บทที่ 214.2 เดินทางยามราตรีท่ามกลางลมฝน โดย ProjectZyphon
เมื่อคนทั้งสองเจอภูเขาข้ามภูเขา เจอน้ำข้ามน้ำไปด้วยกัน เพียงไม่นานเวลาก็ผ่านไปได้ยี่สิบวันแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาล้วนราบรื่นไร้อุปสรรค ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินผิงอันกับนักพรตหนุ่มยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น เฉินผิงอันไม่คิดจะปิดบังท่าเดินนิ่งหกก้าวของตัวเอง ช่วงเวลาว่างระหว่างหยุดพักก็จะฝึกท่ากระบี่เจี้ยนหลู ส่วนสิ่งที่นักพรตจางซานฝึกนั้นกลับเป็นวิชาห้าอสนี เพราะเคยเห็นจากหลินโส่วอีและนักพรตเต๋าตาบอดมาก่อน นี่จึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน จางซานมักจะตั้งท่าประหลาดบ่อยๆ เขาจะยืนขาเดียว กำมือทุบลงไปบนช่องโพรงบางแห่งตรงหน้าท้องอย่างแรงจนกระทั่งเกิดเสียงคำรามอย่างเป็นขั้นเป็นตอน บ้างก็งอข้อมือ ใช้นิ้วมือยันไว้ตรงเส้นชีพจรบนลำคอ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งประกบสองนิ้วเป็นกระบี่ หุบปากแน่นสนิท ตรงหน้าท้องมีเสียงดุจฟ้าร้องกระหึ่มดังเป็นจังหวะจะโคน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เห็นคนที่ฝึกตนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เทียบกับการฝึกหมัดของตนแล้วก็ไม่เป็นรองเลยแม้แต่น้อย
เกรงว่านี่คงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คนทั้งสองจับคู่เดินทางลงใต้ไปพร้อมกันได้
ต่างก็ทนความลำบากได้ดี อีกทั้งยังสามารถหาความสุขจากมันได้ด้วย
บางครั้งที่ม่านรัตติกาลเยื้องกรายมาเยือน คนทั้งสองจะหาสถานที่หลบลมฝน ก่อกองไฟ บ้างก็เป็นวัดโบราณ บ้างก็เป็นถ้ำในภูเขา นักพรตหนุ่มจะเล่าถึงความร้ายกาจของผู้ฝึกกระบี่ในกุรุทวีปให้เฉินผิงอันฟัง บอกว่าเมื่ออยู่ที่นั่น นักพรตจะถูกคนดูแคลน อาวุธวิเศษชิ้นเดียวกัน หากผู้ฝึกกระบี่เป็นคนซื้อ จ่ายแค่เงินหิมะน้อยสิบอีแปะก็ได้แล้ว แต่หากนักพรตเต๋าเป็นคนไปซื้อ ราคาอาจจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าตัว ตอนที่พูดถึงเรื่องนี้ นักพรตหนุ่มที่นิสัยอ่อนโยนเผยสีหน้าขุ่นเคืองเพราะได้รับความอยุติธรรมออกมาเป็นครั้งแรก บอกว่าหากวันหน้าเป็นไปได้ เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงกฎพวกนี้สักหน่อย
ก่อนหน้านี้หลังจากที่นักพรตเต๋าหนุ่มแน่ใจแล้วว่าเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อันที่จริงเขาคิดอยู่หลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ หากจะบอกว่าผู้ที่ฝึกหล่อหลอมลมปราณให้กลายเป็นเซียนคือถ้ำผลาญทองที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์ก็คืออันดับสองอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาเองก็ต้องเผาผลาญเงินทองไปมากมายนับไม่ถ้วน นับตั้งแต่ที่เขาจางซานลงมาจากภูเขาก็ไม่เคยมีวันไหนที่ได้ใช้ชีวิตสุขสบาย