ภาค 2 บทที่ 11 วิถีของผู้อื่นสนองคืนแก่ตัวผู้นั้น

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 11 วิถีของผู้อื่นสนองคืนแก่ตัวผู้นั้น โดย Ink Stone_Romance

ยามท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว เฉินชีเดินก้าวออกมาจากในห้องพลางนวดหน้า ในลานเสียงต่อยหลักไม้ดังลอยมา

“นางยังคึกคักเอาเรื่อง” เฉินชีหาวอีกครั้งเอ่ย “ดูท่าคงกินผลซิ่งจนสำราญใจมาก”

เมื่อคืนวานคุณหนูจวินอยู่ดีๆ ก็อยากกินผลซิ่ง แล้วยังไม่กินผลซิ่งตากแห้งผลซิ่งอบแห้ง จะต้องกินทั้งลูก ที่ดีที่สุดคือสดใหม่

เดือนหนึ่งอย่างนี้ไปหาผลซิ่งสดจากที่ไหน ทำคนลำบากแท้ๆ

ฟางจิ่นซิ่วกับหลิ่วเอ๋อร์กลับไม่โต้แย้ง ดึกดื่นเที่ยงคืนดันทุกรังออกไปเคาะร้านแห่งหนึ่งซื้อผลซิ่งแช่อิ่มกระปุกหนึ่งมาพอแทนกันได้

“ที่แท้กำลังคิดอะไรอยู่นะ? ทำไมไม่บอกว่าจะทำอะไร กลับจะกินนั่นนี่” เฉินชีเอ่ย “เหมือนกับภรรยาท้องจริงๆประหลาดพิกล”

หลิ่วเอ๋อร์ที่เดินออกมาจากครัวได้ยินเข้าสบถทีหนึ่ง

“คุณหนูของข้าคิดเรื่องต่างๆ อยู่นะ เวลาคิดเรื่องต่างๆ กินนู่นนี่บ้างเป็นอะไร? รู้น้อยชอบประหลาดใจ”

“ถ้าอย่างนั้นนางคิดอะไรได้บ้างแล้ว?” เฉินชีเอ่ยถาม

สองคนกำลังจะโต้คารม คุณหนูจวินก็เดินออมาจากเรือนหลัง

“เฉินหลิน” นางเอ่ยพลางปลดแขนเสื้อลง “กินข้าวเสร็จแล้ว เจ้าไปกรมทหารม้าห้าเมืองให้พวกเขาทำอย่างไรข้าเขียนไว้แล้ว เจ้ารับผิดชอบจัดการให้พวกเขาทำงาน”

เฉินชีขานรับ มองคุณหนูจวินเดินผ่านเขาเข้าไปในโถง

“นางเรียกข้าว่าเฉินหลิน” เขาเอ่ยอีกครั้ง สีหน้าพิกลอยู่บ้าง

หลิ่วเอ๋อร์กลอกตา

“เจ้าไม่ได้ชื่อเฉินหลินหรือ?” นางเอ่ย

เฉินชีลูบศีรษะ

“ข้าชื่อเฉินหลินนั่นแหละ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเรียกข้าเช่นนี้” เขาเอ่ย ยักไหล่ “ได้ยินแล้วแปลกๆ ข้ายังนึกไม่ออกเลยว่าเป็นตนเอง”

นอกจากนี้เฉินหลินชื่อนี้แทบไม่มีใครเรียกอีกแล้ว ทั้งยังเขียนไว้ในบันทึกตระกูลเท่านั้น ตัวเขาเองยังแทบจะลืมแล้ว

เรียกเสียทางการเช่นนี้ น่าขนลุกจริงๆ

หวังว่าเรื่องต่อมาจะไม่สะพรึงคน

“ให้พวกเขารับผิดชอบแค่เรื่องเหล่านี้ หลักๆ ก็คือรักษาระเบียบ” คุณหนูจวินเอ่ย “เจ้ายังมีอะไรไม่เข้าใจไหม?”

เฉินชีถือกระดาษหลายแผ่นในมือก้มศีรษะลงอ่าน ได้ยินก็พยักหน้า

“ไม่มี อ่านเข้าใจหมดแล้ว ง่ายมาก” เขาตอบ

“พูดขึ้นมาง่าย ทำไม่แน่ว่าจะง่าย” ฟางจิ่นซิ่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ย “เจ้าตั้งใจหน่อย”

“ข้าย่อมจริงจัง ศีรษะยังอยู่บนลำคอ ข้าไม่ตั้งใจได้รึ” เฉินชีเอ่ย

ฟางจิ่นซิ่วยิ่งถลึงตา

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรน่ะ” นางเอ่ย

คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว

“เขาพูดถูก พวกเราตอนนี้กำลังเล่นกับชีวิต เล่นได้ดีทุกคนก็อยู่ดี เล่นไม่ดีก็จบสิ้นกันหมด” นางเอ่ย

ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วมองนาง

“เจ้ากินผลซิ่งมากรึ? เศร้าขนาดนี้” นางเอ่ย

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว เฉินชีก็หัวเราะด้วย เก็บกระดาษไป

