บทที่ 270 เก็บถุงหอมได้อีกแล้ว

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 270 เก็บถุงหอมได้อีกแล้ว

ทหารรักษาพระองค์ไม่ตอบ แต่เผยท่าทีลำบากใจ

เขาเป็นเพียงทหารรักษาพระองค์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะกล้าสอดปากสอดคำเรื่องในวังได้อย่างไร

สวี่ชีอันไม่ทำให้เขาลำบากใจ เพียงแต่มองไปรอบๆ แล้วเอ่ยว่า “จงหลี?”

“ข้ารู้แล้ว ข้าจะกลับไปสำนักโหราจารย์ก่อน” จงหลีโผล่หน้าออกมาจากกำแพงแล้วเอ่ยอย่างเชื่อฟัง

“ระหว่างทางกลับ…จะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่?” สวี่ชีอันถาม

“ปะ ปล่อยให้เป็นชะตาสวรรค์เถอะ” จงหลีกล่าวเสียงสั่นเทา

ทหารรักษาพระองค์มองพิจารณาสตรีสวมชุดผ้าลื่นตัวยาว ผมเผ้ายุ่งเหยิง และรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีท่าทางน่าสงสาร ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารเป็นพิเศษ

‘กุบกับ กุบกับ…’

ไม่นาน ฆ้องทองแดงก็จูงแม่ม้าน้อยมาให้ สวี่ชีอันลูบแผงคอของแม่ม้าน้อย มันพ่นลมจมูกแล้วโค้งให้เจ้านาย

“ข้าจะเบิกเนตรให้เจ้า” สวี่ชีอันลูบศีรษะของจงหลี

นางมีประสบการณ์การกลับไปยังสำนักโหราจารย์เพียงลำพังหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องใดขึ้น สวี่ชีอันคาดเดาว่าเคราะห์เล็กๆ น้อยๆ อาจมีอยู่บ้าง แต่คงไม่ใช่เคราะห์ใหญ่ ที่นี่ไม่ได้ห่างจากสำนักโหราจารย์มากนัก

ใช้เวลาเดินทางไม่เกินครึ่งชั่วยาม

เขาขึ้นขี่แม่ม้าน้อยแสนรักแล้วเดินทางไปยังเขตพระราชฐานพร้อมกับทหารรักษาพระองค์แห่งสวนเส้าอิน

ทหารรักษาพระองค์โบกแส้ม้าในมือเพื่อให้คนหลีกทาง พลางสังเกตมองฆ้องเงินสวี่ไปด้วย คนโปรดขององค์หญิงผู้นี้สีหน้าคงเดิม สายตาเพ่งมองเพียงทางข้างหน้า แม้จะไม่ได้พูดจา แต่หว่างคิ้วของเขาก็ฉายความเคร่งเครียดออกมา

วังหลังของจักรพรรดิหยวนจิ่งจะต้องวุ่นวายเป็นแน่ ฮองเฮาจะต้องล้างแค้นคนที่สังหารน้องชายของตน และไม่มีทางปล่อยเฉินกุ้ยเฟยไปแน่ ไม่สิ ต้องเรียกว่าเฉินเฟยแล้ว… ฝ่ายหลังก็มีความแค้นล้ำลึกต่อฮองเฮามานานแล้ว และเห็นฮองเฮาเป็นศัตรูมาหลายต่อหลายปี…

บ้าเอ๊ย เหตุใดข้าจะต้องไปกังวลใจเรื่องในบ้านของจักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยเนี่ย เพราะลูกสาวเจ้าสวยงั้นหรือ สวี่ชีอันลอบก่นด่า

เขารีบเข้าไปในเขตพระราชฐานและถูกหน่วยองครักษ์ราชวัลลภขวางไว้ ทหารรักษาพระองค์ของหลินอันสามารถกลับเข้ามาได้ตามปกติ แต่เขาไม่มีสิทธิ์พาคนนอกเข้ามาด้วย

สวี่ชีอันแสดงป้ายห้อยเอวที่ยายตัวร้ายส่งมาให้แต่แรก หน่วยองครักษ์ราชวัลลภคนหนึ่งรีบเข้ามาหาแล้วนำสวี่ชีอันเข้าไปในวังทันที

