บทที่ 38 เหยียนหลิงจวิน พี่ชายภรรยาของเจ้าลักพาตัวสะใภ้หนีไปแล้ว! (1) Ink Stone_Romance
ราชวงศ์ซีเยว่ปฐมกษัตริย์กวงตี้ฤดูใบไม้ผลิปีที่สิบห้า สกุลซู ราชวงศ์ต่างสกุลเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้จัดทัพกำลังทหาร อาศัยความได้เปรียบจากการที่สกุลซูพำนักอยู่ทางใต้มาอย่างยาวนาน วางแผนอย่างบ้าระห่ำขีดเส้นแบ่งแม่น้ำแยกตัวออกมา สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้ปกครอง
ปีนั้น อ๋องฉางซุ่นให้สัญญากับฮ่องเต้ว่าจะร่วมก้าวเดินไปพร้อมกับเขา พบเจอศัตรูที่แข็งแกร่งก็จะร่วมกันหลั่งโลหิต คำสาบานนั้นได้ถูกเกือกม้าของกองทัพเหยียบย่ำจนมลายหายไปแล้ว
ฮ่องเต้พิโรธเป็นฟืนเป็นไฟ ส่งกำลังทหารนับแสนนาย เพื่อไปปราบปราม
ตามหลักเหตุผลแล้ว การถูกเพิกถอนบรรดาศักดิ์เชื้อพระวงศ์ต่างสกุลก็นับว่าไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของเขาแล้ว
ฉู่ฉีเหยียน ซื่อจื่ออ๋องหนานเหอรับอาสาเป็นผู้นำทัพด้วยตนเอง ทว่าฮ่องเต้กังวลว่าอายุยังน้อย ประสบการณ์ยังไม่มากพอ จึงเลือกใช้สกุลเจิ้ง แต่งตั้งเจิ้งตั๋วจวนผิงกั๋วกงเป็นแม่ทัพ ส่วนฉู่ฉีเหยียนนั้นเป็นผู้ช่วย ต้นเดือนสี่นำทัพลงไปทางใต้ ปราบปรามกบฏให้ราบคาบ
คราแรกนั้นก็สั่นสะเทือนไปทั้งราชสำนักและประชาชน จิตใจหวาดระแวง ทุกคนล้วนแต่สนใจกับการตั้งมั่นรับมือศัตรูของสงครามที่อยู่ตรงหน้า
เพราะการตายของซูซื่อจื่อที่ไม่เป็นธรรม ซูหังจึงหัวงอกโพลนภายในคืนเดียว แทนที่จะพูดว่าถูกบีบให้ใฝ่อำนาจ มิสู้กล่าวว่าถูกบีบจนต้องโต้กลับ ภายใต้ความรีบร้อนได้นำกำลังทหารทางน้ำกว่าแสนนายในมือ แทรกซึมเข้าไปตามเลียบแม่น้ำ
หลี่ที่เป็นสาขาย่อยของแม่น้ำหมิน ตั้งรับกองทัพของราชสำนักที่จะบุกเข้ามา โอบล้อมไว้อย่างหนาแน่นที่เจียงเป่ย
การเผชิญหน้าของสงครามที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบ ผ่านมาครึ่งเดือนม้าเร็วก็ส่งรายงายผลสงครามกลับมาเมืองหลวง…
เจิ้งตั๋วเนื่องจากไม่ชำนาญการศึกทางน้ำ การออกรบครั้งนี้จึงถูกฝ่ายตรงข้ามซุ่มโจมตีจนตกน้ำ ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก สาบสูญอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อข่าวแพร่กลับมา ก็จุดชนวนความโกลาหลให้แก่ราชสำนักและประชาชน
ฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกองค์ชายต่างๆ และขุนนางจำนวนหนึ่งเข้าเฝ้า ปิดประตูหารือกันอยู่ค่อนวัน ท้ายที่สุดก็รับสั่งให้
องค์รัชทายาทฉู่อี้อันออกจากเมืองอย่างเร่งด่วน ตามไปรับช่วงต่อเป็นแม่ทัพทางใต้ จึงค่อยทำให้เรื่องนี้สงบลงไปได้ชั่วคราว
วังบูรพา
เพราะว่าเรื่องเกิดอย่างกะทันหัน เจิงจีจึงนำพวกบ่าวจัดเตรียมสัมภาระอย่างรีบร้อน ผู้คนในจวนก็รีบเร่งกันไปทั้งหมด
ห้องหนังสือภายในเรือนซืออี้ ฉู่อี้อันเขียนตอบคำเสนอของหนังสือทางการฉบับสุดท้ายเสร็จแล้ว ก็ผลักทั้งกองนั้นไปยังด้านข้าง
ฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางที่นั่งอยู่ด้านล่างรีบเร่งดึงสติกลับคืนมา “ท่านพ่อ!”
