ตอนที่ 148 มายาบรรพชนหกดารา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

กล่าวกันว่าเวลามักผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วเสมอ ครึ่งปีผ่านไปแต่ให้ความรู้สึกคล้ายชั่วพริบตา

ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ใช้เวลาทั้งหมดเก็บตัวอยู่ภายในหอคอยวิญญาณโดยไม่ได้ออกมาด้านนอกแม้เพียงครึ่งก้าว

หากผู้ใดได้มาพบคงจะนึกฉงนและสนใจอยู่ไม่น้อยเพราะในช่วงเวลาหกเดือนระหว่างที่นางฝึกฝนอยู่นั้นหานอวี้และไป๋ฉี่ หนึ่งอสูรตัวน้อยและหนึ่งวิญญาณตัวโต จับเข่านั่งพูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างจริงจังจนเรียกได้ว่าสนิทสนมคุ้นเคยราวกับรู้จักกันมาชั่วชีวิต ทว่าด้วยอายุของทั้งคู่ที่ยังไม่เข้าใกล้วัยผู้ใหญ่กันเลยสักตนจึงทำให้บทสนทนาทั้งหลายออกจะฟังดูใสซื่อจนน่าเอ็นดูและบางคราก็น่าขำอยู่เล็กน้อย

‘แต่สิ่งที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเนื้อหาในบทสนทนานั้นมันดูออกจะแปลกประหลาดสักหน่อย’

ถึงแม้ความนึกคิดและสติปัญญาของหานอวี้จะเทียบเท่ากับเด็กเล็กอายุสองสามขวบที่ยังคงไม่เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ในโลกนี้อีกมาก แต่มันเคยก็ได้ท่องโลกกว้างกับฉินอวี้โม่มาก่อน เจ้ามังกรน้อยจึงรู้อะไรหลายอย่างที่ไป๋ฉี่ไม่เคยรู้

ตัวอย่างเช่น เรื่องที่ไป๋ฉี่สงสัยเกี่ยวกับวันปีใหม่ เด็กชายอายุสามขวบก็สามารถอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซึ่งถึงแม้การอธิบายนั้นจะเสมือนเป็นเพียงการเล่าบรรยากาศแบบคร่าว ๆ และกว้าง ๆ เสียมากกว่าแต่ก็ทำให้ฝ่ายคนฟังตาเป็นประกายสุกใสได้ในทันที

เมื่อได้รู้ว่าวันปีใหม่เป็นวันที่มีชีวิตชีวาถึงเพียงนั้น ไป๋ฉี่ก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น

เมื่อรู้ว่าไป๋ฉี่กำลังโหยหาอยากจะออกไปจากหอคอยวิญญาณให้ได้ หานอวี้ก็เอามือจับหัวของอีกฝ่ายราวกับผู้ใหญ่ปลอบเด็กที่กำลังเศร้าเสียใจ เจ้าตัวน้อยยังบอกด้วยว่าวันไหนที่เพื่อนรักตัวโตออกไปได้มันจะพาเขาไปหาอะไรสนุก ๆ ทำอย่างแน่นอน

และบัดนี้ ทั้งสองตนก็ได้ให้คำมั่นสัญญาแก่กันแล้ว เป็นคำมั่นสัญญาที่ทั้งคู่ตั้งมั่นว่าจะยึดถือกันอย่างมากทีเดียว

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเพ่งสมาธิฝึกฝนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นรอบข้าง เมื่อเห็นหนูน้อยทั้งสองสนิทสนมกันได้ถึงเพียงนั้น ในฐานะมารดา เอ้ย ผู้เป็นคนกลางนางก็อดยิ้มอย่างปลาบปลื้มไม่ได้ เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง สตรีโฉมงามก็เลิกใส่ใจเรื่องนี้และตั้งใจฝึกฝนต่อไป

………..

