ตอนที่ 209 นี่มิใช่การให้ร้าย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 209 นี่มิใช่การให้ร้าย

จีหลินชุนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าสงสัย

ซูซูถือถังหูลู่ที่ซื้อมาจากร้านข้างทางราวกับมิแปลกใจกับสถานการณ์นี้ แท้จริงแล้วนางมิได้คิดถึงเรื่องนี้เลย หากฟู่เสี่ยวกวนต้องการจะไปที่ใดนั่นมิใช่เรื่องของนาง เรื่องของนางคือการตามติดฟู่เสี่ยวกวน เพื่อป้องกันมิให้มีผู้ใดมาสังหารคนผู้นี้เพียงเท่านั้น

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็มิเข้าใจว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงมาที่นี่อีกครั้ง ถึงแม้ศีรษะที่กองสุมกันนั้นจะมีหิมะปกคลุมอยู่ แต่หิมะก็มิอาจปกคลุมได้ทั่วถึง ทำให้ด้านล่างยังเห็นศีรษะได้ชัดเจน สีหน้าที่ดุร้ายของแต่ละคนทำให้ผู้ที่พบเห็นหวาดกลัว

มิมีผู้ใดเอ่ยถามออกมา ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้กล่าวสิ่งใด เพียงยืนท่ามกลางหิมะอย่างโง่งม มองประตูจวนบานนั้นที่ถูกปิดลง

จีหลินชุนกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าแล้ว เหตุใดเจ้าถึงมิถามข้าเรื่องที่ติดอยู่ในใจเหล่านั้นกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “การที่นางส่งเจ้าออกมาอย่างง่ายดายเยี่ยงนี้ ก็เห็นได้แล้วว่าเจ้านั้นมิได้สำคัญ”

ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ภายในนั้นยังมีปลาตัวใหญ่อยู่ เพียงแต่ข้าหย่อนเหยื่อตกปลาไว้ที่นี่ ! ”

จีหลินชุนหน้าซีดเผือดขึ้นมาฉับพลัน

เพียงไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากตรอกซานเยวี่ย จากนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างคาดมิถึงว่าคนเหล่านั้นจะพกสิ่งของเหล่านี้มาด้วย และต่อจากนั้นพวกนางก็ต้องรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อพบว่าคนเหล่านั้นได้ตั้งศาลาขนาดใหญ่ขึ้นที่ใจกลางถนนของตรอกแห่งนี้

ภายในศาลามีโต๊ะและเก้าอี้ คาดมิถึงว่าบนเก้าอี้นั้นจะยังปูด้วยขนสัตว์

หลังจากนั้นพวกเขาก็ขนย้ายเตาไฟทั้งสี่ และซีชานเทียนฉุนเข้ามาอีกหนึ่งกล่อง

“ลมหิมะด้านนอกนั้นรุนแรงเกินไป พวกเรานั่งรอกันในนี้เถอะ”

ฟู่เสี่ยวกวนพาพวกเขาเดินเข้ามาในศาลา นั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะ คิ้วของจีหลินชุนขมวดนิ่ว นางรู้สึกตกใจอย่างถึงที่สุด

นางเคยคิดว่าหากไปยังจวนฟู่จะต้องได้รับการทรมานร้อยแปดวิธี นางเคยคิดจะกินยาพิษฆ่าตัวตาย แต่เพียงหนึ่งเดียวที่นางมิเคยคิดคือฟู่เสี่ยวกวนจะไม่ถามสิ่งใดกับนาง ไม่ถามแม้แต่ประโยคเดียว

ที่ฟู่เสี่ยวกวนระดมผู้คนมาสร้างศาลาที่นี่ย่อมมิใช่เพื่อนั่งดูหิมะอย่างแน่นอน และยิ่งมิใช่เพื่อการดื่มสุรา เยี่ยงนั้นเขายังรู้อะไรอีกกัน ?

เป็นอย่างที่คาดไว้ ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวกับหนึ่งคนในนั้นว่า “ไปหอซื่อฟางและสั่งสำรับที่ดีที่สุดสำหรับ 1 โต๊ะ แล้วให้พวกเขามาส่งที่นี่ บอกกับพวกเขาว่า หากอาหารเย็นชืด ข้าจะคิดบัญชีกับหลงจู๊ของพวกเขาเอง !”