ตามกฎของพระราชวัง หากมีคนในวังเรียกขุนนางภายนอกให้เข้ามา หน่วยองครักษ์ราชวัลลภจะต้องติดตามไปด้วย เพื่อยืนยันว่าเขาจะไม่เดินมั่วซั่ว

ตลอดทางเขาไม่พูดจา แต่ก้าวเร็วๆ ผ่านประตูวัง ผ่านลานกว้าง ผ่านกำแพงวัง และในที่สุดก็มาถึงสวนเส้าอินของหลินอัน

หน่วยองครักษ์ราชวัลลภรั้งรออยู่นอกประตูสวนเส้าอิน แล้วทหารรักษาพระองค์ของยายตัวร้ายก็พาตัวสวี่ชีอันเข้าไปข้างใน เมื่อผ่านตำหนักหน้ามาแล้ว เขาก็ได้พบกับหลินอันในห้องโถงรับแขก

องค์หญิงรองยังคงสวมชุดกระโปรงสีแดงประณีตงดงาม ทรงผมประดับปิ่นระย้าและปิ่นหยกงดงามหรูหรา ถึงขั้นมีมงกุฎหงส์อันเล็กที่ไม่ใช่ทรงพิธีอยู่ด้วย

ใบหน้ารูปไข่ห่านกลมเกลี้ยง นัยน์ตาดอกท้อเปี่ยมเสน่ห์ ใบหน้าราบเรียบ นางนั่งอยู่ตรงนั้น ราวกับตุ๊กตาโลลิต้าฝั่งตะวันออกที่ถูกปั้นโดยฝีมือของยอดปรมาจารย์อย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นไร สวี่ชีอันก็ถอนหายใจเงียบๆ “องค์หญิง เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”

หลินอันโบกมือไล่ทหารรักษาพระองค์และนางกำนัล เหลือเพียงแค่สวี่ชีอันเท่านั้น

ยายตัวร้ายจ้องมาที่เขาครู่หนึ่ง ‘ฮือ’ นางร้องไห้ยกใหญ่แล้วเอ่ยฟ้องอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฮว๋ายชิ่งจะฆ่าข้า”

…เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว! สวี่ชีอันถอนหายใจ

อย่างว่า หลินอันเป็นลูกสาวคนโปรดที่สุดของจักรพรรดิหยวนจิ่ง นางจะมีอันตรายอะไรได้

เรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของนางก็คงจะเป็นเรื่องเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่นางทำออกมาได้จริงๆ

“พระองค์ไปหาเรื่ององค์หญิงใหญ่อีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ยายตัวร้ายร้องไห้พลางจ้องหน้าเขา “หาเรื่องอะไรกัน เจ้าพูดให้มันชัดๆ”

สวี่ชีอันเรียบเรียงคำพูดใหม่ “องค์หญิงรองไปหาองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเพื่อทวงความยุติธรรมหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ยายตัวร้ายส่งเสียง “อื้ม” ออกมาอย่างหนักแน่น แล้วเอ่ยพลางสูดจมูกด้วยว่า “ผู้หญิงพิษร้ายเช่นฮองเฮากำลังจะสังหารเสด็จแม่ของข้า ข้าจึงไปเอ่ยถามถึงเหตุผลกับฮว๋ายชิ่ง นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นคนใจดำเช่นกัน นางจะตีข้าจริงๆ”

“ตีพระองค์?” สวี่ชีอันขมวดคิ้วแล้วจ้องมองหลินอันให้ชัดๆ “ตีที่ใด?”

“นางใช้ไม้หวายตีข้า”

ยายตัวร้ายพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นเรียวแขนขาวสล้าง บนผิวขาวราวหิมะนั้นมีรอยแส้ตื้นๆ อยู่สองรอย

“แย่มาก!”