เป็นเพราะว่าใกล้จะถึงงานใหญ่ของโรงเรียนเต็มทีแล้ว บรรยากาศภายในโรงเรียนราชสำนักจึงร้อนระอุและคุกรุ่นไปด้วยเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่น หลายคนตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนกันอย่างหนัก ขณะเดียวกันในช่วงนี้ก็ไม่มีกิจกรรมใหญ่อื่นใดในโรงเรียนให้ทำเลย ทุกคนจึงทุ่มเวลาว่างทั้งหมดที่มีเพื่อเตรียมสร้างผลงานที่ดีที่สุดในงานประชันยุทธ์ของโรงเรียน

หานโม่ฉือมาที่โรงเรียนเพื่อพบเจอฉินอวี้โม่ครั้งหนึ่ง แต่เมื่อทราบว่านางเข้าไปฝึกฝนในหอคอยวิญญาณโดยตั้งใจจะเก็บตัวเป็นเวลาถึงครึ่งปี บุรุษผู้เคยเย็นชาก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกลับออกไป หานโม่ฉือรู้ดีว่าฉินอวี้โม่กำลังกระหายความแข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดรบกวนนางแต่จะคอยช่วยขจัดปัดเป่าภัยร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ให้หมดไป เขาจะไม่ยอมให้อันตรายใด ๆ มากล้ำกรายสตรีผู้เป็นที่รักได้

ด้านสถานการณ์ทางฝั่งอารามในตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าตกอยู่ในสภาวะวุ่นวายไม่น้อย บรรดาสมาชิกในขุมกำลังที่ทะนงตนว่ายิ่งใหญ่ต้องปวดหัวอยู่พอสมควรกับคนที่หานโม่ฉือส่งไปปั่นป่วน อีกทั้งบุรุษน้ำแข็งยังจับตาดูพวกเขาอยู่ตลอดเวลาทำให้ขุมกำลังมากอำนาจนี้ไม่เหลือเวลามาสนใจการแก้แค้นฉินอวี้โม่และตระกูลฉิน

ทางด้านตระกูลฉินเองก็เก็บตัวฝึกฝนกันอย่างหนักเช่นกัน พวกเขาเหมือนกับราชสีห์บาดเจ็บที่กำลังซุ่มเก็บตัวรักษาบาดแผลและลับเขี้ยวเล็บ เป็นไปได้สูงว่าหากต้องรับมือกับผู้รุกรานอีก การตอบโต้ของพวกเขาก็คงจะอำมหิตจนน่าหวาดหวั่นเป็นแน่ นั่นจึงทำให้หลายตระกูลไม่กล้ายั่วยุพวกเขา

ในเวลานี้ทั่วทั้งดินแดนหวนหลิงกำลังตกอยู่ในความเงียบสงบราวกับว่าทุกคนกำลังเก็บตัวฝึกฝน ไม่มีผู้ใดสร้างเรื่อง ไม่มีการก่อความวุ่นวาย หรือแม้แต่กระทำการใด ๆ ให้เป็นที่จับตามองในช่วงนี้

เพียงชั่วพริบตาถัดมา ในที่สุดวันก่อนวันจัดงานประชันยุทธ์แห่งโรงเรียนราชสำนักก็มาถึง

เป็นเพราะว่างานประชันยุทธ์เป็นงานใหญ่ของโรงเรียน อาจารย์ซ่างกวนซวี่จึงประกาศงดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนทุกคนในชั้นได้มีเวลากับการฝึกฝนและเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้าย

หลังจากผ่านมาหกเดือน ความแข็งแกร่งของทุกคนก็พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งผู้ที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดสามอันดับแรกของห้องเรียนก็คือโอวหยางชิงเฟิง ฉีอวี้ และเยว่ชิงเฉิง สามสหายที่ได้รับโอสถก่อมายาจากฉินอวี้โม่

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ พวกเขาต่างก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้ทั้งสามคนจึงถือว่าเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชนที่แท้จริงและสมบูรณ์

ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้น้อยหน้า พวกเขาต่างขึ้นมาอยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดารากันทั่วหน้า เหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก็จะได้เป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชน

เวลานี้อันดับในทำเนียบต่าง ๆ ของโรงเรียนก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ตัวอย่างเช่นในอันดับต้น ๆ ของทำเนียบดาวรุ่งตอนนี้ถูกจับจองโดยฉินอวี้โม่และเหล่าสหายของนาง

