เด็กน้อยช่างมีความรู้สึกไวจริงๆ!
คราวก่อนตอนที่เขาไปจิงเฉิงนั้นเพื่อเรื่องแต่งงานของเด็กน้อยแล้วจึงไปขอร้องหยวนเปี๋ยอวิ๋น หยวนเปี๋ยอวิ๋นหัวเราะเยาะเขาว่าวันๆ เอาแต่ยุ่งกับเรื่องจุกจิกน่าเบื่อเหล่านี้ ว่าเขาว่า ประการแรกมิได้กระทำความผิดละเมิดกฎหมาย ประการที่สองมิได้ใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้น้อย ประการที่สามมิได้เที่ยวหอนางโลมแต่อย่างใด ช่างเป็นขุนนางที่ไม่เหมือนขุนนาง และเป็นลูกขุนนางที่ไม่เหมือนลูกขุนนางเอาเสียเลย จะสอบเอายศจิ้นซื่อยศหนึ่งไปทำไมเล่า
เฉิงฉือคิดว่าตนไม่ได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ แต่ปรากฏว่าเขากลับจดจำได้ทุกคำมาตลอด ซ้ำยังพูดออกมาด้วยท่าทีเย้ยหยันอีกด้วย!
เขาส่ายศีรษะเบาๆ พลางกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่เห็นด้วยว่า “ต่อให้มีคนมาว่าข้า นั่นก็เป็นการว่าข้าลับหลัง ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
จริงด้วย!
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อ พลางกล่าวว่า “เรื่องที่ข้าได้ยินเกี่ยวกับท่านน้าฉือล้วนเป็นการยกย่องชื่นชมทั้งสิ้น ท่านน้าฉือวางใจได้เลยเจ้าค่ะ”
ไม่คาดคิดว่าเด็กน้อยจะปลอบโยนเขาเป็นด้วย!
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าๆ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าเมืองอู๋ก็แล้วกัน ต่อให้เขาดิ้นรนอย่างไร ก็เปลี่ยนผลลัพธ์ไม่ได้หรอก”
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “ถ้าหากเขาป่าวประกาศไปทั่วทุกหนทุกแห่ง…”
เฉิงฉือตัดบทคำพูดของนาง แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “บิดาของเขาจากไปนานแล้ว ส่วนเขาก็เติบโตขึ้นมาโดยการพึ่งพาอาศัยซอยจิ่วหรู สำนักศึกษาของตระกูลเฉิงไม่ได้เก็บค่าเล่าเรียนจากเขา ทั้งยังให้การสนับสนุนช่วยเหลือให้เขาได้ศึกษาเล่าเรียนมาตลอดจนได้เป็นซิ่วไฉ หากว่าเขาเป็นสุนัขที่ร้อนรนแล้วกระโจนข้ามกำแพงออกไปเห่าหอนข้างนอก เป็นเขาที่มีเหตุผลหรือเป็นตระกูลเฉิงของพวกเราที่มีเหตุผลกันเล่า ถึงเวลานั้นข้าเพียงปิดปากเงียบ ผู้คนก็จะคาดเดากันไปต่างๆ นานาเอง คนหนึ่งถูกริบยศซิ่วไฉไป ส่วนอีกคนมียศเป็นจิ้นซื่อ เจ้าว่าทุกคนจะเชื่อใครมากกว่ากัน นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมเจ้าเมืองอู๋กับหลินเจี้ยวอวี้ถึงกล้าตกคำรับปากข้า…
…ในเมื่อเขาได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเฉิงแล้ว ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนคืนมาด้วย!”
เพียงแต่เฉิงลู่คงจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมายถึงเพียงนี้ก็เท่านั้น!
ในใจของโจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับเมฆดำทะมึนได้มลายหายไป และพลันสดใสขึ้นมาในทันใดก็ไม่ปาน
นางยิ้มร่าพลางพยักหน้าน้อยๆ กล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านน้าฉือ ท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าค่ะ! ก่อนหน้านี้ข้ายังกังวลอยู่ว่าเฉิงลู่จะใช้อุบายต่ำช้ามาคิดบัญชีกับท่าน”
ดวงหน้าพริ้มเพราดั่งดอกไม้แย้มบานยามวสันต์ ช่างสดใสและงดงามยิ่ง
เฉิงฉือเห็นแล้วก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หรือว่าก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เด็กน้อยถึงได้ลังเล ไม่มาหาเขาเสียที?
เขากล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ต่อไปอย่าได้คิดเป็นกังวลอยู่คนเดียว มีเรื่องอะไรก็มาหาน้าฉือ เข้าใจหรือไม่”
โจวเสาจิ่นขานรับอย่างว่าง่าย แล้วถามถึงเรื่องการเดินทางครั้งนี้ของเฉิงฉือ
เฉิงฉือเดินทางไปไหวอันอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้ทั้งรีบเร่งกว่าทุกที แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าเป็นพิเศษด้วย เขาจึงหยิบยกเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติของไหวอันมาเล่าให้โจวเสาจิ่นฟัง
โจวเสาจิ่นตั้งอกตั้งใจฟังยิ่ง ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นจ้องมองเขาไม่กะพริบ ประหนึ่งสัตว์ตัวน้อยที่อยากรู้อยากเห็นก็ไม่ปาน
จู่ๆ เฉิงฉือก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาในทันใด
คล้ายกับในช่วงปีใหม่ยามที่ผู้ใหญ่เห็นเด็กๆ แต่ไม่มีเงินแต๊ะเอียมอบให้อย่างไรอย่างนั้น
เขากวาดสายตาที่ไปชั้นวางของล้ำค่าที่เขาเก็บของขวัญต่างๆ เอาไว้ แล้วก็ตวัดมองไปที่ลูกคิดที่เขาเพิ่งใช้คำนวณไปเมื่อครู่
จู่ๆ เฉิงฉือก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
ไฉนถึงลืมของชิ้นนั้นไปได้เล่า
ขณะที่เขาสนทนากับโจวเสาจิ่น ก็หยิบลูกคิดทองคำขนาดเล็กรางหนึ่งออกมาจากลิ้นชักมอบให้นาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนที่กลับมาเร่งรีบเกินไป จึงไม่ทันได้ซื้อของอะไรมาฝากเจ้า ลูกคิดทองคำรางนี้เดิมทีเป็นของที่ข้าตั้งใจจะมอบให้ผู้อื่น ต่อมามีของขวัญที่ดีกว่า จึงเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ เจ้าเอาไปเล่นก็แล้วกัน!”
ลูกคิดทองคำรางนั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือ ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างประณีตยิ่ง ไข่มุกแต่ละเม็ดล้วนดีดได้หมดทุกเม็ด นอกจากนั้นยังเป็นของที่แข็งแรงมีน้ำหนัก เสมือนลูกคิดของจริงไม่มีผิด ที่มุมหนึ่งของลูกคิดยังผูกพู่สีแดงสดยาวกว่าหนึ่งฉื่อเอาไว้อีกด้วย งดงามยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
อีกทั้งพอเห็นว่าเฉิงฉือหยิบออกมาจากลิ้นชักโดยไม่ได้ใส่ใจนัก รู้ว่ามิใช่ของขวัญล้ำค่าอะไรเป็นพิเศษสำหรับเฉิงฉือ จึงอดกล่าวยิ้มๆ ขึ้นมาไม่ได้ว่า “ที่แท้ในห้องของท่านน้าฉือยังซุกซ่อนของชั้นดีเช่นนี้เอาไว้อยู่ เสียดายที่ไม่เอาออกมาให้เร็วกว่านี้ หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าก็ไม่ต้องสั่งทำเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นเป็นของขวัญแต่งงานให้พี่สาวเจียแล้ว เพียงมอบลูกคิดนี้ให้ก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเห็นนางรับของไปอย่างยินดี อารมณ์ก็ดียิ่ง ยิ้มพลางถามขึ้นว่า “เสียเงินไปเท่าไรหรือ”