บางครั้งที่ได้เงินมาก็ต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียนับร้อยรอบแล้วค่อยเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นยันต์ที่สามารถช่วยรักษาชีวิต หรือไม่ก็อาวุธกำจัดปีศาจปราบมารที่เหมาะสมที่สุดชิ้นสองชิ้น ยกตัวอย่างเช่นหากพบเจอกับปีศาจใหญ่ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงและสถานการณ์อันตราย ยันต์เทพเดินทางแผ่นหนึ่งก็สามารถช่วยให้นักพรตหนุ่มหนีไปไกลจากจุดเดิมได้หลายลี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งยันต์ชนิดนี้จางซานต้องจ่ายด้วยเงินเกล็ดหิมะสามสิบปีแปะ และเงินเกล็ดหิมะหนึ่งอีแปะ อย่างน้อยก็มีมูลค่าเท่ากับเงินที่ชาวบ้านใช้กันหนึ่งร้อยตำลึง นี่หมายความว่าหากจางซานอยู่ในหมู่ชาวบ้านก็ต้องอาศัยความสามารถของตัวเองหาเงินมาให้ได้อย่างน้อยสามพันตำลึง ถึงจะสามารถซื้อยันต์เทพเดินทางแผ่นหนึ่งได้
ทว่าในกุรุทวีปที่บนภูเขามีผู้ฝึกกระบี่ ล่างภูเขามีมือกระบี่มากมายดุจขนวัว ตลอดระยะทางมุ่งหน้าลงใต้ที่ยากลำบาก นักพรตหนุ่มซึ่งมีตบะขอบเขตสามต้องอาศัยการกำจัดปีศาจปราบมารที่ชั่วร้าย และในความเป็นจริงแล้วปีศาจที่กำจัดส่วนใหญ่จะเป็นพวกภูตที่ดื้อรั้นเกเร มารที่ปราบก็ยิ่งเป็นผีตามสุสานรกร้างที่ไม่มีสติปัญญาเท่านั้น นับว่าหาเงินมาได้อย่างยากลำบาก บางครั้งหากเจอกับปีศาจระดับสองที่มีฝีมือแข็งแกร่ง ไม่แน่ว่านักพรตหนุ่มยังต้องเสียทรัพย์สินของตัวเองไปด้วย เงินที่ได้มาเยอะจริงๆ ยังคงมาจากการเข้าร่วมขมากรรมพิธีหรือไม่ก็เวลามีงานมงคล โดยเฉพาะพิธีกรรมทางลัทธิเต๋าที่ต้องการให้นักพรตเต๋าเข้าร่วมเป็นจำนวนมากที่ได้เงินมาง่ายและเร็วที่สุด น่าเสียดายก็แต่เรื่องดีๆ แบบนี้ได้แต่ปรารถนา มิอาจครอบครอง
ดังนั้นหลังจากที่จางซานได้ยินว่าแจกันสมบัติทวีปเลื่อมใสนักพรตเต๋ามาก ไม่เหมือนกุรุทวีปที่ดูถูกนักพรตเต๋า เขาจึงอยากเดินทางลงใต้มาดูว่าจะมีโชควาสนากับที่แห่งนี้หรือไม่ ผลกลับกลายเป็นว่าขึ้นเรือมาได้ไม่นานก็เกือบจะต้องหิวตาย นี่ทำให้นักพรตหนุ่มเกิดเงาดำมืดในใจต่อการเดินทางมาเยือนแจกันสมบัติทวีป
อาณาบริเวณของแคว้นกู่อวี๋ไม่ใหญ่มาก เพียงไม่นานคนที่สองก็ข้ามเส้นชายแดนเข้ามาถึงอาณาเขตของแคว้นไฉ่อี ขณะที่เร่งเดินทางยามค่ำคืน จู่ๆ ก็เจอกับพายุฝนที่เทกระหน่ำ น่าแปลกมากก็คือพอคนทั้งสองเข้ามาในเทือกเขาเส้นหนึ่งที่ไร้เงาผู้คน เดินมาได้ประมาณสิบกว่าลี้ รอบด้านกลับไม่มีสถานที่เหมาะๆ ให้หลบฝนเลยแม้แต่แห่งเดียว มีแต่หินประหลาดบนเส้นทางคดเคี้ยว ส่วนใหญ่จะเป็นหินหน้าผาที่เปิดโล่ง อีกทั้งต้นไม้ใหญ่ที่งอกบนภูเขาบางต้น ส่วนใหญ่ยังแห้งเหี่ยวเฉาตาย ต้นไม้ที่พอจะมีสีเขียวให้เห็นอยู่บ้างก็อยู่ไกลเกินกว่าจะใช้คำว่าร่มใบรกครึ้มได้ ดังนั้นฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองที่ตกกระทบลงบนร่างของคนทั้งสองจึงต่อเนื่องไม่ขาดสาย แรงกระแทกมากพอจะทำให้ศีรษะของคนมึนงง ตอนที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันได้ขัดเกลาฝึกฝนขอบเขตที่สามของผู้ฝึกยุทธ์จนกลายมาเป็นเหมือนตัวประหลาดคนหนึ่ง