สวี่ชีอันรู้สึกขุ่นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม โกรธจนผมชี้ชันดันหมวกขึ้น ฝนกระหน่ำต้องยั้งหยุด เงยหน้ามองฟ้า แหงนคอกู่ร้องคำรามลั่น ความอัปยศของหลินอันยังมิได้ชำระล้าง ความเคียดแค้นในอกข้า เมื่อใดจะหมดสิ้น

“องค์หญิงวางใจเถอะ กระหม่อมจะต้องทวงความยุติธรรมให้พระองค์แน่ และจะไม่ละเว้นฮว๋ายชิ่งผู้นั้นแม้เพียงนิด”

“ไม่ต้องให้เจ้ายื่นมือมาช่วยหรอก…”

เมื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของสวี่ชีอันและท่าทีราวกับจะตายแทนเจ้าของได้เช่นนั้น ยายตัวร้ายก็ซาบซึ้งอย่างมาก นางเอ่ยว่า “ดีร้ายอย่างไรฮว๋ายชิ่งก็เป็นองค์หญิง นางลงมือโดยพลการเช่นนี้ เดี๋ยวก็จะถูกทหารรักษาวังจัดการเอง”

ขอบคุณสวรรค์ สติปัญญาขององค์หญิงยังดีอยู่…สวี่ชีอันส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงขรึม “องค์หญิงทรงขาดความเด็ดขาด ในสายตาของกระหม่อม นี่เป็นเรื่องอัปยศอย่างยิ่ง แม้กระหม่อมจะต้องตัวแตกแหลกสลาย ก็จะต้องเอาเรื่องฮว๋ายชิ่งผู้นั้นให้ได้”

ยายตัวร้ายพยักหน้าเบาๆ แล้วสูดจมูกอีกครั้งพร้อมกล่าวว่า “วันนี้ที่ข้าให้เจ้าเข้าวังก็เพราะเรื่องนี้แหละ ข้าคิดดูดีแล้ว เห็นชัดว่าตอนนั้นข้าสามารถต้านทานและกระชากใบหน้าของฮว๋ายชิ่งได้ แต่ข้าก็ยังทำได้ไม่ดี มาคิดดูแล้ว จะต้องเป็นเพราะข้างกายของข้าไม่มีองครักษ์ที่มากความสามารถแน่ เจ้าพาข้าไปที่สวนชุนเถิงของฮว๋ายชิ่งได้ไหม”

…สวี่ชีอันนิ่งงัน รู้สึกว่ามีหินหล่นใส่เท้า

“อะแฮ่มๆ!”

เขากระแอมไอ “องค์หญิงอย่าทรงใจร้อน บอกกระหม่อมก่อนเถิดว่าเกิดอะไรขึ้น กระหม่อมจะได้พิจารณา”

พิจารณาหาวิธีหลบหนีอย่างเงียบๆ…เขาลอบคิด

ยายตัวร้ายเล่าว่าหลังจากคดีพระสนมฝูเสร็จสิ้นลง วังหลังก็เกิดความขัดแย้งขึ้น นางเล่าเรื่องนี้ให้สวี่ชีอันฟังอย่างละเอียด

ไม่เกินกว่าที่คิด ฮองเฮาเคียดแค้นต่อเฉินกุ้ยเฟยและหาเรื่องไปเสียทุกที่ ตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้กันแล้วว่าที่แท้ศิลปะสิบแปดกระบวนท่าในวังหลังนี้ ฮองเฮาทรงเชี่ยวชาญเสียยิ่งกว่าใคร

เพียงแต่เมื่อก่อนยังไม่เคยได้ใช้ออกมาเท่านั้น

ทุกเช้า พระนางจะให้เฉินเฟยมาเคารพ จากนั้นก็จับผิดนาง ให้นางกำนัลของพระนาง ‘วิจารณ์’ เฉินเฟยแทนพระองค์ และทำให้เฉินเฟยกลายเป็นที่ตลกขบขันของวังหลัง

แล้วยังมีเรื่องลงโทษ เป็นการลงโทษทางร่างกายต่างๆ

“พระองค์กำลังบอกว่าฮองเฮาใจดำอำมหิตหรือ” เมื่อเอ่ยถึงสิ่งที่เกลียดชัง ยายตัวร้ายก็ตบโต๊ะด้วยมือน้อยๆ ของตน

แม่เจ้าทำให้น้องชายแท้ๆ ต้องตายไป ฮองเฮาย่อมสู้เป็นสู้ตายกับแม่เจ้าสิน่ะสิ แม้ว่าคนผู้นั้นถึงตายไปก็ไม่ผิดบาปอะไรก็เถอะ… สวี่ชีอันขมวดคิ้วพูดอีก “มีอีกหรือไม่”