โจวเสาจิ่นหยอกเล่นกับเขา บุ้ยปากกล่าวว่า “เสียไปทั้งหมดห้าสิบเหลี่ยงเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือยกยิ้มบางเบา พลางถามว่า “เงินขาดมือหรือ”
“มีใครที่เงินไม่ขาดมือบ้างเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นบ่นกับเฉิงฉืออย่างทีเล่นทีจริง “คนเราเมื่อมีเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากเงินก็อยากจะได้อันที่ทำจากทอง พอมีเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากทองก็อยากจะได้อันที่ฝังอัญมณีล้ำค่า… บ่าวหญิงสูงวัยที่กวาดลานบ้านเงินขาดมือฉันใด ข้าก็เงินขาดมือฉันนั้นเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือหัวเราะร่า
โจวเสาจิ่นย่นจมูก
ตั้งแต่ตกรางวัลให้ฝานฉีไป นางก็รู้สึกว่าตนเองหายใจหายคอได้ไม่สะดวกมาโดยตลอด เป็นเพราะเงินขาดมือจริงๆ
แต่เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องบอกท่านน้าฉือ หลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านน้าฉือเข้าใจผิดคิดว่าตนมาร้องไห้โอดครวญเรื่องเงินทองกับเขา
ไม่ว่าจะเป็นโจวเจิ้นก็ดี หรือหลี่ซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงของโจวเสาจิ่นก็ดี ล้วนไม่มีทางหักเงินของโจวเสาจิ่นไปอย่างแน่นอน
แต่ด้วยทรัพย์สินเงินทองของโจวเจิ้นนั้น โจวเสาจิ่นอยากจะใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุหร่ายก็คงเป็นไปไม่ได้
ทว่าในสายตาของเฉิงฉือ ขอเพียงเป็นเรื่องเงิน ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องอะไร
เขาครุ่นคิดแล้ว หมุนกายไปหยิบถุงเงินสีน้ำเงินไพลินขนาดเท่าฝ่ามือที่มัดปากถุงไว้แน่นถุงหนึ่งจากตู้ไม้ที่เก็บของล้ำค่ามามอบให้โจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “เก็บไว้ให้ดี อย่าทำหล่นหายที่ไหน”
“นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นยื่นมือออกไปรับ
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น
โจวเสาจิ่นยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประคองรับ เฉิงฉือถึงได้วางถุงเงินนั้นลงบนมือของนาง
ถุงเงินนั้นค่อนข้างหนัก แม้ว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่โจวเสาจิ่นก็ยังซวนเซไปข้างหนึ่ง จนเกือบจะทำถุงเงินนั้นตกพื้นเสียแล้ว
“นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นวางถุงเงินใบเล็กนั้นลงบนโต๊ะน้ำชา แล้วเปิดดู ไม่คาดคิดว่าในถุงจะเต็มไปด้วยก้อนทองเท่าเมล็ดถั่วเขียว
ไม่ใช่ เรียกว่าก้อนทองเมล็ดถั่วเขียวคงไม่ถูกต้องนัก
ควรจะบอกว่าในถุงเต็มไปด้วยก้อนทองเมล็ดถั่วแดงเสียมากกว่า
ขนาดและรูปร่างเท่าถั่วแดงของจริง เมื่อถือในมือก็รู้สึกหนัก ทั้งหมดล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉืออย่างตะลึงงัน
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นของเอาไว้ใช้สำหรับตกรางวัลให้ผู้คนในช่วงปีใหม่ แต่ใช้ไม่หมด เลยมอบให้เจ้า”
โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งตัวโหยง
ก้อนทองเมล็ดถั่วแดงเต็มถุงหนึ่งถุง อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีค่าหลายพันเหลี่ยง
นางไม่อยากจะรับเอาไว้เลย แต่ก็ไม่อยากทำให้ตัวเองดูเหมือนเป็นคนที่มีโลกทัศน์คับแคบ จึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านให้ข้าสักสองเม็ดก็พอเจ้าค่ะ ก้อนทองเมล็ดถั่วแดงมากมายขนาดนี้ หากข้าเก็บเอาไว้ในห้องยังต้องคอยระวังหัวขโมยอีกนะเจ้าคะ!”