“อืม!” ฉู่อี้อันส่งเสียงตอบรับคำหนึ่ง ก่อนจะกวาดตาไปทางด้านฉู่สวินหยางอย่างจนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยเบนสายตามากล่าวกับฉู่ฉีเฟิง “สาสน์ก็เตรียมเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”
“ขอรับ ล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว ก่อนพรุ่งนี้เช้าก็สามารถเอาไปรายงานฝ่าบาทได้แล้ว” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ในขณะที่พูด
ก็ยังแฝงถึงความร้อนใจอยู่บ้าง “ด้านนั้นล้วนแต่เป็นเขาสูง ฮ่องเต้ไม่ได้มีแผนการอย่างชัดเจน หลายปีมานี้กักเก็บปัญหาไว้มากมาย ตอนนี้ปะทุขึ้นเพียงในชั่วข้ามคืน จัดการขึ้นมาก็เกรงว่าจะมีอันตราย ท่านพ่อตัดสินใจจะไปด้วยตนเองจริงๆ หรือ?”
“ด้านสกุลซูทางใต้นั้นก็เป็นเรื่องที่รับมือยากเช่นกัน อีกทั้งเรื่องนี้เห็นได้ชัด ว่าเป็นฝ่าบาทและฉู่ฉีเหยียนมีปณิธานที่จะบรรลุข้อตกลงร่วมกัน หากพวกเราแทรกเข้าไปอีก จะขยับไปทางไหนก็คงมีแต่ความลำบากใจ” ฉู่อี้อันกล่าว นิ้วมือนั้นเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ เป็นจังหวะ “ตัวซูหังเดิมก็ไม่ใช่ประเภทที่จะถนัดนำทัพทหารอยู่แล้ว เรื่องสงครามที่ยืดเยื้อมานานขนาดนี้ ก็คงสามารถพูดได้อย่างเดียวว่า…ฉู่ฉีเหยียนจงใจประวิงเวลาเอาไว้ ตอนนี้เจิ้งตั๋วหายตัวไป อำนาจทางทหารเห็นได้ชัดว่าคงจะตกไปอยู่ในมือของฉู่ฉีเหยียน สงครามครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรให้วิตกแล้ว ในเมื่อก้าวนี้เขาได้ชัยชนะไปก่อน ข้าก็ไม่ต้องจำเป็นที่จะเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลายที่สวยงาม[1] ไปให้เสียเปล่า”
ซูหังเป็นคนที่มีความสามารถธรรมดา แรกเริ่มหากไม่ใช่ว่าซูจิ่นรั่งเลือกเขาเป็นผู้สืบทอดก่อนกำหนด ตำแหน่งก็คงจะไม่ตกมาถึงเขาเป็นแน่
อาศัยฉู่ฉีเหยียนที่มีความคิดฉลาดหลักแหลม เหตุใดเพิ่งจะออกสู่สนามรบ ก็มาถูกเขาขัดขวางให้ลำบากทุกก้าวเดินเช่นนี้เล่า?