“ถ้าอย่างนั้นข้าไปกรมทหารม้าแล้ว” เขาเอ่ย พูดจบก็เดินออกไป

คุณหนูจวินหิ้วหีบยาขึ้นมา

“เจ้าไปสำนักแพทย์หลวงหรือ? ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย

คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่ง

“ให้หลิ่วเอ๋อร์ตามข้าไป เจ้าอยู่ที่บ้านดูไว้” นางเอ่ย “ต่อไปตรงที่ต้องใช้เงินกับใช้คนต้องมากมายแน่”

“ไม่ใช่ทางการออกหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยสอด

ฟางจิ่นซิ่วกลับพยักหน้า

“เรื่องเร่งด่วน แต่คนและเงินของทางการล้วนต้องมีการพิจารณาต่างๆ ไม่สู้พวกเราเคลื่อนไหวเร็ว นางเอ่ย “เจ้าไปเถอะข้าจะอยู่ที่ร้าน มีเรื่องข้าจะจัดการด้วยกันกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว”

คุณหนูจวินพยักหน้าสะพายหีบยาเดินออกไปกับหลิ่วเอ๋อร์

ในจวนสกุลลู่เวลานี้ องค์หญิงจิ่วหลีกับลู่อวิ๋นฉีเพิ่งเตรียมรับประทานอาหารเช้า

บรรดาสาวใช้เข้าออกกันเงียบเชียบ บนโต๊ะวางอาหารเช้ามากมายไว้

องค์หญิงจิ่วหลีกับลู่อวิ๋นฉีนั่งประจันหน้ากัน ต่างทานอาหารของตนอย่างเงียบสงบ

“บัณฑิตกู้เพิ่มวิชาขี่ม้ายิงธนูให้แก่ไหวอ๋องแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ยขึ้น

เพิ่มวิชาขี่ม้ากับยิ่งธนูได้ ย่อมหมายความว่าร่างกายหายดีอย่างสิ้นเชิงแล้ว

องค์หญิงจิ่วหลีพยักหน้า

“เขาก็ควรร่ำเรียนเรื่องนี้แล้ว” นางเอ่ยแล้วก็ยิ้ม “บัณฑิตกู้รอบรู้มากความสามารถจริงๆ”

ลู่อวิ๋นฉีร้องอืม

ไหวอ๋อง บทสนทนานี้ต่อให้เป็นระหว่างพวกเขาสามีภรรยาคู่นี้ก็ยังพูดมากไม่ได้

ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยต่อ องค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่ได้ถามต่อ สองคนกินอาหารเงียบๆ ต่อไป

“นอกเมืองผู้ป่วยฝีดาษมากมายมาหรือ?”

แต่หลังหยุดไปครู่หนึ่ง องค์หญิงจิ่วหลีก็เงยหน้าขึ้นเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีประหลาดใจเล็ก้อย

องค์หญิงจิ่วหลีแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเอ่ยถามเรื่องภายนอก

แต่จากนั้นก็ไม่รู้สึกผิดปกติ

ฝีดาษเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น

ผู้หญิงที่ชื่อจิ่วหลิงทั้งยังประสบความสำเร็จในการดึงความสนใจขององค์หญิงจิ่วหลีคนนั้น

“องค์หญิงไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทจัดการแล้ว” เขาเอ่ย

องค์หญิงจิ่วหลีตอบรับ แต่กลับไม่เงียบงันไร้คำถามดังเช่นก่อนหน้านี้

“คุณหนูจวินคนนั้นรับราชโองการมีอำนาจเต็มในการรับผิดชอบหรือ” นางเอ่ยถามอีกครั้ง

ลู่อวิ๋นฉีกำตะเกียบมือเกร็ง

“ใช่” เขาเอ่ย

ไม่รอองค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยอีกเขาก็วางตะเกียบลุกขึ้นยืน

“ข้าจะไปกรมสืบสวนแล้ว”

องค์หญิงจิ่วหลีวางตะเกียบลง ยิ้มพยักหน้า มองลู่อวิ๋นฉีหมุนกายเดินออกไป

หญิงรับใช้สองข้างท่าทางกังวลก้าวเข้ามาจะเก็บ องค์หญิงจิ่วหลีกลับถือตะเกียบขึ้นมากินต่ออีกครั้ง บรรดาหญิงรับใช้รีบถอยออกไปมองดูองค์หญิงจิ่วหลีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย

หลายวันนี้ใต้เท้าลู่ไม่ได้ไปที่จวนข้างนอกอีก ไม่อยู่ที่กรมสืบสวนก็อยู่ในบ้าน แต่ความสัมพันธ์กับองค์หญิงจิ่วหลีไม่ดีขึ้นสักนิด ยังคงเคารพกันประหนึ่งแขกเช่นนี้ นอกจากนี้วันนี้ดูท่าองค์หญิงยังทำให้ใต้เท้าลู่ไม่พอใจอยู่บ้างแล้วด้วย