แทนที่จะบอกว่าเฉิงฉือต้องการมอบก้อนทองเมล็ดถั่วแดงให้นาง น่าจะต้องบอกว่าเพราะต้องการลบล้างความรู้สึกผิดที่นางไม่ได้รับของขวัญจะดีกว่า จึงกล่าวยิ้มๆ ไปว่า “แล้วเก็บเอาไว้ที่ข้าจะไม่ถูกหัวขโมยคอยจับจ้องหรืออย่างไร มอบให้เจ้าเจ้าก็เก็บไว้ให้ดีก็แล้วกัน! เวลาขาดเหลือเงินก็ให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินหรือเหรียญทองแดงมาให้เจ้าก็ได้ เวลาผู้ใหญ่ให้ของ เด็กไม่ควรปฏิเสธ!”
โจวเสาจิ่นชื่นชอบก้อนทองเมล็ดถั่วแดงถุงนี้มาก
แม้แต่ขั้วเมล็ดของถั่วที่อยู่ตรงกลางนั้นก็ยังมีแต่งแต้มเอาไว้ด้วย ดูสมจริงยิ่งนัก
เมื่อวางเอาไว้เมล็ดเดียวโดดๆ ก็เพียงรู้สึกว่าวิจิตรงดงาม แต่พอวางทั้งหมดรวมกันแล้ว ก็ทอแสงทองอร่าม พราวตายิ่ง
นับเป็นครั้งแรกที่นางรู้ว่าก้อนทองนำมาใช้เช่นนี้ได้… นึกถึงก้อนทองเหล่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้นาง… โจวเสาจิ่นก็สงบลงมา ยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะรับเอาไว้” แล้วกล่าวอีกว่า “ขอบคุณท่านน้าฉือเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ!”
เลวร้ายที่สุดก็ทำเช่นเดียวกับที่ตอบแทนเฉิงเจีย ตอนที่ท่านน้าฉือแต่งงานก็ตระเตรียมของขวัญที่มีค่าเท่ากันมามอบคืนให้ท่านน้าฉือไปก็แล้วกัน
อารมณ์ของโจวเสาจิ่นหดหู่ลงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปข้างหลัง
เมื่อคิดได้ว่าก้อนทองเหล่านี้เป็นของที่เฉิงฉือมอบให้ ทั้งยังมีขนาดเล็ก คงไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นฉวยโอกาสแอบหยิบไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงถามว่า “ทั้งหมดมีกี่เม็ดเจ้าคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน!” เฉิงฉือยิ้มตอบ “ตอนนั้นหยิบไปโดยไม่ได้ใส่ใจนัก หรือไม่เจ้าก็ลองนับดู”
อย่างไรก็ว่างไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จะได้รั้งอยู่ที่นี่ต่อไป
โจวเสาจิ่นดีใจอย่างเหลือล้น วิ่งไปนั่งบนตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ข้างๆ แล้วเทก้อนทองเมล็ดถั่วแดงในถุงเงินออกมาทั้งหมด จากนั้นก็เรียงก้อนทองทีละเม็ดลงบนโต๊ะชา
เฉิงฉือเห็นนางเล่นสนุกอย่างเริงร่าประหนึ่งกำลังเล่นของเล่นแล้ว ก็อารมณ์ดียิ่งนัก
นึกถึงร้านค้าที่เขาได้รับมาตอนไปจิงเฉิงเมื่อคราวก่อนสองร้านนั้นขึ้นมา