แน่นอนว่านี่ไม่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีและใจไม่เต้นแรงด้วยความแตกตื่น ทว่านักพรตจางซานเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสามได้ไม่นาน เดิมทีระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายและจิตใจของผู้ฝึกลมปราณก็เทียบเคียงกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในระดับเดียวกันไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างรากฐานขอบเขตสามของเขาก็ถูกปูมาอย่างธรรมดา ดังนั้นสีหน้าของนักพรตหนุ่มจึงซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ำ เฉินผิงอันรู้ว่าอีกฝ่ายทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ต่อให้จางซานผ่านพ้นค่ำคืนแห่งพายุคืนนี้ไปได้ เกรงว่าพรุ่งนี้ก็ต้องล้มป่วยแน่นอน
เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน ตบไหล่จางซาน พูดกับเขาเสียงดังว่าอย่าเดินไปไหน พยายามรักษาลมหายใจให้ราบเรียบมั่นคงให้ได้มากที่สุด เขาจะออกไปสำรวจหาหนทางเพียงลำพังก่อน ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ภายในหนึ่งก้านธูปจะต้องกลับมา จางซานอึ้งตะลึง นักพรตหนุ่มที่ถูกห่าฝนสาดกระหน่ำลงบนร่างจนสมองเริ่มมึนงงขยับริมฝีปากเบาๆ พูดเสียงแผ่วเหมือนเสียงยุง เพราะฝนตกหนัก ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาเอ่ยว่าอะไร เห็นเพียงว่าร่างกายของจางซานยิ่งอ่อนแอลงไปอีก ไม่อาจทนรับการตากฝนแบบนี้ได้อีกแล้ว เฉินผิงอันจึงไม่ลังเล หันมาส่งยิ้มให้เขา จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเดินเร็วๆ จากไป
นักพรตหนุ่มนั่งลงขัดสมาธิ พยายามต้านทานความหนาวเย็นที่เสียดลึกถึงกระดูกอย่างเต็มกำลัง
ห้าขอบเขตล่างของผู้ฝึกลมปราณถูกเรียกขานว่าห้าขอบเขตขึ้นภูเขา ต้องชักนำพลังแห่งฟ้าดินภายนอกเข้ามาราดรดร่างกาย หล่อหลอมเนื้อหนัง เอ็น กระดูกและเลือดของตัวเอง ขอบเขตที่หนึ่งและขอบเขตที่สองคือขอบเขตหนังทองแดงกับขอบเขตรากหญ้า ซึ่งสามารถทำให้ผิวหนังกล้ามเนื้อของผู้ฝึกลมปราณแข็งแกร่งทนทาน เลือดลมพลุ่งพล่านอุดมสมบูรณ์ ตามหลักแล้วแค่พายุฝนเท่านั้น ต่อให้จะเป็นพายุฝนที่ตกแรงแค่ไหน นักพรตหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตสามเส้นเอ็นหลิวก็สามารถชักนำลมปราณมาหล่อหลอมเส้นเอ็นและกระดูกได้แล้ว ทว่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ข้างหลังผู้นี้กลับเดินไปบนเส้นทางของพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าที่ให้ความสำคัญกับวัตถุนอกกายมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นสมบัติอาคมอย่างยันต์เทพเดินทาง กระบี่ไม้ท้อ ฯลฯ ความสำเร็จในด้านการหล่อหลอมเลือดเนื้อจึงไม่โดดเด่นนัก อีกอย่างก็คือฝนฤดูใบไม้ผลินี้ตกลงมาอย่างฉับพลัน อีกทั้งยัง ‘หนาหนัก’ เกินไป เป็นเหตุให้ลมปราณแท้จริงในร่างของนักพรตหนุ่มถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว
การมองเห็นของนักพรตหนุ่มที่สีหน้าซีดขาวพร่าเลือน กำลังคิดไม่ตกว่าควรจะปลดห่อสัมภาระหยิบเอายาชดเชยลมปราณเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดกระเบื้องหรือไม่ แต่ต่อให้ยาที่มีชื่อว่า ‘หยางกลับคืน’ นี้ระดับจะย่ำแย่แค่ไหน ก็ต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะถึงหนึ่งอีแปะ ไหนเลยที่นักพรตหนุ่มจะตัดใจเอามาใช้ได้ เขาจึงกัดฟันอดทนกับความยากลำบากต่อไป หวังว่าเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะรีบไปรีบกลับ อีกทั้งยังหาสถานที่หลบฝนแห่งหนึ่งเจอ
เมื่อมาอยู่บนภูเขา บางครั้งก็ต้องทนรับความยากลำบากจากบนภูเขา
ข้อนี้ปีศาจของเมืองเล็กหลงเฉวียนก็คือตัวอย่าง เสียงการหลอมกระบี่ของหร่วนฉง ชาวบ้านร้านตลาดสัมผัสไม่ได้แต่กลับทำให้พวกปีศาจแทบเป็นแทบตาย
เฉินผิงอันเดินออกไปได้ครึ่งลี้ในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยไม่หลบซ่อนตบะขอบเขตสามเอาไว้อีก
เมื่อเขามองเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่เหลือเพียงกิ่งก้านแห้งเหี่ยวอยู่ด้านหน้าก็วิ่งเหยาะๆ สองสามก้าว แล้วกระโดดขึ้นเหยียบตามกิ่งต่างๆ จากต่ำขึ้นสู่จุดสูง คว้าก้านผุเปื่อยก้านหนึ่งเอาไว้ได้ก็เหวี่ยงกายเบาๆ ร่างลอยลิ่วขึ้นสูง กิ่งนั้นหักเปาะลงสู่พื้น เฉินผิงอันกลับไต่ขึ้นไปได้อีกหนึ่งระดับ มายืนอยู่บนจุดสูงของต้นไม้ใหญ่ ยื่นมือมาบังไว้ตรงหน้าผาก ทอดสายตามองไปไกล ไม่เห็นแสงไฟ แต่ห่างออกไปสุดปลายสายตากลับมีภูเขาลูกเล็กไม่สูงลูกหนึ่ง เฉินผิงอันกระโดดตัวขึ้น เท้าสองข้างกระทืบลงบนกิ่งไม้แห้งอย่างแรง อาศัยแรงดีดบินโฉบออกไปพร้อมกับที่ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังของเขาล้มครืน
ร่างของเขาพุ่งหลาวลงด้านล่างประหนึ่งลูกธนูที่ตีวงโค้งออกไป หลังจากร่างล่วงลงสู่พื้นดินแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันพื้นดินที่เฉะไปด้วยโคลน ร่างทั้งร่างตีหลังกากลับอยู่กลางอากาศ เท้าสองข้างเหยียบพื้น เป็นเวลาเดียวกับที่แตะปลายเท้า งอตัวพุ่งไปด้านหน้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว เพียงไม่นานก็มาถึงภูเขาลูกเล็กลูกนั้น พอขึ้นมายืนบนยอดเขา การมองเห็นก็เปิดกว้าง ยังคงมองไม่เห็นแสงไฟแม้แต่นิด นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย หากไม่ได้จริงๆ ระหว่างทางที่กลับไปก็คงต้องตัดกิ่งไม้เอาไปสร้างเพิงพักอย่างหยาบๆ เท่านั้น แต่ดูจากสีหน้าของจางซานแล้ว ต่อให้หลบอยู่ในเพิงพัก หากก่อกองไฟไม่ได้ ก็ยังต้องถูกลมหนาวรุกรานร่างกายจนล้มป่วยอยู่ดี
อันที่จริงลึกๆ ในใจเฉินผิงอันก็กลัดกลุ้ม เทือกเขาเล็กเตี้ยแถบนี้ประหลาดมากจริงๆ เขาเองก็เดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำมาไม่น้อยแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอสถานที่ที่แห้งเหี่ยวชวนหดหู่ได้มากขนาดนี้มาก่อน หากเป็นสุสานร้างที่มีกลิ่นอายอึมครึมแบบนี้ก็ยังพอทำเนา แต่นี่ทำไมพอฝนตกลงมา สถานที่แห่งนี้ถึงได้หนาวเย็นผิดไปจากที่อื่นขนาดนี้?
และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะหมุนตัวเดินกลับไปหานักพรตหนุ่มก็พลันค้นพบว่าตรงจุดสิ้นสุดการมองเห็นของสายตามีแสงสว่างจุดหนึ่งโผล่ให้เห็นอย่างเลือนราง กำลังขยับเคลื่อนไปทางทิศเหนืออย่างเชื่องช้า แสงไฟนั้นส่ายไหวอยู่ท่ามกลางม่านฝนเหมือนเรือลำน้อยที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ กลางคลื่นยักษ์ อาจจะมอดดับได้ทุกเมื่อ เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วจดจำทิศทางที่แสงไฟนั้นมุ่งหน้าไป แล้วจึงหมุนตัวย้อนกลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว พอเจอกับนักพรตหนุ่มที่ร่างโอนเอนจะล้มมิล้มเหล่ก็ประคองเขาขึ้นมา บอกว่าด้านหน้ามีคนกำลังเดินทางอยู่เหมือนกัน ลองดูว่าจะไปรวมตัวกับพวกเขาได้หรือไม่ หากเป็นคนในพื้นที่ ไม่แน่ว่าอาจรู้ที่หลบฝน
สีหน้าของนักพรตหนุ่มสดชื่นขึ้นทันที เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็แบกเขาขึ้นหลังแล้ววิ่งห้อไปเบื้องหน้า
เฉินผิงอันสะพายกรอบกระบี่ไม้ไหวแบกนักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อออกวิ่งตะบึงอยู่ท่ามกลางสายฝน ข้ามภูเขาวิ่งผ่านเนินเหมือนเดินอยู่บนพื้นราบ
ขณะที่นักพรตหนุ่มเริ่มสติพร่าเลือนใกล้จะหลับ แสงไฟเล็กๆ จุดนั้นก็เริ่มสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันชะลอความเร็วเล็กน้อย เงยหน้ามองไปก็เห็นภาพที่คนสองคนเดินทางร่วมกันอยู่กลางสายฝนเทกระหน่ำ สองคนนั้นคือคนหนุ่มที่ลักษณะเหมือนบัณฑิต พวกเขาแบกหีบหนังสือไว้ด้านหลัง คนหนึ่งกางร่ม อีกคนถือคบเพลิง แม้ว่าพวกเขาจะมีสภาพเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างจากเฉินผิงอัน แต่เมื่อเทียบกับสภาพอเนจอนาถของนักพรตหนุ่มแล้ว บัณฑิตสวมชุดขงจื๊อสองคนกลับยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า กำลังพูดอะไรกันบางอย่าง ราวกับไม่รู้สึกว่าลมฝนเป็นอุปสรรค ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากอะไร กลับกันยังเห็นเป็นความโชคดีที่มีค่ามากพอให้อารมณ์ดีอีกด้วย
ดูเหมือนคนทั้งสองจะสัมผัสไม่ได้ว่าเฉินผิงอันขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ
นี่ทำให้เฉินผิงอันพอจะวางใจลงได้บ้าง ในป่าร้างของค่ำคืนที่มีพายุฝน หากสถานการณ์ผิดปกติแสดงว่าย่อมต้องมีปีศาจแน่นอน และหากพบเจอกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ อีกทั้งเขายังไม่สามารถทอดทิ้งนักพรตเต๋าที่อยู่บนหลัง นั่นคงต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากสำหรับเขาแน่นอน
ขณะที่ยังอยู่ห่างอีกช่วงระยะหนึ่ง เฉินผิงอันก็ตะโกนเสียงดังด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป
บัณฑิตสองคนไม่มีใครได้ยิน พวกเขายังคงเดินหน้าต่อ
เฉินผิงอันโล่งอกได้อีกครั้ง ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณหรือปีศาจบนภูเขาก็ล้วนมีตบะไม่สูงนัก แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้จงใจปิดบังด้วย