“ย่อมมีอีก เมื่อวานนี้จู่ๆ เสด็จแม่ก็ถูกพิษจนท่าไม่ดี คนรับใช้ในตำหนักจิ่งซิ่วรีบไปเชิญหมอหลวงมา แต่ใครเล่าจะรู้ว่าหมอหลวงถูกคนของตำหนักเฟิ่งฉีแย่งตัวไปแล้ว”

“หา? เกิดอะไรขึ้นจากนั้น” สวี่ชีอันตกใจมาก

ยายตัวร้ายยังคงหวาดผวา “โชคดีที่ในตำหนักของเสด็จแม่มียาล้างพิษสำรองอยู่ จึงรักษาชีวิตไว้ได้”

สวี่ชีอันร้อง ‘อ้อ’ ออกมาเสียงยาว

พิษน่าจะเป็นแผนการเจ็บตัวของเฉินเฟยเพื่อที่จะใส่ร้ายฮองเฮา และฮองเฮาผู้สูญเสียน้องชายก็เลือกที่จะใช้แข็งชนแข็ง ดังนั้นจึงชิงตัวหมอหลวงไป เฉินเฟยจนปัญญา ทำได้เพียงนำยาแก้พิษออกมาช่วยชีวิตตน

“ฝ่าบาทว่าอย่างไรบ้าง” เขาถาม

“เสด็จพ่อไม่พูดอะไรเลย” ยายตัวร้ายขมวดคิ้วมุ่นแล้วแค่นเสียงออกมา แสดงถึงความไม่พอใจของตน

อืม ท่าทีของจักรพรรดิหยวนจิ่งน่าจะชัดเจนและเข้าใจได้ เขาไม่สนใจ ปล่อยให้พวกนางจัดการกันเอง…พูดว่าไม่ใส่ใจไม่ได้สิ อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ยังไม่เห็นวี่แววที่เว่ยกงจะลงมือ… หากเว่ยกงลงมือล่ะก็ เฉินเฟยอาจจะตัวเย็นเฉียบไปแล้ว

สวี่ชีอันเดาว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งกำลังเตือนเว่ยเยวียนอย่างลับๆ อยู่

ผู้หญิงของข้าจะอยู่หรือตายก็เป็นเรื่องของข้า เจ้าเป็นขุนนางคนนอก อย่าได้สอดมือ!

สวี่ชีอันรู้สึกว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นผู้ชายห่วยๆ ตนดีกว่าเขาเยอะมาก เพราะตอนนี้เขากำลังรับมือกับเรื่องร้อนแรงในวังอย่างแข็งขัน

สวี่ชีอันเงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยอย่างสงสัย “เหตุใดฮองเฮาจึงเพ่งเล็งที่เฉินเฟยล่ะ องค์หญิงทรงทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ยายตัวร้ายแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ความเศร้าโศกฉายอยู่ในดวงตาของนาง

สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว จึงถอนหายใจออกมา

“ไปกันเถอะ ข้าจะไปสู้กับฮว๋ายชิ่ง”

พูดพลาง หลินอันก็ดึงแส้ออกมาจากใต้โต๊ะ

เจ้าเตรียมพร้อมขนาดนี้เลยเรอะ! สวี่ชีอันตะลึง

“องค์หญิง ใจเย็นๆ ก่อน…”

ขณะที่เขากำลังจะหว่านล้อม หลินอันก็เม้มริมฝีปากและจ้องมาที่เขา “ข้ารู้นะว่าหัวใจของเจ้าอยู่ที่ฮว๋ายชิ่ง”

“ไร้สาระทั้งเพ!”