เป็นร้านเก่าแก่อายุยี่สิบกว่าปี เชี่ยวชาญด้านการผลิตชาดและเครื่องแป้ง ด้วยพึ่งพาความอุปถัมภ์ของเซินหมิ่นจือผู้เป็นราชเลขากรมขุนนางและราชบัณฑิตหลวงแห่งสำนักเหวินยวนเก๋อผู้นั้น กิจการจึงเฟื่องฟูเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหลังจากเซินหมิ่นจือเกษียณราชการแล้ว ค่าใช้จ่ายในช่วงสองปีมานี้ก็เพิ่มขึ้นมาก นายท่านของร้านคิดว่าเลิกกิจการเสียแต่ตอนนี้จะดีกว่า จึงฝากฝังให้นายหน้าช่วยถ่ายโอนกิจการให้
หยวนเปี๋ยอวิ๋นเลี้ยงดูนักแสดงงิ้วเป็นอนุอยู่ข้างนอกผู้หนึ่ง มายืมเงินจากเขาหมายจะลอบรับช่วงต่อร้านสองร้านนั้นมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับอนุผู้นั้น ใครจะรู้ว่าพอรับกิจการนั้นมาแล้ว อนุผู้นั้นเกิดทราบขึ้นมาว่าภรรยาของหยวนเปี๋ยอวิ๋นยังมีชีวิตดีอยู่ จึงตัดสัมพันธ์กับเขา แล้วกลับไปทำอาชีพเดิมของตนที่ซานตงบ้านเกิด หยวนเปี๋ยอวิ๋นโกรธเกรี้ยวจนตับไตแทบแตก วิ่งไปตามหานางที่ซานตง ร้านค้าก็ไม่เอาแล้ว
เฉิงฉือคิดเสมอว่าการเก็บค่าเช่าจากร้านค้านั้นล่าช้าเกินไป จึงไม่ค่อยชื่นชอบถือครองร้านค้าไว้ในมือมากนัก บวกกับสินค้าประเภทชาดและเครื่องแป้งพวกนั้นเขาไม่สันทัดสักเท่าใด ตั้งใจจะขายทอดกิจการออกไปหรือไม่ก็มอบให้ใครสักคนไปเสีย… เช่นนั้นก็มอบให้เด็กน้อยก็แล้วกัน
คนงานและหลงจู๊ในร้านต่างก็มีอยู่แล้ว หาทางทำกำไรให้นางสักหน่อย ก็ถือเสียว่าเป็นการหากิจกรรมฆ่าเวลาให้นางสักอย่างหนึ่ง
เฉิงฉือตัดสินใจแล้วก็ขบคิดถึงขนาด จำนวนลูกค้า และสินค้าต่างๆ ของร้านขึ้นมา
เขาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจดจุดที่ตัวเองคิดว่ามีปัญหาลงไปทีละข้อ ครุ่นคิดว่าจะแก้ไขพัฒนามันอย่างไรบ้าง
โจวเสาจิ่นเรียงก้อนทองเมล็ดถั่วแดงบนโต๊ะชาทีละเม็ด พอเห็นว่าเฉิงฉือกำลังยุ่งอยู่ ก็เก็บก้อนทองเมล็ดถั่วแดงกลับลงไปในใส่ถุงเงินใหม่ทีละเม็ด พลางลอบชำเลืองมองเฉิงฉือด้วยหางตาเป็นครั้งคราวไปด้วย
เฉิงฉือกำลังจดจ่ออยู่กับการครุ่นคิด จึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของโจวเสาจิ่นแม้แต่น้อย
โจวเสาจิ่นแอบเม้มปากกลั้นยิ้ม
คิดว่าท่าทางจริงจังของเฉิงฉือนั้นดูดีจริงๆ
คิ้วราวกับวาดด้วยน้ำหมึก เรียวยาวและงดงาม แววตากระจ่างใสดั่งน้ำ อ่อนโยนและสงบนิ่ง…
นางหยิบก้อนทองเมล็ดถั่วแดงออกมาเรียงบนโต๊ะชาทีละเม็ดทีละเม็ดอีกครั้งหนึ่ง
ตอนที่ซางมามายกน้ำชาและของว่างเข้ามาก็เห็นโจวเสาจิ่นกับเฉิงฉือคนหนึ่งนั่งเล่นก้อนทองเมล็ดถั่วบนตั่งหลัวฮั่น อีกคนหนึ่งนั่งตวัดพู่กันอยู่ข้างหลังโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ คนหนึ่งอ่อนโยนไม่ขาดความสดใส อีกคนหนึ่งสุขุมเยือกเย็นและเคร่งขรึม ทว่าบรรยากาศกลับกลมกลืนและอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