ฉินอวี้โม่ยังคงครองอันดับที่หนึ่ง อันดับที่สองเปลี่ยนเป็นของโอวหยางชิงเฟิง ที่สามคือองค์ชายฉีอวี้ ที่สี่ถูกครอบครองโดยเยว่ชิงเฉิง  ที่ห้าหลิงเฟิง ที่หกหลิงซวง และที่เจ็ดเป็นของเหย่าเซียนเอ๋อร์ แม้แต่องค์หญิงฉีฉีที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มก็ยังเลื่อนขึ้นมาติดหนึ่งในห้าสิบด้วย

ส่วนชื่อของบุคคลที่คุ้นเคยกันมากอย่างเสี่ยวโร่วบัดนี้ไม่มีให้เห็นอีก นั่นก็เนื่องมาจากทางโรงเรียนได้นำชื่อของนางออกไป

“เมื่อไหร่อวี้โม่ถึงจะออกมาเสียที”

ในระหว่างมื้ออาหาร สหายอวี้โม่ทั้งหลายกำลังจับกลุ่มร่วมโต๊ะและสนทนากัน และคนที่เอ่ยคำถามออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวลก็หนีไม่พ้นสาวงามตระกูลช่างหลอมอย่างเยว่ชิงเฉิง

พรุ่งนี้ก็จะถึงวันแห่งศึกประชันยุทธ์แล้ว และเวลาของการลงทะเบียนก็จะหมดเขตในอีกสองชั่วยาม แต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณหนูตระกูลฉิน หากเป็นเช่นนี้นางก็อาจจะพลาดการสมัครไปก็ได้

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปได้แค่ชั้นสี่ ที่ชั้นหกจะเป็นอย่างไรข้าเองก็ไม่รู้ ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่านางจะออกมาทัน”

โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะ ยามนี้เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มสหายอวี้โม่ ทว่าแม้แต่ตัวเขาทางโรงเรียนก็ยังอนุญาตให้ขึ้นไปได้เพียงชั้นที่สี่ และถ้าหากเขาต้องการจะไปชั้นที่หกให้ได้ก็คงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย

“ไม่ต้องห่วง ข้าเชื่อมั่นในตัวอวี้โม่ นางรู้เวลาของงานประชันยุทธ์ดี ในเมื่อตั้งใจแน่วแน่จนถึงกับสู้ทนฝึกฝนเก็บตัวอยู่ตั้งหกเดือน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะพลาดงานนี้ได้”

หลิงซวงเอ่ยความคิดเห็นของตน แม้ว่าตัวนางเองจะลอบห่วงกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ยังเชื่อมั่นในตัวสหายตระกูลฉินผู้นี้

เพราะก่อนจะเข้าไปในหอคอยวิญญาณฉินอวี้โม่ได้รับทราบเวลาที่งานประชันยุทธ์จะเริ่มแล้วและจดจำได้เป็นอย่างดี รวมถึงเหตุผลที่สหายผู้เก่งกาจเข้าไปฝึกฝนครั้งนี้ก็เพื่องานใหญ่ดังกล่าว หลิงซวงจึงไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะพลาดงานนี้ไปได้

สิ่งที่หลิงซวงกล่าวไม่ผิดเพี้ยน แน่นอนว่าเวลาที่งานประชันยุทธ์จะเริ่มขึ้นนั้นฉินอวี้โม่ทราบเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามคุณหนูตระกูลฉินกลับไม่ทราบว่าก่อนที่จะเริ่มงานประชันยุทธ์นักเรียนจะต้องทำการลงทะเบียนเข้าร่วมเสียก่อน และถ้าหากว่าไม่ไปรายงานตัวก็จะหมดสิทธิ์ลงแข่งขัน

………..