สวี่ชีอันตอบสนองรุนแรงอย่างมาก เขาตบอกกล่าว “ไปก็ไป”

ทั้งสองพานางข้าหลวงและทหารรักษาพระองค์พุ่งไปยังสวนชุนเถิงของฮว๋ายชิ่ง

ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่นยามเช้า กิ่งก้านใบไม้แตกหน่อไม้ ฮว๋ายชิ่งผู้สวมชุดชาววังเรียบง่ายสง่างามนั่งอยู่ในศาลา ในมือถือหนังสือหนึ่งเล่ม

แผ่นหลังสง่างาม นั่งตัวตรง ผมดำเข้ากันกับกระโปรงชาววังสีขาว ขับเน้นเป็นบรรยากาศของผู้มีการศึกษาที่สง่างามและชาญฉลาด

สวี่ชีอันและหลินอันพุ่งเข้าไปอย่างดุดัน องค์หญิงใหญ่ผู้เย็นชากลับไม่รู้สึกตัว เพียงก้มหน้าสนใจหนังสือ มีแค่เสียงออกคำสั่งทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าอยู่ทั้งสองข้างเท่านั้น

“หากมีคนนอกมารบกวนการอ่านหนังสือของข้า ให้สังหารโดยไม่ละเว้น”

ทหารรักษาพระองค์หลายคนกดมือไว้บนดาบและพร้อมจะพุ่งมาหาอย่างดุดัน พวกเขาไม่กล้าแตะต้ององค์หญิงหลินอัน ความไม่เป็นมิตรจึงถูกส่งมาที่สวี่ชีอันแทน

แน่นอนว่าองค์หญิงหลินอันไม่ใช่คนนอก แต่ฆ้องเงินผู้นี้เป็นผู้ที่สามารถสังหารโดยไม่ละเว้นได้

สวี่ชีอันหยุดฝีเท้าทันที

เมื่อหลินอันเห็นสวี่ชีอันถูกบีบให้ล่าถอย นางก็ขลาดกลัวขึ้นมากลางคัน หากไม่มีสุนัขรับใช้หนุนหลัง นางย่อมไม่กล้าต่อสู้กับฮว๋ายชิ่งเพียงลำพังแน่นอน

ดังนั้นนางจึงใช้แส้ชี้ไปที่ฮว๋ายชิ่งแล้วเอ่ยเสียงดุ “ฮว๋ายชิ่งหน้าเหม็น เจ้าออกมานะ”

“ฮว๋ายชิ่ง เจ้าออกมานะ”

“ฮว๋ายชิ่งหน้าไม่อาย เก่งนักก็มาแข่งกับข้าเสียสิ”

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งไม่สนใจแม้แต่นิด นางยังคงอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน

หนึ่งเค่อต่อมา ยายตัวร้ายก็พาสวี่ชีอันจากไปด้วยความเศร้าหมอง

สวี่ชีอันหันหน้าไปเห็นยายตัวร้ายหน้านิ่งขรึมกัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ เขาก็ถอนหายใจกล่าว “ช่างเถิดองค์หญิง ช่องว่างห่างกันมากเกินไป”

ช่องว่างของสติปัญญานั้นใหญ่มาก

แค่คำสั่งง่ายๆ คำเดียวของฮว๋ายชิ่งก็ทำให้เกิดบทสรุปได้แล้ว

แบบนี้ก็ดี หากถึงตอนนั้นก็ช่วยทำให้ข้าไม่ดูเป็นคนเลวได้…องค์หญิงฮว๋ายชิ่งช่างเป็นสุดที่รักในดวงใจของข้าเสียจริง สามารถแก้ปัญหายากๆ ให้ข้าได้อย่างง่ายดาย…แต่เจ้าลงมือตบตีหลินอันก่อนมันก็เกินไป…สวี่ชีอันคิดอย่างมีความสุข

ยายตัวร้ายกระทืบเท้าไม่ยอมท่าเดียว ทำเอากระโปรงสีแดงเพลิงพลิ้วไหว

เมื่อส่งองค์หญิงหลินอันกลับไปยังสวนเส้าอินแล้ว เขาก็เล่นหมากเรียงห้าตัวและเล่าเรื่องต่างๆ ให้นางฟัง พอใกล้จะถึงยามเที่ยง สวี่ชีอันจึงเอ่ยลาออกมา

เขาเป็นขุนนางคนนอก ส่วนหลินอันเป็นองค์หญิงผู้ยังไม่อภิเษก ไม่อาจรั้งอยู่ได้นานเกินไป และยิ่งไม่อาจทานอาหารด้วยกันได้ด้วย