“ขอรับคุณชาย ! ”

คนผู้นั้นเดินออกจากศาลาและโบกมือให้กับฟู่เสี่ยวกวน และคนกลุ่มนั้นก็ได้เดินตามเขาไป ตรอกซานเยวี่ยได้กลับมาเงียบสงบดังเดิมอีกครา แม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เมื่อมองเห็นฉากเช่นนี้ เสียงฝีเท้าที่เคยเร่งรีบก็เบาลงไปเล็กน้อยด้วย

นี่คือคุณชายฟู่แห่งหลินเจียง !

คุณชายฟู่ต้องการจะเฝ้าประตูของฮุ่ยชินอ๋องด้วยตนเอง เพื่อทวงคืนความยุติธรรม และจัดการกับองค์ชายสามที่ชั่วร้ายจนตาย

หากถามในใต้หล้า ยังมีผู้ใดกล้าหาญได้เท่าคุณชายฟู่ผู้นี้อีก ที่กล้าพังทลายจวนฮุ่ยชินอ๋องอย่างสุดกำลัง !

เมื่อวานยังคงเป็นกังวลที่คุณชายฟู่เป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดิน แต่ต้องต่อกรกับชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์หยู คาดว่าสถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยแก่คุณชายฟู่ แต่คาดมิถึงว่าทันทีที่ฟ้าสาง คุณชายฟู่กลับประณามฮุ่ยชินอ๋องอย่างสบายอกสบายใจที่ศาลาว่าการ จนทำให้ฮุ่ยชินอ๋องที่กำเริบเสิบสานไร้สิ้นพลังที่จะโต้แย้ง จนถึงขั้นกระอักเลือดออกมาอย่างสาหัส ได้ยินว่าในตอนนี้ก็ยังทำการรักษากับแพทย์หลวงอยู่ในจวนผู้ว่าเขตจินหลิง

หลังจากนั้นคุณชายฟู่ก็ได้พาผู้คนจำนวนมากเดินไปตามท้องถนน จนมาถึงที่นี่ และประณามฮุ่ยชินอ๋องอย่างเจ็บแสบอีกครา และยังได้กล่าวประโยคนั้นที่กำลังพูดกันไปทั่วเมืองจินหลิงว่า บุคคลประเสริฐของราชวงศ์หยู เป็นนิรันดร์เหมือนท้องฟ้า ผู้แข็งแกร่งของราชวงศ์หยู ไร้เขตแดนเหมือนแว่นแคว้น

แต่เดิมบทความ เยาวชนราชวงศ์หยู ก็สามารถเข้าใจได้เช่นนี้ !

เดิมทีราษฎรของราชวงศ์หยูก็สามารถได้รับเกียรติยศเยี่ยงนี้เช่นกัน !

หากฟ้ามิกำเนิดฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ โลกใบนี้คงเหมือนกับค่ำคืนที่ยาวนานไปชั่วนิรันดร์คงจะเป็นเยี่ยงนั้นจริง ๆ !

คนที่เดินผ่านศาลานี้มักจะหันมายิ้มให้กับฟู่เสี่ยวกวน ราวกับจะแสดงออกว่าพวกข้ารู้ความหมายของเจ้า พยายามเข้าล่ะ !

ให้ตายเถอะ เพียงไม่นานฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าเหมือนหน้าตนเองจะเป็นตะคริวเล็กน้อย เขาไม่ได้หันมองไปรอบ ๆ อีก แต่หันไปมองทางจีหลินชุนแทน

“นั่งเถอะ ยืนเยี่ยงนั้นคงจะเมื่อยแย่ พวกเรายังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน”

จีหลินชุนทำเพียงนั่งลง แต่ภายในใจก็ยังคงกังวลดังเดิม

เพียงไม่นาน ก็มีผู้มาเยือนตรอกซานเยวี่ยอีกหนึ่งคน เขาก้มลงกระซิบข้างหูของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนผุดรอยยิ้มเริงร่าขึ้นมาทันพลัน และกล่าวกับคนผู้นั้นว่า “ข้ามีใบรายชื่ออยู่หนึ่งใบ เจ้าเรียกเหล่าพี่น้อง ให้ไปส่งเทียบเชิญพวกเขามาที่นี่”