แทบไม่ต้องคิดก็รู้ว่าผู้นำทัพครั้งนี้คือเจิ้งตั๋ว แม้ว่าเขาจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ เวลานั้นความชอบบำเหน็จ ผลงานเยี่ยมยอดก็จะตกเป็นของเจิ้งตั๋วแม่ทัพผู้นี้ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว…
ที่จริงการคาดการณ์ของฉู่อี้อันนับว่าเก็บเป็นความลับ อาศัยฉู่สวินหยางที่รู้จักฉู่ฉีเหยียนดี เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องรอราชสำนักส่งตัวให้ไปเป็นแม่ทัพที่สงครามด้านนั้น ก็ได้ชัยชนะอย่างเสร็จสรรพแล้ว
ดังนั้น…
อย่างไรฉู่อี้อันก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปแม้แต่น้อย
จะบุกเข้าก็ไม่อาจชนะ จะถอยก็จะเป็นที่หัวเราะของผู้คน เปลืองเวลาเสียเปล่าเช่นนี้ ยังมิสู้ฉวยโอกาสทำอะไรบาง อย่างดีกว่า
“ฉู่ฉีเหยียนรู้ถึงความสัมพันธ์ของซูอี้และพวกเรา ครั้งนี้เขาย่อมต้องกำจัดให้สิ้นซาก ไม่ปล่อยให้สกุลซูหนีได้อีกแล้ว” ฉู่สวินหยางกล่าว
จุดประสงค์ท้ายที่สุดที่นางร่วมมือกับซูอี้ ก็เพื่อต้องการควบคุมกองทัพทางน้ำนับแสนนายของสกุลซู บัดนี้เรื่องเกิดขึ้นมาเช่นนี้ ฉู่ฉีเหยียนจะต้องทุ่มอย่างสุดกำลังเพื่อทำลายกองทัพทหารนับแสนนั้นให้ราบคาบเป็นแน่
“ทหารทางน้ำพวกนั้นเดิมก็เป็นซูจิ่นรั่งที่สร้างขึ้นมา ขึ้นกับสกุลซูเป็นหลัก แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลิกกลับมาอยู่ในมือของ ซูอี้จริงๆ เขาก็ยังไม่แน่ว่าจะควบคุมได้ทั้งหมด” ฉู่อี้อันถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่เห็นด้วย “ที่จริงไม่มีแล้วก็ดี เก่าไม่ไปใหม่ไม่มา ไม่ต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลง!”
ฉู่สวินหยางสบสายตากับฉู่ฉีเฟิง ประกายแสงวาบขึ้นในอกทันที
“ความหมายของท่านพ่อคือ…” ฉู่ฉีเฟิงหยุดลมหายใจโดยไม่รู้ตัว
“เพียงแค่วันหนึ่งมีภัยพิบัติทางน้ำเกิดขึ้น แม้ว่าทหารของสกุลซูจะพ่ายแพ้อย่างยับเยิน สุดท้ายแล้วฝ่าบาทก็ยังคงต้องออกราชโองการสร้างทหารทางน้ำขึ้นมาใหม่ ให้คอยคุ้มครองพื้นที่ทางทะเล” ฉู่อี้อันกล่าว หยัดกายขึ้นจากโต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนจะเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ด้านล่างตัวหนึ่ง “แทนที่จะรอรับช่วงต่อจากมือผู้อื่น มิสู้สร้างกองกำลังของตนเองขึ้นมาเสียเอง ดูท่าจะปลอดภัยกว่า”
แววตาฉู่ฉีเฟิงประกายวาบ ยังคงมีความกังวลอยู่บ้าง “จุดนี้เกรงว่าจะเร็วจะช้าก็คงจะตกอยู่ในแผนการของฉู่ฉีเหยียน เวลานั้นฝ่าบาทก็ไม่แน่ว่าจะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเรา”
ฉู่อี้อันแย้มสรวล ท่าทีนั้นกลับพบถึงความเสียดสีอยู่บ้าง
ชิงไหวพริบกับพ่อของตนเองจนมาถึงจุดนี้…
ชีวิตนี้ของเขาไม่อาจไม่พูดได้ว่าเป็นความเศร้าโศกอย่างหนึ่ง แต่คล้ายว่าได้เริ่มขึ้นมาตั้งนานก่อนหน้านี้ ทั้งเขาก็ไม่อาจละทิ้งวงโคจรการอยู่รอดเช่นนี้ได้อีกแล้ว คอยวางแผนการกับพ่อตนเองอยู่ตลอดเวลา รอบคอบทุกฝีก้าว!
