกในครอบครัวเท่านั้น อีกทั้งยังต้องให้มารดาของนางรักษาโรคจึงมิได้มีเงินเก็บอันใด

ตอนนั้นนางต้องต้มยาให้มารดาทุกวันจึงจำกลิ่นยาสองสามตัวได้ซึ่งนางจำได้ดีที่สุดก็คือเปลือกส้มราคาแพง

ครั้งหนึ่งนางไปซื้อยาในร้าน ได้กลิ่นยาชนิดหนึ่งในร้านซึ่งคล้ายคลึงกับเปลือกส้มมากนัก ทว่าราคาถูกกว่ามิน้อย

ตอนนั้นนางมิได้คิดอันใดมากจึงซื้อยานั้นกลับมาแล้วใช้ต้มแทนเปลือกส้มจนเกือบทำให้มารดาเสียชีวิต

ตั้งแต่นั้นมาหลี่ซื่อถึงได้รู้ว่ามียาตัวหนึ่งที่ชื่อว่าขมิ้น มันมีความคล้ายกับเปลือกส้มมาก แต่หากใช้มิถูกต้องก็สามารถทำให้คนตายได้

เรื่องเช่นนี้น้อยจักรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันหลิงเกอที่เรียนเกี่ยวกับยาเพียงผิวเผินต้องแยกแยะตัวยาสมุนไพรที่คล้ายคลึงกันมิออกแน่นอน

ตอนนี้ใบสั่งยาของอันหลิงเกอมีเปลือกส้มพอดีจึงเป็นโอกาสมิใช่หรือ นางสามารถทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตายโดยมิรู้ตัวได้ อีกทั้งยังสามารถโยนความผิดให้อันหลิงเกอได้ด้วย หากต้องแบกรับโทษสังหารท่านย่าของตน ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าหวังว่าจักได้โงหัวขึ้นมาอีกเลย!

ยิงธนูดอกเดียวได้นกถึงสองตัว!