ตอนที่ 111 ซุ่มฝึกวิชา (1)
ปลายเดือนกันยายน ฟางผิงไม่เป็นที่สนใจอีกแล้ว
ช่วงเวลาสว่างไสวตอนเปิดเรียน ค่อยๆ ถูกคนลืมเลือนเพราะคนอื่นต่างทยอยแสดงความโดดเด่นออกมา
ฉายา ‘ดาวเด่นหน้าใหม่’ ตอนนี้แทบไม่มีใครเรียกแล้ว
ปลายเดือนกันยายน คนที่โดดเด่นที่สุดยังคงเป็นพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกสองครั้งแล้ว
จ้าวเหล่ยหลอมกระดูกสำเร็จสี่สิบชิ้น การพัฒนาไม่ช้าลงเลย ภายในเวลาหนึ่งเดือน หลอมกระดูกแล้วเก้าชิ้น กระทั่งถังเฟิงยังชมไม่ขาดปาก
ฟู่ชางติ่งไม่ช้าไปกว่ากัน ตอนนี้หลอมกระดูกสามสิบแปดชิ้นแล้ว
ในหมู่ผู้หญิง หยางเสี่ยวม่านหลอมกระดูกไปสามสิบแปดชิ้นแล้วเช่นกัน เฉินอวิ๋นซีช้ากว่าหน่อย หลอมสำเร็จสามสิบเจ็ดชิ้น
คนพวกนี้ถึงจะนับว่าเป็นที่น่าสนใจในช่วงนี้
ทั้งหลายคนในนี้เข้าร่วมกับสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เช่นกัน ฟางผิงไม่ได้ไปตอนที่พวกเขาเปิดรับสมาชิกด้วยซ้ำ
เขาวนเวียนอยู่แค่สามที่ หอพัก ตึกเรียนและห้องฝึกซ้อม
คนอื่นๆ จะเห็นฟางผิงแค่ตอนเรียนวิชาวัฒนธรรมเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้นแทบจะไม่เจอเขาเลย แม้ในชั้นเรียนจะจัดกิจกรรมขึ้นมาหลายครั้ง ฟางผิงก็ไม่เคยเข้าร่วม
เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน แม้นักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์และหลอมกระดูกสองครั้งจะมีชื่อเสียงกว่าฟางผิง เขากลับไม่สนใจเรื่องนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้แข่งขันเรื่องชื่อเสียง โดยเฉพาะลำดับขั้นของเด็กใหม่ แบ่งอาจารย์ ทั้งได้คะแนนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เวลานี้ไม่มีความจำเป็นต้องแสดงฝีมืออะไร
—
คนที่มีโอกาสใกล้ชิดกับฟางผิง กลับเป็นจ้าวเสวี่ยเหมย
ปลายเดือนกันยายน
ห้องฝึกซ้อม
จ้าวเสวี่ยเหมยฝึกการแทงเท้า พลางมองฟางผิงอย่างสงสัย
ตอนเปิดเทอม เธอคิดว่าผู้ชายคนนี้ชอบทำตัวเป็นจุดสนใจ วางท่าและขี้อวดอยู่บ้าง
แต่ช่วงนี้เธอพบว่า ฟางผิงไม่เหมือนภาพในจินตนาการอย่างมาก พูดน้อย ดูสุขุมนิ่งลึก
ทุกคนต่างเป็นวัยรุ่น กระทั่งพวกจ้าวเหล่ย บางครั้งยังอดอวดตัวเองไม่ได้ อยากจะเปิดเผยให้ทุกคนรู้
พวกเขาหลอมกระดูกกี่ชิ้นแล้ว ล้วนเปิดเผยออกมาเองทั้งนั้น ไม่งั้นคนนอกจะรู้ได้ยังไง?
แต่ฟางผิงกลับไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้เลย หลู่เฟิ่งโหรวไม่ถามเขาเช่นกัน ความจริงอาจจะมองออก แต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น
คลุกคลีกับฟางผิงมาประมาณหนึ่งเดือน จ้าวเสวี่ยเหมยเห็นฟางผิงเอาแต่ฝึกวิชาคนเดียวอย่างน่าเบื่อ
อดถามออกไปไม่ได้ “นี่ นายหลอมกระดูกกี่ชิ้นแล้ว?”
“ฉันมีชื่อ” ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง ถามกลับว่า “เธอล่ะ?”