“วันหน้าข้าจะชวนเจ้าเข้ามาเล่นที่วัง” ยายตัวร้ายกล่าว

ด้วยเหตุผลเดียวกัน นางจึงไม่อาจเรียกขุนนางภายนอกเข้าวังมาได้บ่อยๆ เรื่องนี้อาจทำให้เกิดข่าวลือซุบซิบขึ้นมาได้ง่ายๆ

หลังออกจากประตูวัง เขาก็รับแม่ม้าน้อยของตนกลับมาจากหน่วยองครักษ์ราชวัลลภ สวี่ชีอันขี่นางแล้วเดินทางออกจากเขตพระราชฐาน

ความขัดแย้งระหว่างฮองเฮาและเฉินเฟยไม่มีหนทางแก้ไขเลย เฉินเฟยผู้นี้เอาชนะฮองเฮาไม่ได้ ก็จะต้องสนับสนุนให้หลินอันเป็นหอกที่ชี้ไปยังฮองเฮาอย่างแน่นอน

จากคำพูดของฮว๋ายชิ่ง หลินอันตอนที่ยังเป็นสาวน้อยนั้นโง่เขลายิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก เฉินเฟยชี้ไปทางไหน นางก็ฟาดงวงฟาดงาไปทางนั้น หากฮว๋ายชิ่งไม่ตอบโต้ นางก็มีแต่จะถูกรังแก และพอตอบโต้ หลินอันก็โดนตีกลับ และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่เฉินเฟยอยากจะเห็นพอดี

เป็นเพราะหลินอันเป็นที่โปรดปราน พอนางถูกรังแก จักรพรรดิหยวนจิ่งย่อมไม่มีทางนิ่งดูดาย…หากหลินอันถูกรังแกอีก เรื่องแบบวันนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง

ข้าคือราชาแห่งท้องทะเลผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ควรถูกพวกปลาดึงจมูกสิ ข้าต้องคิด คิดหาวิธีการ…

ตลอดทางที่กลับมายังหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันยังคิดหาวิธีการไม่ออก เขาโกรธจัดจนตบก้นแม่ม้าน้อย ต้องโทษที่มัน มันร่าเริงมีความสุขเสียจนเขาหงุดหงิด ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้เลย

หลังรับประทานอาหารกลางวัน เขาก็พาฆ้องทองแดงสองคนไปลาดตระเวนที่เมืองชั้นนอก เนื่องจากระยะทางไกลเกินไป เขาจึงต้องขี่ม้าแทนการเดิน

สวี่ชีอันคุ้นเคยกับเมืองทางทิศใต้มากที่สุด บ้านเก่าของสกุลสวี่ก็อยู่ทางทิศใต้นั่น อีกทั้งที่นี่ยังมีสถานรับเลี้ยงเด็กที่เป็นถิ่นของเหิงหย่วนหมายเลขหกด้วย

เฮ้อ ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะฟื้นฟูทักษะความโชคดีของข้าได้ ข้ายังต้องมอบเงินทำการกุศลให้กับไต้ซือเหิงหย่วนตามเวลาที่กำหนดอีกนะ…

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สวี่ชีอันก็รู้สึกเศร้าใจมาก

สังเวียนหยกขาวในเมืองทางทิศใต้ตั้งขึ้นบนลานกว้างใกล้แม่น้ำ เพียงเวลาสั้นๆ สองสามวัน พื้นผิวบนสังเวียนก็เต็มไปด้วยหลุมบ่อเสียแล้ว มีรอยเท้าที่เกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ และรอยแตกที่เกิดจากอาวุธมีคม

ในสังเวียนมีคู่ต่อสู้จากยุทธภพสองคน คนหนึ่งเป็นชายหยาบกระด้างที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ในมือของเขาถือกระบองเหล็กสีดำแท่งหนึ่ง ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มผู้ใช้กระบี่ ใบหน้าดูดีไม่หยอก

ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ต่อสู้ได้อย่างสนุกสนานยิ่งนัก

ข้างๆ สังเวียนต่อสู้มีชาวบ้านมาชมดูกันไม่น้อย รวมไปถึงชาวยุทธ์ที่อยู่ในแวดวงนี้ด้วย