คนผู้นั้นรับใบรายชื่อไปอ่าน ตกใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็โค้งคำนับให้และถอยออกไป ก่อนที่หายตัวไปท่ามกลางลมหิมะ

จนถึงตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ แล้วถามว่า “รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ผลิ ผู้ใดสั่งให้เจ้าไปที่กรมเจี้ยวฟาง ? ”

จีหลินชุนตื่นตะลึงขึ้นมาทันพลัน นางเงยหน้ามองไปยังทางลมหิมะ นางมิได้ตอบอันใด

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงออกไปจากอารามซุ่ยเยว่ ? ”

จีหลินชุนยังคงมิเปิดปากกล่าวสิ่งใดออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก ราวกับกำลังคุยกับตนเอง “คนในสมัยก่อนกล่าวว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา… พวกเขามิอาจหลอกข้าได้ !”

เขาหันกลับไปมองยังตราประทับที่ติดอยู่บนบานประตูสีแดงเข้ม สีหน้ายังคงราบเรียบอยู่ดังเดิม “บ่อน้ำนั่นคือทางเดิน ต้นบ๊วยนั่นก็คือสัญญาณลับ”

เมื่อถึงตรงนี้ จีหลินชุนจึงได้ดึงสายตาหันกลับมาจ้องฟู่เสี่ยวกวน เป็นคราแรกที่นางได้พบกับฟู่เสี่ยวกวน นางคาดมิถึงว่าชายหนุ่มที่ยังเยาว์วัยผู้นี้จะทราบความลับนี้ได้ !

พวกเขารับรู้นานแล้วว่าด้านนอกอารามซุ่ยเยว่นั้นมีคนคอยจับตามองอยู่ แต่พวกเขาเชื่อว่าความลับนี้จะมิมีทางรั่วไหลอย่างแน่นอน เพราะแต่เดิมภายในอารามซุ่ยเยว่มิได้มีสองคน และพวกเขาก็รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเหล่าผู้จับตามองมาตลอด

เยี่ยงนั้นแล้วฟู่เสี่ยวกวนรู้ได้เยี่ยงไรกัน ?

ราวกับฟู่เสี่ยวกวนพูดประโยคลอย ๆ ที่มิมีความเกี่ยวข้องอันใด เขานั่งพิงเก้าอี้และหันมองประตูสีแดงบานนั้น

“พวกเจ้าคงมิรู้ ข้าผู้นี้ชื่นชอบดอกไม้อย่างมาก โดยเฉพาะการเก็บดอกไม้ ประจวบกับกิ่งดอกบ๊วยของต้นนั้นที่ยื่นมาถึงบ่อน้ำ ยามที่ข้าเข้ามาก็ได้เหลือบมองกิ่งดอกบ๊วยนั้นพอดี กิ่งดอกบ๊วยนั้นมีอยู่ 12 ดอก ทั้งยังมีอีก 5 ดอกตูม และยามที่ข้าออกมากิ่งบ๊วยนั้นกลับมีอยู่เพียง 10 ดอกและดอกที่ตูมก็ยังมีอีกห้าดอก เจ้ามิเชื่อหรือ เยี่ยงนั้นตอนนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้ากลับไปนับ”

สิ่งนี้ทำให้จีหลินชุนปวดใจเป็นอย่างมาก ดอกไม้สองดอกนั้นถึงแม้จะมิใช่นางที่เป็นผู้เด็ด แต่นางก็รู้ว่านี่คือข่าวสารของภายใน และจากที่มองในตอนนี้ก็มีความหมายว่าได้ละทิ้งตนแล้ว

ซูซูเบ้ปากเพราะความเปรี้ยวของถังหูลู่ สองตากลมโตหรี่เล็กลง แต่ยังคงจดจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน คิดว่าคนผู้นี้เป็นคนที่คิดอย่างรอบคอบ หากผู้อื่นเด็ดดอกไม้ดอกอื่นแทนเล่า เจ้าก็มิรู้แล้วมิใช่หรือ ?

และทันใดนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวจึงได้เข้าใจความหมายบางส่วน และสำหรับเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนทำทั้งหมดในวันนี้ ก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมองดอกไม้ท่ามกลางสายหมอก แต่นางกลับรู้สึกว่านี่ช่างน่าสนใจอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกับการลอกชั้นขนมดอกกุ้ยฮวาทีละชั้น ๆ และค่อยเอาเข้าปาก หลังจากนั้นก็เคี้ยวอย่างละเอียดเพื่อลิ้มรสอย่างช้า ๆ

“ที่ข้ากล่าวนั้นเป็นความจริง เจ้าลองเดาว่าเหตุใดข้าจึงมิมัดมือมัดเท้าเจ้า ?”

“เจ้าต้องการให้ข้าหนี ? ”

“มิใช่ ข้าต้องการให้เจ้าทราบ ว่ามิมีผู้ใดกล้ามาช่วยเจ้า”

“นอกจากนี้ เจ้าอย่าได้พยายามกินยาพิษ นอกจากจะเพิ่มความผิดบาปให้กับตนเองก็มิมีความหมายใดอีก เพราะข้ามีศิษย์พี่ใหญ่ที่สามารถแก้พิษได้”

ฟู่เสี่ยวกวนขยับเรือนร่าง เพื่อให้ตนเองนั่งสบายขึ้นเล็กน้อย “หากเป็นอดีตก่อนหน้านี้ ข้าคาดว่าจะมีคนมาช่วยเจ้า หรือไม่ก็สังหารเจ้าซะ แต่เพราะเหตุนองเลือดที่ถนนเส้นยาวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ข้าชนะและในยามนี้ก็ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตหน้าประตูจวนฮุ่ยชินอ๋อง มิมีผู้ใดกล้ามาสังหารข้าอีก และก็มิมีผู้ใดกล้ามาช่วยเจ้าเช่นกัน”

“ความจริงแล้วข้าสามารถบอกความลับให้เจ้าฟังได้อีกหนึ่งเรื่อง อุโมงค์ที่อยู่ใต้บ่อน้ำนั้น…” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังบานประตูสีแดงเข้ม หัวใจของจีหลินชุนเย็นเยียบฉับพลัน เย็นเยียบยิ่งกว่าอากาศหนาวของหิมะตอนนี้เสียอีก

จบแล้ว !

มิแปลกที่เขาจะรออยู่ที่นี่ มิแปลกที่เขากล่าวว่าหย่อนเหยื่อตกปลาที่นี่

ในยามนี้สีหน้าของจีหลินชุนเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา เขาส่ายหน้า “สายลับระดับเจ้า…เพียงคำพูดเดียวก็ทำให้เจ้าโกรธแล้วรึ ข้ารับมิได้จริง ๆ ”

“ความจริงข้าเพียงแต่คาดเดาเท่านั้น แต่ในตอนนี้ก็สามารถมั่นใจได้แล้ว โชคดีที่เจ้ามิใช่คนของข้า มิเช่นนั้น…เจ้าได้ตายไปนานแล้ว”

จีหลินชุนอ้าปากค้างอย่างตกใจ และกลืนน้ำลายลงคอ คำพูดนั้นทำให้ใจของนางสั่นไหว ที่เขากล่าวมานั้นคืออาการของข้าเมื่อครู่รึ ข้าได้เผยพิรุธออกมาเยี่ยงนั้นรึ ?

คำพูดของของเขาก่อนหน้านี้ก็เพื่อปูทางสำหรับตอนนี้รึ ?

ย่อมต้องเป็นเยี่ยงนั้น !

เขาใช้คำพูดก่อนหน้านั้นเพื่อทำให้ตนเองเชื่อว่าเขาทราบเรื่องทั้งหมด หลังจากที่ตนเองคลายการระมัดระวัง เขาจงใจพูดประโยคนี้เพื่อให้เขาคิดว่าตนเองรู้และยังตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติ และในตอนนี้เขาจึงมั่นใจในการคาดเดาของเขาแล้ว !

นี่คือชายหนุ่มที่ยังไม่ครบสิบเจ็ดปีดี ?

ต่อให้เป็นที่ปรึกษาของหยี่ฮวาถายก็มิสามารถสู้เขาได้ !