“35 ชิ้น”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่คิดปิดบัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวังอยู่บ้าง
“ตอนแรกยังตามทันคนอื่น แต่เดือนเดียวฉันกลับหลอมกระดูกได้แค่สี่ชิ้น ช้ากว่าพวกเขาไปเกือบครึ่ง อันที่จริงฉันคิดว่าเริ่มแรกฉันไม่ได้ช้าไปกว่าใครเลย หลอมไปแล้วตั้งสามสิบเอ็ดชิ้น ใครจะรู้ว่า ยิ่งนานเข้ากลับช้ากว่าทุกคนเสียอย่างนั้น”
“งั้นทำไมตอนแรกเธอถึงไม่หลอมกระดูกสองครั้งล่ะ?”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิด “นายคิดว่าใครก็ทำได้หรือไง? ฉันสะสมปราณถึงหนึ่งร้อยหกสิบเก้าแคล หลังจากนั้นให้ตายยังไงก็เพิ่มไม่ได้แล้ว กินยาบำรุงไม่ช่วยอะไรเหมือนกัน กลับทำให้ปราณพลุ่งพล่านขึ้นมา เกือบระเบิดร่างตัวเอง ไม่มีทางเลือก ฉันจึงทำได้แค่ทะลวงด่าน กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตอนที่ปราณหนึ่งร้อยหกสิบเก้าแคล ดังนั้นตอนแรกฉันเลยหลอมกระดูกได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีปัญหาอะไร รอจนเข้ามหาวิทยาลัยค่อยค้นพบว่า ฉันช้ากว่าคนอื่นอยู่มาก เฮ้อ น่าอิจฉาพวกนายจริงๆ นายหลอมกระดูกสามครั้ง ทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์เกือบหนึ่งเดือนแล้ว คงหลอมกระดูกได้เร็วสินะ จ้าวเหล่ยใช้เวลาหนึ่งเดือนหลอมเก้าชิ้น อย่างน้อยนายคงหลอมได้สิบชิ้น!”
“ประมาณนั้น”
ฟางผิงตอบไปลวกๆ จ้าวเสวี่ยเหมยไม่พอใจอยู่บ้าง ประมาณนั้นมันเท่าไหร่ล่ะ?
ระยะเวลาในการหลอมกระดูก แค่ชิ้นเดียวก็มีความแตกต่างกันมากแล้วเถอะ!
ฟางผิงไม่อยากบอก จ้าวเสวี่ยเหมยก็ไม่อาจซักไซ้ไล่เลียง เอ่ยว่า “อันที่จริงทุกคนต่างสงสัยสถานการณ์ของนายไม่น้อย ปกตินายแทบไม่โผล่ไปที่ไหน พวกเสี่ยวม่านเอาแต่ถามฉันเรื่องนาย”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเธอถามหาฉันทำไมกัน? ฉันหล่อขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“เหอะ หลงตัวเองน้อยๆ หน่อยเถอะ พวกเธอไม่มองนายเลยต่างหาก พวกเธอไม่เหมือนกับฉัน แข็งแกร่งกว่า หน้าตาสะสวยกว่า เพิ่งจะเปิดเทอมก็มีรุ่นพี่หลายคนมาตามจีบแล้ว ทั้งส่วนมากยังเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ขั้นสาม!”
จ้าวเสวี่ยเหมยอิจฉาอยู่บ้าง ตอบรับหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่ถูกคนตามจีบ สำหรับผู้หญิงแล้ว ถือเป็นเรื่องมีหน้ามีตา
โดยเฉพาะรุ่นพี่ที่มาจีบยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม!
แม้ว่าขั้นสามจะไม่ถือว่าโดดเด่นมากในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ พวกจ้าวเหล่ยอาจมีโอกาสทะลวงขั้นสองตอนปีหนึ่ง แต่ขึ้นปีสองไม่ได้จะสามารถทะลวงขั้นสามได้เสมอไป ปีสามถึงจะยังพอมีหวัง ก่อนจบปีสี่ อาจทะลวงขั้นสี่ไม่ได้ จบการศึกษาด้วยขั้นสามมีโอกาสสูงกว่า มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้มีนักศึกษากว่าหกพันคน แม้ขั้นสามจะไม่น้อย แต่ไม่ถือว่าเยอะเหมือนกัน เต็มที่ร้อยสองร้อยคน ขั้นสี่มีไม่ถึงสิบคน ขั้นห้าตอนนี้เท่าที่ทุกคนรู้มีแค่สองคน
คนที่อยู่ขั้นสี่ขั้นห้าแทบจะไม่อยู่ในมหาวิทยาลัย กล่าวว่าเป็นนักศึกษา ความจริงกลับไม่ค่อยเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนมากจะอยู่ที่อื่นเป็นหลัก
ตอนนี้นักศึกษาขั้นสี่ที่รั้งตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยถือว่าเป็นคนกลุ่มน้อย
จางอู่ ประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ที่อยู่ขั้นสี่ ถือว่าโดดเด่นในกลุ่มคนพวกนี้เช่นกัน
ไม่งั้นจางอู่คงไม่กังวลเรื่องหวังจินหยาง เลือกที่จะจำศีลหรอก
ฟางผิงสัมผัสได้ว่าเธออิจฉา จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขั้นสามตามจีบพวกเธอ ไม่ได้มีความหมายอะไร รอพวกเธอกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามหรือขั้นสี่ด้วยตัวเอง หันมามองอีกที ก็จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่พิเศษเลย ยิ่งไปกว่านั้น…”
ฟางผิงเว้นช่วงไปเล็กน้อย “ตอนนี้ยังรั้งตัวจีบสาวอยู่ในมหาวิทยาลัย คงไม่ได้พิเศษอะไร”
“หื้ม?”