พูดถึงอาวุธ ก่อนที่ชาวยุทธ์ธรรมดาที่เข้ามาในเมืองจะถูกยึดอาวุธไป จากนั้นที่ทำการปกครองจะออกตั๋วหนึ่งใบให้ หากวันไหนจะออกจากเมืองก็ใช้ตั๋วใบนี้ไปรับอาวุธคืน

ตั้งแต่สร้างสังเวียนผู้กล้าขึ้นมา ที่ทำการปกครองก็ผ่อนคลายมาตรการ ชาวยุทธ์คนใดที่ต้องการจะต่อสู้ สามารถไปรับอาวุธคืนที่ที่ทำการปกครองได้ แต่จะต้องส่งคืนอาวุธในวันนั้นเลย ไม่เช่นนั้นก็จะถูกประกาศจับทั่วเมือง

ส่วนจอมยุทธ์หญิงชายที่สำนักใหญ่ๆ ส่งมาก็สามารถใช้หนังสือรับรองจากสำนักของตนได้ และไม่ต้องถูกยึดอาวุธ แต่หากทำเรื่องฆ่าคนผิดบาปขึ้นมา สำนักก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

สวี่ชีอันกวาดสายตามองไปทั่วทั้งลาน แต่ก็ไม่พบจอมยุทธ์หญิงที่ดูสะดุดตาเลย

“ใต้เท้าสวี่ ผู้ที่มาชมการแสดงด้านนอกล้วนเป็นคนธรรมดา ส่วนคนที่มีฐานะตำแหน่งล้วนอยู่ในโรงน้ำชาและร้านอาหารข้างๆ ขอรับ” ฆ้องทองแดงอธิบาย

รู้ดีนี่เจ้าน้องชาย…สวี่ชีอันกวาดตามองโรงน้ำชารอบๆ ทันที ระเบียงที่ชั้นสองมีแขกอยู่มากจริงๆ

“ไปกันเถอะ เราไปหาร้านสักแห่ง…ร้านนั้นแล้วกัน” สวี่ชีอันมองเห็นจอมยุทธ์หญิงที่สวยสะกดมากๆ คนหนึ่ง

เขาเพิ่งก้าวเข้าไป จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งแข็งๆ ที่เท้า เขาก้มหน้ามอง ก็เห็นเป็นถุงหอม

ถุงหอมใบนี้มีสีเขียวอ่อน ปักด้วยลวดลายดอกกล้วยไม้สีเดียวกัน มีกลิ่นหอมจางๆ ราวกับเป็นของติดตัวของสตรี

“?”

สวี่ชีอันตะลึง ลอบเอ่ยในใจว่า ข้อดีเรื่องการเก็บเงินได้ของข้าไม่ใช่ว่าโดนท่านโหราจารย์ตัวร้ายผู้นั้นทำให้มันใช้การไม่ได้ไปแล้วหรือ

หนา น้ำหนักก็ใช้ได้

สวี่ชีอันเก็บมันไว้ในอกเสื้อพร้อมรอยยิ้มปริ่ม จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังมองเขาอยู่ราวกับหงุดหงิดที่ตนไม่เห็นถุงหอมเร็วกว่านี้ แล้วดันโดนคนอื่นชิงไปก่อนแล้ว

“มองอะไรเนี่ย เด็กจากที่ไหนกัน” สวี่ชีอันยกมือขึ้นทำท่าจะตี เด็กน้อยก็ตกใจแล้วหันกายวิ่งหนีไปทันที

สวี่ชีอันหัวเราะยกใหญ่ ลอบคิดว่าเจ้านี่ขี้ขลาดนัก ข้ายังอยากจะซื้อถังหูลู่ให้สักไม้อยู่เชียว

เมื่อเข้ามาในร้านอาหาร เขาก็มองหาโต๊ะว่างที่ชั้นสอง เขาสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำสุราและอาหารมา สวี่ชีอันไม่สนใจการต่อสู้บนสังเวียนผู้กล้า เขาหรี่ตาเหล่มองจอมยุทธ์หญิงที่อยู่โต๊ะข้างๆ

นางสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีชมพู เผยลำคอขาวสล้างและกระดูกไหปลาร้าที่แสนประณีต เสื้อผ้าของนางไม่หนา มันขับเน้นส่วนที่นูนเด่นออกมา