ไม่น่าแปลกใจที่เขายังมีชีวิตรอดมาจากการลักพาตัวในปีที่แล้วมาได้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะสามารถพลิกคว่ำฮุ่ยชินอ๋องได้อย่างง่ายดาย ที่ปรึกษาของหยี่ฮวาถายคิดว่านี่คือโชคของฟู่เสี่ยวกวน ยามนี้จีหลินชุนเชื่ออย่างสุดใจ ว่าทั้งหมดนี่คือความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนเอง !

“เจ้าว่า หากข้าโยนเจ้าเข้าไปในจวนฮุ่ยชินอ๋องตอนนี้ แล้วพวกเขาก็ปีนออกมาจากที่ใดที่หนึ่งในจวนฮุ่ยชินอ๋อง แต่กลับพบเจ้าเข้าพอดี พวกเขาจะคิดอย่างไรกัน ?”

“ข้าคาดว่าด้วยความฉลาดของเจ้าคงมิเข้าใจ ข้าจักเสริมให้อีกหนึ่งประโยค หากพวกเขาพบเห็นเจ้าเข้า และข้าโผล่ขึ้นมาทางด้านหลังของเจ้าอย่างพอดิบพอดี เยี่ยงนี้เจ้าคงจะสามารถเข้าใจได้แล้วสินะ”

สีหน้าของจีหลินชุนซีดเผือดไปอีกครา

นางย่อมเข้าใจ คนเหล่านั้นย่อมคิดว่านางขายพวกเขาเป็นแน่ !

“น่าสนใจมากมิใช่รึ เจ้าคิดว่าในสถานการณ์เยี่ยงนี้ พวกเขาจะฆ่าเจ้าก่อนหรือฆ่าข้าก่อนกัน ? ”

“ข้ามิได้ต้องการให้ร้ายเจ้าแต่อย่างใด สำหรับข้า ชีวิตของเจ้ามิสำคัญอย่างแท้จริง แต่หากเจ้าให้ความร่วมมือกับข้า ข้าคิดว่าในเมืองหลวงที่ใหญ่โตนี้ เกรงว่ามีเพียงข้าที่จะสามารถรับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้ ดังนั้นกลับไปยังหัวข้อเมื่อครู่ รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ผลิ ผู้ใดที่ให้เจ้าไปยังกรมเจี้ยวฟาง ครานั้นได้เลือกไปกี่คน ปีที่แล้วจ้าวซื่อและหยางชีได้ลักพาตัวข้า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือผู้ใดกัน ? ”

“ปัญหาสามข้อ แลกกับการรักษาชีวิตเจ้าไว้ เจ้าต้องเลือกด้วยตนเอง หากรอจนงานเลี้ยงเริ่ม เจ้าจักมิมีโอกาสอีกแล้ว”

จนถึงตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ปิดปากลงมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก

แต่เยี่ยนเสี่ยวโหลวในยามนี้มีความรู้สึกว่ามีขนมกุ้ยฮวาจะถูกลอกออกทั้งหมดแล้ว จากที่นางมองสถานการณ์ทั้งหมดนี้ยังเหลือชั้นสุดท้ายอยู่ เยี่ยงนั้นก็รอให้คนของอารามซุ่ยเยว่มาถึงจวนฮุ่ยชินอ๋อง

ซูซูรู้สึกว่าเรื่องวุ่นวายจักกวนประสาทกันมากเกินไปแล้ว นางมิเคยคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

เพียงไม่นาน ซูโหรวก็มาถึง โดยที่ด้านหลังแบกฉินตัวใหญ่มาด้วย

“ศิษย์น้องหก เจ้าชักจะขี้เกียจเกินไปแล้ว ฉินนี้ข้ามอบให้เจ้า ข้าและศิษย์พี่ใหญ่ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ…” ซูโหรวลืมตาที่เล็กเรียวมามองฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนได้มอบงานที่แปลกอย่างมากให้พวกเขา แต่นางมิได้ถามออกไปว่าทำไม แต่กลับกล่าวว่า “เจ้าจงเฉลียวใจให้มาก เจ้าเด็กซูซูนี่…บางเวลาก็พึ่งพามิได้ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม แต่ซูซูกลับเบะปาก นึกถึงศิษย์ทั้งแปดของสำนักเต๋า คนที่พึ่งพาไม่ได้มากที่สุดคือศิษย์พี่สี่ต่างหาก !