ภายในห้องที่หนึ่งของชั้นที่หกแห่งหอคอยวิญญาณ

ในเวลานี้ฉินอวี้โม่กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึกทำให้ไม่มีเวลาเพ่งความสนใจกับเรื่องภายนอก

ขณะนี้พลังมายาปริมาณมหาศาลกำลังไปรวมตัวกันที่ฉินอวี้โม่ โดยมีไป๋ฉี่และหานอวี้นั่งเฝ้าดูด้วยสีหน้าอันสงบ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่พวกเขาเห็นเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คาดว่าฉินอวี้โม่คงกำลังทะลวงพลังอยู่

“ท่านแม่สุดยอดไปเลย !”

หานอวี้กล่าวชื่นชมฉินอวี้โม่ แม้ว่าจะก้าวหน้าขึ้นเพียงแค่สองดารา แต่สำหรับขอบเขตมายาบรรพชนการเพิ่มขึ้นสองดาราในครึ่งปีก็ถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว ต้องทราบก่อนว่าในดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ที่ภายนอกนั้น มียอดฝีมือจำนวนมากมายที่ต้องติดอยู่ขอบเขตนี้ไปจนตลอดชีวิต

ไป๋ฉี่พยักหน้า แม้ว่าตัวเขาจะแข็งแกร่งกว่านางมากแต่เขาก็ยอมรับเลยว่าฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์อันน่าตกใจ

ร่างกายของฉินอวี้โม่มีแสงปรากฏออกมาจาง ๆ จากนั้นสัญลักษณ์แห่งการเลื่อนระดับพลังก็ปรากฏบนฝ่าเท้าบาง

กระบี่และดาราทั้งหกคือรูปสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าตอนนี้สตรีผู้เฝ้าฝึกฝนมาอย่างยาวนานก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนหกดาราโดยสมบูรณ์

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ภายในโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้ ฉินอวี้โม่ก้าวหน้าจากขอบเขตนภมายาเก้าดารามาเป็นมายาบรรพหกดาราแล้ว ด้วยเวลาเพียงหนึ่งปีนี่ถือเป็นความก้าวหน้าที่น่าตกใจไม่น้อย

ขณะที่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น สาวงามก็สัมผัสได้ถึงพลังอัดแน่นรุนแรงที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายราวกับมันจะทะลักทลายออกมาได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางเผยรอยยิ้มยินดีอย่างอดไม่ได้

ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ ต่อให้ฉินอวี้โม่ไม่ใช้ทักษะอสูรเสริมร่างรวมถึงพลังของซิว นางก็ยังสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดาราได้ นางจะต้องคว้าอันดับที่หนึ่งในศึกประชันยุทธ์ครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน

หลังจากหยิบหินมายาที่คงเหลือในช่องเปิดใช้งานห้องออก ประตูก็เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ

เนี่ยหรูเฟิงที่เพิ่งออกไปลงทะเบียนมากำลังเดินกลับขึ้นมายังชั้นที่หกของหอคอยวิญญาณเพื่อฝึกฝนต่อ การเก็บตัวครั้งนี้ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาไปไม่น้อย อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่เขาจะก้าวเข้าไปในห้องที่ว่าง เขาก็เห็นประตูห้องที่หนึ่งเปิดขึ้นก่อนจะเห็นร่างของฉินอวี้โม่ที่ไม่เคยออกมาเลยเป็นเวลากว่าหกเดือนกำลังก้าวเท้าออกมาจากห้อง

“รุ่นน้องอวี้โม่ เจ้าลงทะเบียนศึกประชันยุทธ์แล้วหรือยัง ?”

ถึงแม้เนี่ยหรูเฟิงจะทราบดีว่าการไปรบกวนคนอื่นหลังจากเพิ่งเก็บตัวเสร็จจะเป็นการกระทำที่ดูเสียมารยาท ทว่าเขาก็ยังถามออกไปเพราะประตูห้องของนางไม่เคยเปิดออกเลยในครึ่งปีที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่าฉินอวี้โม่อาจจะยังไม่เคยออกจากหอคอยวิญญาณเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาไม่แน่ใจว่านางจะลงทะเบียนไปแล้วหรือไม่ รุ่นพี่ผู้หวังดีจึงเอ่ยถามเพราะความห่วงใย

ฉินอวี้โม่ชะงักไปในทันทีเมื่อได้ยินคำถามของเนี่ยหรูเฟิง

“รุ่นพี่เนี่ยหรูเฟิง พวกเราต้องลงทะเบียนเพื่อลงแข่งในงานประชันยุทธ์ด้วยอย่างนั้นหรือ ?”