จนกระทั่งเดินไปได้อีกสิบกว่าก้าว คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อสองคนถึงสังเกตเห็นเฉินผิงอัน
พวกเขารีบหยุดเดิน หันมากวักมือให้เฉินผิงอัน หลังจากพูดคุยกันได้พักหนึ่ง เห็นสีหน้าซีดขาวของนักพรตหนุ่ม บัณฑิตคนหนึ่งของแคว้นไฉ่อีก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งพลางกล่าวปลอบใจว่า “ข้าชื่นชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว มักจะแบกหีบหนังสือเดินทางไกลเพียงลำพังอยู่เป็นประจำ จำได้ว่าสถานที่แห่งนี้เงียบสงัดไร้ผู้คน แต่ห่างออกไปประมาณสามสี่ลี้มีจวนแห่งหนึ่งที่ใครบางคนซึ่งเร้นกายมาอยู่ในภูเขาสร้างเอาไว้ ข้ากับพี่หลิวก็กำลังจะเดินทางไปที่นั่นอยู่พอดี ไม่สู้พวกเจ้าเดินทางไปพร้อมกับพวกเราเลย”
บัณฑิตอีกคนหนึ่งที่ถือร่มยิ้มจืดเจื่อน “เดิมทีพวกเรานอนตากน้ำค้างอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่งห่างออกไปหนึ่งลี้ ไหนเลยจะคิดว่าจู่ๆ ฝนจะตกหนักขนาดนี้ หากไม่เป็นเพราะพี่ฉู่รู้เส้นทางคงลำบากกันจริงๆ”
เฉินผิงอันรีบกล่าวขอบคุณ
บัณฑิตสองคนที่ได้มาพบกันโดยบังเอิญ คนหนึ่งถือร่มมาบังไว้เหนือศีรษะของนักพรตเต๋า ปล่อยตัวเองให้ตากฝน หนาวสะท้านจนตัวสั่น
บัณฑิตที่เดิมทีถือคบเพลิงไว้ในมือสีหน้าหม่นหมอง เพราะพอไม่มีร่มช่วยบังให้ ต่อให้น้ำมันที่ใช้ราดคบเพลิงไม่ใช่วัตถุธรรมดา แต่เจอฝนที่ตกหนักสาดมาโดนแบบนี้ก็ย่อมต้องมอดดับ เขาตัดใจทิ้งไม่ลงจึงกอดไว้ในอ้อมอกของตัวเอง
บัณฑิตได้แต่อาศัยแสงสว่างจากการที่ฟ้าแลบครั้งแล้วครั้งเล่าคลำทางไปด้านหน้าตามความทรงจำของตัวเองอย่างยากลำบาก
แล้วพวกเขาก็เจอบ้านหลังหนึ่งจริงๆ
เหมือนบ้านของตระกูลคนรวยในเมืองใหญ่ แม้ว่าสิงโตหินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจะมีขนาดเล็กไม่ยิ่งใหญ่นัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีทั้งกลอนคู่วันปีใหม่ แล้วก็ไร้ภาพเทพทวารบาล
ในที่สุดก็มีชายคาให้หลบฝน มีโอกาสให้ได้พักผ่อนหายใจหายคอกันเสียที
บัณฑิตที่เก็บร่มเรียบร้อยรีบเดินไปเคาะประตูโดยไม่สนใจมารยาทอะไรทั้งสิ้น
ผลกลับกลายเป็นว่าต้องรออยู่นาน ประตูใหญ่ถึงได้เปิดออกดังครืดๆ บนท้องฟ้ามีสายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมาพอดี เผยให้เห็นใบหน้าแก่ชราที่แห้งตอบน่ากลัวของคนผู้หนึ่ง
บัณฑิตตกใจเซถอยหลังจนเกือบจะหงายหลังผลึ่ง
ใบหน้าของหญิงชราที่โผล่มากะทันหันนั้นปรากฏพรวดอยู่กลางม่านฝนที่สว่างจ้าพอดี อย่าว่าแต่บัณฑิตที่เดิมทีก็ไม่มีความกล้าหาญนักเลย ขนาดเฉินผิงอันที่พบเจอภูตผีบนภูเขามามากก็ยังตกใจสะดุ้งโหยง
ทุกคนรู้สึกเพียงว่าบ้านหลังนี้อาจจะไม่ใช่สถานที่อบอุ่นปลอดภัยกว่าด้านนอกที่ฝนฟ้าตกกระหน่ำเสมอไป
และจางซานนักพรตเต๋าที่เชี่ยวชาญด้านการกำจัดปีศาจปราบมารมากที่สุดก็ดันมาหมดสติอย่างไม่สนอีโหน่อีเหน่อะไรทั้งนั้น
—–