ถอนหายใจยาวแล้ว ฉู่อี้อันกลับไม่ได้ถกเรื่องนี้ต่อ เบนสายตาไปกล่าวกับฉู่สวินหยาง “ซินเป่า เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะคุยราชกิจกับฉีเฟิงเสียหน่อย!”
“เจ้าค่ะ!” ฉู่สวินหยางตอบรับ จัดแจงกระโปรงก่อนจะหยัดกายขึ้น เดินออกไปด้านนอกสองก้าว จู่ๆ ก็หันกลับมาเผยรอยยิ้มอย่างเห็นฟันให้กับฉู่อี้อัน “ท่านพ่อ หากกลับไปฝ่าบาทเรียกให้ท่านพี่ไปทำเรื่องนี้แทนท่าน เช่นนั้นตอนที่เขาออกจากเมือง ข้าย่อมตามไปด้วยอย่างแน่นอน”
ฉู่อี้อันใบหน้าดำคล้ำลงอย่างทันที
ฉู่ฉีเฟิงรีบร้อนยืนขึ้นช่วยไกล่เกลี่ย ลอบส่งสายตาเป็นนัยให้กับนาง “มีเรื่องอะไรให้พูดมากมายขนาดนั้นเชียว รีบกลับไปก่อนเถิด!”
“ท่านพ่อไม่พูด เช่นนั้นก็เท่ากับว่าท่านตอบรับข้าแล้ว?” ฉู่สวินหยางกล่าวด้วยยิ้มอย่างเริงร่า ไม่ได้สนใจสีหน้าท่าทางของฉู่อี้อันแต่อย่างใด ยกกระโปรงขึ้นก็หมุนกายผลักประตูเดินออกไปทันที
ฉู่อี้อันมองประตูบานใหญ่ตรงหน้าที่ปิดลงอีกครั้ง ก็ค่อยๆ ถอนลมหายใจ
ฉู่ฉีเฟิงก็กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “ท่านพ่อมีเรื่องอะไรจะกำชับข้า?”
ความคิดของฉู่อี้อันถูกดึงกลับมา เก็บสีหน้าอย่างรวดเร็ว พลางกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องของซูอี้ เจ้าไปทำด้วยตัวเอง!”
ฉู่ฉีเฟิงตกตะลึง ในมือที่เขย่าชาอยู่นั้นหยุดชะงักอย่างฉับพลัน เหลือบสายตาเงยมองไปทางเขา
“การคาดการณ์ของน้องเจ้ามีความเป็นไปได้สูง พรุ่งนี้เรื่องราวจะพลิกเปลี่ยน แปดส่วนฮ่องเต้จะต้องเรียกเจ้าไปทำเรื่องแทนข้าแน่ เวลานั้นเจ้าก็พานางไปด้วยเถิด!” ฉู่อี้อันกล่าว ทั้งยังไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม
“แต่ข้าอย่างไรก็อายุน้อย…” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว
“ราชสำนักมีขุนนางที่มีประสบการณ์ไม่น้อย แต่ว่าฝ่าบาทเอาแต่ยึดครองอำนาจทางทหารมาโดยตลอด ไม่อยากที่จะแบ่งอำนาจออกไป หลายปีมานี้ผู้ที่สามารถเป็นผู้บัญชาการทหารด้วยตัวคนเดียวกลับมีไม่มาก เรื่องของฮั่วกังและหลัวอี้นั้นก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เขาจะยังไม่ใช้เรื่องนี้แน่ ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ที่แคว้นฉู่ ประสบการณ์มากมายในหลายเดือนนั้นเป็นความได้เปรียบที่มีอยู่แล้ว…” ฉู่อี้อันกล่าว ในขณะที่พูดก็หยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากล่าวอย่างเย้ยหยัน “ไม่ว่าผู้ใดฝ่าบาทก็ไม่มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว หากเจ้าเป็นเขา เหตุใดจึงต้องให้ข้าตามไปด้วยเล่า? หากต้องการจะถ่วงดุลอำนาจของ
ฉู่ฉีเหยียน ไม่มีใครเหมาะไปกว่าวังบูรพาของพวกเรามากกว่านี้อีกแล้ว”
—————————————————-
[1] เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลายที่สวยงาม เปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่จำเป็น