สีหน้าของเนี่ยหรูเฟิงเปลี่ยนเป็นตกใจ เขาไม่คิดเลยว่าไม่เพียงแค่นางยังไม่ได้ลงทะเบียนเท่านั้น แต่ยังถึงกับไม่ทราบว่าจะต้องทำการลงทะเบียนก่อน

“ใช่ วันนี้เป็นวันลงทะเบียนวันสุดท้ายแล้ว ดูเหมือนว่าเวลาจะเหลืออีกแค่หนึ่งก้านธูป รุ่นน้องอวี้โม่เจ้ารีบไปจะดีกว่า ถ้ามัวช้าจะพลาดการแข่งเอาได้นะ !”

เนี่ยหรูเฟิงกล่าวเตือนสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจังเพราะกลัวจะทำให้นางเสียเวลาจึงไม่ได้เอื้อนเอ่ยยืดยาว

ฉินอวี้โม่ผู้ตื่นตกใจรีบรุดไปโดยไม่รอช้า ร่างบาง ๆ ของนางหายวับไปต่อหน้าต่อตาเนี่ยหรูเฟิง ก่อนที่เขาจะรู้สึกราวกับว่ามีเพียงสายลมกระแสหนึ่งพัดผ่าน

“รุ่นน้องอวี้โม่ โต๊ะลงทะเบียนตั้งอยู่ที่จัตุรัสโรงเรียน !”

เป็นเพราะมัวแค่ตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของสตรีรุ่นน้องทำให้เนี่ยหรูเฟิงตอบสนองและดึงสติกลับมาได้ช้า เขารีบตะโกนเตือนไล่หลังนางไปในความว่างเปล่า

อย่างไรก็ตามเนี่ยหรูเฟิงก็มั่นใจว่าฉินอวี้โม่จะต้องได้ยิน เขาจึงตะโกนบอกสถานที่ของจุดลงทะเบียนเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงกลัวจะถูกผู้อื่นต่อว่า ซึ่งทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้นางต้องเสียเวลาหา

“ขอบคุณน้ำใจของรุ่นพี่ ”

เพียงเสี้ยวลมหายใจเสียงเอ่ยขอบคุณแผ่วเบาของฉินอวี้โม่ก็ลอยมาตามสายลม บุรุษผู้ชื่นชอบการช่วยเหลือผู้อื่นก็เผยรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างอิ่มเอม

ฉินอวี้โม่บอกลาไป๋ฉี่และรีบออกมาจากหอคอยวิญญาณด้วยความเร็วที่สูงที่สุดในชีวิต นางมุ่งไปยังจัตุรัสของโรงเรียนอย่างไม่ลังเล

เมื่อไปถึงจัตุรัสกว้างกลางโรงเรียน นางก็เห็นโต๊ะสำหรับรับลงทะเบียนตั้งอยู่

ณ ที่ตรงนั้นอาจารย์ผู้ทำหน้าที่รับลงทะเบียนกำลังยุ่งอยู่กับการจัดเอกสารอย่างขะมักเขม้น

“อาจารย์ ข้ามาทันใช่หรือไม่ ?!”