นางขบคิดครู่หนึ่งแล้วถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
จวบจนเมื่อถึงเวลาเข้านอนตอนกลางคืน โจวเสาจิ่นก็เทก้อนทองเมล็ดถั่วแดงออกมาเล่นใหม่อีกพักหนึ่ง แล้วถึงได้เก็บใส่ในถุงเงิน วางเอาไว้ใต้หมอน
ชุนหว่านอดขำไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง จะดีหรือร้ายก็เป็นก้อนทองเมล็ดถั่วถุงหนึ่ง เก็บเอาไว้ในหีบจะดีกว่าเจ้าค่ะ ก้อนทองเช่นนี้หนึ่งเม็ดน่าจะมีค่ามากกว่าสิบเหลี่ยงกระมัง ท่านทั้งไม่ได้ติดกลอนบนตู้เก็บของ และในเรือนนี้ของพวกเราก็มีคนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา หากว่าเกิดหายไปเม็ดหนึ่งจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นเพียงอยากจะเก็บมันไว้ในมือเพื่อเล่นอีกสักสองสามวัน จึงกล่าวว่า “รออีกสักสองสามวันให้ความตื่นเต้นของข้าคลายลงแล้ว ค่อยให้เจ้าเอาไปเก็บก็แล้วกัน”
ชุนหว่านอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้
ฝานหลิวซื่อกับสาวใช้สองสามคนต่างก็ทราบเรื่องที่มีก้อนทองเมล็ดถั่วแดงถุงหนึ่งอยู่ข้างหมอนโจวเสาจิ่นเหมือนกัน จึงก็ไม่กล้าเข้าห้องของนางตามอำเภอใจ แม้กระทั่งตอนที่มีธุระต้องเข้าไปในห้อง ก็เข้าไปพร้อมกันทีละสองคน ทุกคนต่างหวังให้นางรีบเก็บก้อนทองเมล็ดถั่วเหล่านั้นลงไปในหีบเสียที
ส่วนทางด้านจวนสามนั้นฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้นำความมาแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยตนเอง บอกว่าหลี่จิ้งอายุไม่น้อยแล้ว เนื่องจากหลี่จิ้งยังไม่ได้แต่งงาน หลายปีมานี้บ้านของตระกูลหลี่ที่ลั่วหยางจึงเป็นอาสะใภ้รองของหลี่จิ้งเป็นคนดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ภายในบ้านให้ ทุกอย่างยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบไปหมด จึงเฝ้ารอให้เฉิงเจียไปรับช่วงดูแลงานบ้านในเรือนชั้นในทั้งหมด ดังนั้นจึงกำหนดวันแต่งงานของเฉิงเจียเป็นวันที่หกเดือนสิบนี้
เช่นนี้ก็เร่งด่วนยิ่งนักแล้ว
ยังดีที่จวนสามมีเงินมาก จึงจัดซื้อสินเจ้าสาวได้อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็ออกเงินส่วนตัวของตนให้ไปไม่น้อย แม้ว่ามิได้ยิ่งใหญ่ตระการตาเท่ากับตอนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวแต่งเข้าจวนเหลียงกั๋วกง แต่ก็มีสินเจ้าสาวมากมายคนหามยาวสิบหลี่ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วอยู่ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว
………………………………………………………………….