รูปแบบการแต่งกายของนางช่างใจกล้ามาก การแต่งหน้าก็จัดจ้านไม่แพ้กัน ปากแดงดุจเปลวเพลิง ดวงตารูปผลซิ่งกลมโตเป็นประกาย ใบหน้าก็สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เสน่ห์ความเจ้าชู้ยั่วยวนของนางต่างหากถึงจะดึงดูดชายหนุ่มได้มากที่สุด

หากยายตัวร้ายเป็นราชินีน้อยแห่งไนต์คลับผู้จริงจัง เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้ก็คงเป็นราชินีแห่งไนต์คลับตัวจริง

เมื่อหญิงงามเปี่ยมเสน่ห์สังเกตเห็นว่าสวี่ชีอันกำลังมองพินิจตนอยู่ นางก็ไม่ได้โกรธเกรี้ยว แต่กลับขยิบตามาให้แทน จอมยุทธ์น้อยที่อยู่โต๊ะเดียวกับนางหันมามอง

หลังจากเห็นเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลของสวี่ชีอัน เขาก็หันหน้ากลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เสี่ยวเอ้อร์ถือเนื้อวัว ถั่วลิสง และเนื้อแกะที่เป็นกับแกล้มเข้ามา รวมไปถึงสุราชั้นดีอีกหนึ่งไห

“ใต้เท้า นี่อาหารและสุราของพวกท่าน ทานให้อร่อยนะขอรับ”

“เสี่ยวเอ้อร์ เอาไวน์ลาฟิตปี 82 ไปให้โต๊ะนั้นขวดหนึ่ง ข้าเลี้ยงเอง” สวี่ชีอันขยิบตาให้กับสตรีแต่งกายเย้ายวน

เสี่ยวเอ้อร์ไม่เข้าใจ เขานิ่งไปพักหนึ่ง

“สุราชุนอี้หนงน่ะ”

นี่คือสุราที่แพงที่สุดของร้านนี้

“ได้ขอรับ”

เมื่อสังเกตเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชีอันกับ ‘เทพธิดา’ จอมยุทธ์หนุ่มน้อยก็รู้สึกอิจฉาในใจ แต่ก็ไม่กล้าโมโหใส่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จึงได้แต่ปล่อยความโกรธลงที่เสี่ยวเอ้อร์ เขาเอ่ยอย่างโมโห

“เสี่ยวเอ้อร์ เอาเนื้อวัวมาอีกห้าจิน”

“ท่านลูกค้า ร้านเล็กๆ นี้ไม่มีเนื้อมากขนาดนั้นหรอกขอรับ”

“แล้วเหตุใดคนอื่นได้สองจิน ส่วนพวกเรามีคนตั้งมาก แต่ได้เพียงหนึ่งจิน เจ้าตัดสินจากอะไร?”

เนื้อวัวเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยในยุคนี้ ล้วนมาจากวัวที่แก่ตายหรือป่วยหนัก ก่อนที่จะฆ่าก็ต้องผ่านการตรวจสอบของที่ทำการปกครองเสียก่อน นอกจากนั้น ช่วงนี้เศรษฐกิจก็ดีขึ้นมาก ดังนั้นในร้านอาหารจึงมีอยู่ไม่มาก ด้านสวี่ชีอันได้เพียงสองจิน

จู่ๆ เสี่ยวเอ้อร์ก็กลอกตาแล้วเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งอย่างคนในเมืองหลวง “คนอื่นเขาเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ เช้านี้ท่านลูกค้าคงไม่ได้ส่องกระจกก่อนออกจากบ้านกระมัง”

“…”

ฆ้องทองแดงสองคนหัวเราะลั่น “เจ้าโง่พวกนี้”

ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็เห็นสตรีผู้หนึ่งขึ้นบันไดมา สายตานางกวาดมองไปรอบห้อง จากนั้นก็ตรงมาอยู่ข้างกายเขาทันที นางมองต่ำลงมายังเขาที่กำลังนั่งอยู่ จากนั้นก็จ้องเขม็งอย่างน่ากลัว

“เอาถุงหอมของข้าคืนมา”

…………………………………………………….