ร่างของฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นข้างกายอาจารย์ผู้รับลงทะเบียนอย่างกะทันหันพลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล

ถ้าหากพลาดการลงทะเบียนนี้ไปก็คงจะขำไม่ออกอย่างแน่นอน นางตั้งใจคว้าที่หนึ่งมาให้ได้จนถึงกับสู้อุตส่าห์เข้าไปเก็บฝึกฝนตัวนานถึงครึ่งปี ทว่ายังไม่ทันจะได้เริ่มต้นก็จะพลาดเสียแล้ว นี่เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยเลยสักนิด

อาจารย์ผู้นี้คือหนึ่งในอาจารย์ที่ปรึกษาของนักเรียนปีสองมีนามว่า*–ลิ้วหยวย* เมื่อเห็นการปรากฏตัวกะทันหันของฉินอวี้โม่เขาก็สะดุ้งโหยง

ทว่าผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่ได้ดุด่า เขาหันไปมองธูปบอกเวลาที่มอดลงไปแล้วก่อนจะกล่าว “อืม ฉินอวี้โม่ใช่หรือไม่ เจ้ามาสายไปหนึ่งเฟิน ตอนนี้เราปิดรับลงทะเบียนแล้ว”

สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง บัดนี้ใบหน้าของนางซีดเผือดและตื่นตระหนก ไม่อยากเชื่อว่าในตอนนี้คุณหนูคนงามแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว

‘เหตุใดสวรรค์ต้องเล่นตลกเช่นนี้กับนางด้วยเล่า !’ ช้าไปแค่เฟินเดียวก็พลาดงานใหญ่นี้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ หากว่าไม่ได้เข้าแข่งจริง ๆ นางก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพียงแค่คิดว่าจะนั่งร้องไห้ดีหรือไม่ก็ยังไม่อยากทำ

“แต่ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด ยิ่งกว่านั้นหากไม่มีนักเรียนฉินอวี้โม่เข้าร่วมด้วย เกรงว่าการแข่งขันครั้งนี้ก็คงจะขาดสีสันไปไม่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะช่วยเจ้าก็แล้วกัน”

อาจารย์ลิ้วหยวยเผยรอยยิ้มใจดีพลางเอ่ยประโยคที่ทำให้สีหน้าของคุณหนูสี่ตระกูลฉินที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อดูดีขึ้นมาในทันใด

สำหรับนักเรียนที่ชื่อว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนด้วยกันเอง ผู้อาวุโสหรืออาจารย์ทั้งหลายในโรงเรียนต่างก็อยากจะเห็นผลงานของนางกันทั้งนั้น

เมื่อทราบว่านางเก็บตัวมาถึงครึ่งปีทุกคนก็อยากจะเห็นพัฒนาการของนางในช่วงที่ผ่านมาให้เห็นกับตา ดังนั้น แม้ว่านางจะมาสายไปหนึ่งเฟินและควรจะหมดสิทธิ์ลงทะเบียนแล้วก็ตาม แต่อาจารย์ผู้อยากเห็นฝีมือของศิษย์ผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงจึงยอมแหกกฎช่วยนางสักครั้ง

ที่สำคัญ เนื่องจากนักเรียนผู้นี้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งโรงเรียนจึงย่อมมีศิษย์น้อยใหญ่ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่หลายคนต้องการท้าประลองกับนาง อีกทั้งก่อนหน้านี้นางก็มีเรื่องบาดหมางกับจีหย่ง ก็คงจะมีผู้ที่มุ่งมั่นจะเอาชนะนางเป็นแน่ หากมีนักเรียนน้อยตรงหน้าเข้าร่วมการแข่งขันด้วย ศึกประชันยุทธ์ในปีนี้ก็คงจะสนุกขึ้นไม่น้อย

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อาจารย์อย่างเขาจะให้เวลาเพียงหนึ่งเฟินมาทำลายทุกอย่างลงไปได้อย่างไร !

ยิ่งกว่านั้น ไม่จำเป็นต้องต้องสงสัยเลยว่าหากฉินอวี้โม่พลาดการลงทะเบียนไป ท่านอธิการก็จะต้องหาวิธีช่วยให้นางได้ลงแข่งอยู่ดี ไม่มีทางที่เขาจะให้นักเรียนผู้เป็นดาวเด่นและน่าจับตามองมากในรอบหลายปีเช่นนี้พลาดงานสำคัญไปอยู่แล้ว

“ขอบคุณอาจารย์ลิ้วหยวยมาก”