จ้าวเสวี่ยเหมยเผยสีหน้าสงสัย ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ภารกิจในมหาวิทยาลัยมีเยอะจะตายไป ใครจะมีเวลามาตามจีบสาวกัน ฉันรู้จักอยู่คนหนึ่ง ฉินเฟิ่งชิง รองประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ หมอนี้เดือนหนึ่งกลับมามหาวิทยาลัยครั้งหนึ่งได้ก็บุญแล้ว แทบจะทำภารกิจอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ตอนที่เปิดเทอมฉันเจอเขาครั้งหนึ่ง เมื่อวานเพิ่งจะเจออีกครั้ง หมอนี้เพิ่งกลับมา บนร่างยังอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด ตอนเช้าที่ฉันออกมา เห็นเขาแบกเป้ออกไปพอดี นี่ถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามในความคิดของฉัน”
ต้นปีฉินเฟิ่งชิงอยู่ขั้นหนึ่งตอนปลาย จนตอนนี้อยู่ขั้นสาม
แม้ก่อนหน้านี้ฟางผิงจะคิดว่าเป็นเรื่องของโชค ตอนนี้คงจะไม่คิดแบบนี้แล้ว
หมอนั่นเป็นคนมุทะลุคนหนึ่ง แม้จะยังไม่ได้หลอมกระดูกแกนกลางสำเร็จ แต่ฟางผิงคิดว่าคงไม่ไกลมาก
ความจริงนักศึกษาที่อยู่ขั้นสามไม่ค่อยรั้งตัวอยู่ในมหาวิทยาลัย แม้จะกลับมาจากภารกิจ ก็พักแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ได้อยู่ในนี้ไปตลอด
ลูกศิษย์พวกนั้นของหลู่เฟิ่งโหรวต่างอยู่ในขั้นสาม จนถึงตอนนี้ฟางผิงยังไม่เคยเจอสักคน
ส่วนคนๆ นั้นที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ฟางผิงไม่ได้ติดต่อเธอเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอยังอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือเปล่า
คนพวกนี้ต่างหากถึงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามในความคิดของฟางผิง ขั้นสามที่อันตราย!
ส่วนพวกขั้นสามที่ยังอยู่ในมหาวิทยาลัย ส่วนมากจะอยู่ขั้นสามตอนต้น และเป็นประเภทที่ไม่ค่อยมีความกระตือรือร้น
อย่างน้อยก็ไม่มีความคิดจะทะลวงขั้นสี่ก่อนที่ตัวเองจะจบการศึกษา
จ้าวเสวี่ยเหมยครุ่นคิด รู้สึกว่ามีเหตุผลไม่น้อย ถือเป็นการปลอบใจตัวเองอยู่เช่นกัน เธอไม่ได้คุยประเด็นนี้ต่อ เอ่ยว่า “ช่วงนี้เหมือนไม่ได้ยินข่าวลือเรื่องที่นายจะประลองกับพวกปีสูงเลย ยกเลิกไปแล้ว?”
“เปล่า จะประลองกันพรุ่งนี้แล้ว”
ฟางผิงเอ่ยด้วยหน้าเปื้อนยิ้ม “วางแผนจะกลับบ้านสักหน่อย ขี้เกียจจะเสียเวลากับพวกเขาแล้ว”
เดือนตุลาคมยังมีวันหยุดชาติจีนอยู่ เขามาอยู่เซี่ยงไฮ้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม นี่ก็สองเดือนแล้ว ฟางผิงวางแผนจะกลับบ้านสักหน่อย
“พรุ่งนี้?” จ้าวเสวี่ยเหมยตกใจ “ทำไมนายไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
“พูดทำไม?”
“ไปเชียร์นายไง! นายเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉัน พวกเรายังมีอาจารย์คนเดียวกัน เทียบกับคนอื่นแล้ว พวกเราสนิทกันมากกว่า นายกลับไม่กระตือรือร้นเรื่องนี้เลย”
จ้าวเสวี่ยเหมยถอนหายใจ “ก็ถูก เปลี่ยนเป็นเสี่ยวม่านหรืออวิ๋นซี นายคงกระตือรือร้นกว่านี้”
ฟางผิงหลุดขำ “เธอคิดมากไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับหน้าตาสักหน่อย อีกอย่างเธอไม่ได้นับว่าขี้เหร่…”
“นั่นแหละขี้เหร่!” จ้าวเสวี่ยเหมยแค่นเสียง
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดจริง ไม่ได้ขี้เหร่ เธอแค่ไม่ได้สนใจเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว…เข้าใจความหมายฉันหรือเปล่า?”
—————