ในบ้านล้วนรู้ว่าใต้เท้าลู่ไม่ชอบโรงหมอจิ่วหลิง องค์หญิงก็ดันจะเอ่ยขึ้นมา ต่อให้โรงหมอจิ่วหลิงรักษาไหวอ๋องหายดี องค์หญิงก็น่าจะสนใจความชมชอบของสามีสักหน่อยสิ

องค์หญิงจิ่วหลีกินข้าวอีกถ้วยถึงวางตะเกียบลง ลุกขึ้นเดินออกมา หยุดแล้วมองออกไปด้านนอก

“คุณหนูจวินคนนี้น่าสนใจจริงๆ” นางเอ่ยพึมพำกับตนเอง

ผู้ที่รู้สึกว่าคุณหนูจวินน่าสนใจไม่ใช่แค่องค์หญิงจิ่วหลีคนเดียว ผู้คนของสำนักแพทย์หลวงก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน

การเคลื่อนไหวของโรงหมอจิ่วหลิงด้านนี้เป็นที่สนใจของคนทั้งเมือง และก็เหมือนอย่างที่คุณหนูจวินสัญญาไว้เช่นนั้น ประกาศความคืบหน้ารวมถึงแผนการจัดการอย่างชัดเจน

บรรดาทหารเมื่อครู่อ่านประกาศตามถนนบอกว่าราชสำนักจะใช้วัดกวงหวานอกเมืองหลวงเป็นที่พักผู้ป่วยโรคฝีดาษ ในเวลาเดียวกันเส้นทางต่างๆ ก็จะตั้งด่านนำทางไว้ ดักผู้ป่วยที่ได้ยินข่าวอยู่ระหว่างเร่งเดินทางมา ป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าเมือง

ในเวลาเดียวกันก็เตรียมน้ำยาขับไล่หายนะขจัดความชั่วร้ายพร้อมแจกจ่ายรวมถึงสาดพรมแล้ว

ผู้คนของสำนักแพทย์หลวงก็ย่อมรับรู้การจัดการเหล่านี้ด้วย

“สมุนไพรที่ต้องการและการต้ม มอบให้แก่กรมยาตามคำสั่งของคุณหนูจวิน” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย มองดูคุณหนูจวินที่นั่งอยู่ในห้อง ท่าทางเกียจคร้านอยู่บ้าง “อย่างช้าที่สุดตอนบ่ายก็จะทำเสร็จพร้อมแจกจ่ายและสาดพรม”

คุณหนูจวินพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปคุณหนูจวินยังต้องการยาอะไรก็เพียงแค่สั่งมา พวกเราจะส่งไปถึงวัดกวงหวาด้วยกัน” หมอหลวงเอ่ยต่อ

คุณหนูจวินส่งใบรายการใบหนึ่งข้ามไป

“ยาที่ต้องการไล่เรียงเสร็จแล้ว” นางเอ่ย

หมอหลวงคนนั้นยื่นมือรับไป ดูก็ไม่ดูส่งให้ขุนนางผู้น้อยด้านข้าง

“พวกเราจะเตรียมให้เรียบร้อยทันที” เขาเอ่ย ลุกขึ้นยืน

คุณหนูจวินยังนั่งอยู่ไม่ขยับ

“คุณหนูจวินยังมีอะไรสั่งอีก?” หมอหลวงไม่เข้าใจอยู่บ้างมองนางเอ่ยถาม

“นอกจากยา ข้ายังต้องการคน” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าต้องการหมอไม่น้อยกว่าสิบคนช่วยคนป่วยกับข้า”

หมอหลวงคนนั้นสีหน้าประหลาดใจราวกับนางเอ่ยเรื่องที่ประหลาดมากมายออกมา

“นี่จะได้อย่างไร” เขาเอ่ย “พวกเราจะติดตามคุณหนูจวินไปรักษาคนป่วยได้อย่างไร พวกเราเป็นคนที่รักษาโรคฝีดาษไม่ได้ หากพวกเราไปแล้ว ไม่แน่ว่าจากที่คุณหนูจวินรักษาหายได้อาจกลายเป็นรักษาไม่หาย ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องกลายเป็นคนผิดแล้ว”

คำพูดนี้คุณหนูไม่แปลกหู ก็ปีก่อนนี่เองตอนที่รักษาไหวอ๋องหายดีแล้วถูกไล่ออกมา นางก็พูดกับบรรดาหมอหลวงที่มาขอคำชี้แนะเหล่านั้นแสดงความหมายคล้ายๆ กัน

“ข้าไม่มีอะไรบอกพวกท่าน องค์ชายข้ารักษาหายแล้ว มีเรื่องอะไรอีกก็เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว ถึงเวลาอย่าโยนมาใส่หัวข้าก็พอ”

คิดไม่ถึงเร็วขนาดนี้หมอหลวงเหล่านี้ก็ใช้ประโยคนี้มาโต้นางเสียแล้ว

……………………………………….