เมื่อได้ยินสิ่งที่อาจารย์ผู้รับลงทะเบียนกล่าว ฉินอวี้โม่ก็โล่งอกและตื่นเต้นดีใจมาก

“ด้วยความยินดี เจ้ากลับไปเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ แล้วก็จงอย่าทำให้ข้าและทุกคนผิดหวังล่ะ”

ลิ้วหยวยยิ้มก่อนจะกล่าวเบา ๆ เขาบันทึกชื่อของฉินอวี้โม่ลงไปในบัญชีนักเรียนที่จะเข้าร่วมการแข่ง

ฉินอวี้โม่ก้มศีรษะทำความเคารพอาจารย์ ก่อนจะรีบหันหลังเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังหอพัก

……

ภายในหอพักนักเรียนหญิง เยว่ชิงเฉิงกับสหายสาวคนอื่น ๆ กำลังรอคอยการกลับมาของคุณหนูตระกูลฉินด้วยใจจดจ่อและเป็นกังวล

“อวี้โม่ นะ อวี้โม่ มัวแต่ทำไรของเจ้าอยู่ห้ะ ?! นี่มันเลยเวลาลงทะเบียนมาแล้วนะ”

เยว่ชิงเฉิงกล่าวอย่างหงุดหงิด ใบหน้าของคุณหนูตระกูลช่างหลอมกำลังยับยุ่งไม่สบอารมณ์

“แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วล่ะ ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ดูเหมือนช่วงเวลาสำหรับลงทะเบียนจะหมดลงแล้ว”

หลิงซวงกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่ปนขัดใจ นางไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะพลาดได้ง่าย ๆ เช่นนี้

“เอาอย่างนี้ พวกเรารีบไปขอร้องให้อาจารย์ซ่างกวนหรือไม่ก็ท่านอธิการช่วยเพิ่มชื่ออวี้โม่เข้าไปเป็นกรณีพิเศษเป็นอย่างไร ?”

เยว่ชิงเฉิงเสนอแนะ นางจำได้ว่าท่านอธิการมู่อวิ๋นดูจะโปรดปรานฉินอวี้โม่มากเป็นพิเศษ หากว่าเข้าพบท่านอธิการและกล่าวคำขอร้องพร้อมกับให้เหตุผลดี ๆ เขาก็อาจจะช่วยนางได้

“ใครบอกพวกเจ้าว่าข้าไม่ได้ลงทะเบียน ?”

ฉินอวี้โม่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องพัก เมื่อได้ยินบทสนทนาและบรรยากาศแสนตึงเครียดนั้นนางก็กล่าวเสียงดังด้วยรอยยิ้ม

“มาแล้วหรือเจ้าตัวดี ว่าแต่เจ้าลงทะเบียนไปแล้วจริงหรือ ? แล้วลงไปเมื่อไหร่กัน ?”

คราแรกเมื่อเห็นหน้าสหายที่ทำให้ต้องเป็นห่วง เยว่ชิงเฉิงก็อดต่อว่าไม่ได้ ทว่าก็มิวายรีบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงและใคร่รู้ เพราะเดิมทีพวกนางก็รอคอยคุณหนูตระกูลฉินอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียน แต่ทันทีที่หมดเวลาพวกนางก็เดินคอตกกลับมายังหอพัก ตอนนั้นพวกนางก็ยังไม่เห็นสหายผู้นี้ปรากฏตัว

“ข้าไปถึงเกินเวลาลงทะเบียนไปหนึ่งเฟิน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มร่าแล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้สหายฟัง

หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของสหาย หลิงซวงและเยว่ชิงเฉิงก็โล่งอก โชคชะตาของฉินอวี้โม่ราวกับมีเทพเซียนคอยโอบอุ้มเอาไว้ไม่มีผิด

“อวี้โม่ ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับไหนแล้ว ?”

หลิงซวงเอ่ยถาม สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุดในเวลานี้ก็คือระดับพลังของฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะแสดงสัญลักษณ์แห่งระดับพลังให้สหายทั้งสองดู ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งหลิงซวงและเยว่ชิงเฉิงตกตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง

.