บทที่ 343 วิชากับทาสรับใช้ (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 343 วิชากับทาสรับใช้ (3)

กลางดึก ยามโฉ่วสิบสองนาที คฤหาสน์ตระกูลเฟ่ย

ด้านในห้องเก็บของสะสมที่มัดโซ่อักขระสีทองเข้มไว้หลายชั้น ของสะสมหลายชิ้นกองระเกะระกะอยู่บนพื้นและบนชั้นวาง

พรมบนพื้นมากกว่าครึ่งมีรอยที่เคยถูกไฟไหม้ ส่วนที่เหลือเปื้อนสีขาวอมเทา ไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด

ด้านในและด้านนอกห้องเงียบสงัด ข้างๆ บ่อน้ำด้านนอกมีกระโจมเล็กๆ ตั้งอยู่ มีเสียงหายใจอย่างราบเรียบของยามเฝ้าระวัง คล้ายกับกำลังหลับอยู่

เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะๆ…

ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนกระแสไฟฟ้าดังมาจากด้านในห้องเบาๆ อากาศในห้องเก็บของสะสมบิดเบี้ยวและหมุนวนด้วยความเร็วสูง กลายเป็นวังวนขนาดเท่ากำปั้นกลุ่มหนึ่ง

สีดำจุดหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นกลางวังวน

ซู่!

จุดสีดำขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลัน แล้วกลายเป็นเงาคนสูงใหญ่ที่ทั่วทั้งตัวเป็นควันสีดำ

“จุดเชื่อมนี้…ถูกทำลายแล้วหรือ” เงาคนมองไปที่ตำแหน่งของคันฉ่องที่ถูกทำลาย

ร่างกายของเงาคนคล้ายไม่เสถียรถึงขีดสุด บิดเบี้ยวอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับภาพในโทรทัศน์ที่สัญญาณไม่ดี

“ที่นี่คืออาณาเขตของสำนักพันอาทิตย์ เจ้าไม่ควรรีบร้อนแบบนี้” เงาคนที่ผอมกว่าอีกสายหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องจากด้านหลัง

“ข้ารู้ ข้าก็นึกว่าที่นี่สมควรยังมีจุดเชื่อมอีกจุดหนึ่ง” เงาคนสูงใหญ่กล่าวเสียงทุ้ม เสียงของเขารวมตัวเหมือนกับการสั่นสะเทือนชนิดหนึ่ง ทั้งเหมือนกับเสียงหึ่งๆ ของผึ้งจำนวนมาก ภาษาที่ใช้ไม่ใช่ภาษาทางการของต้าอิน แต่เหมือนกับภาษาอีกแบบหนึ่ง และภาษานี้ก็คล้ายกับมีผลส่งสัญญาณโดยตรง ไม่ต้องเข้าใจภาษาก็สามารถเข้าใจความหมายได้

“จุดเชื่อมพังทลายแล้ว ประเดี๋ยวกลับไปซื้อที่สำนักไตรอริยะก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องเอาตัวมาเสี่ยง” เงาคนผอมบางกล่าวเสียงแผ่วต่ำ

“ไม่ ข้าแค่อยากมาเห็นด้วยตัวเองว่าใครเป็นคนทำลายแผนการของข้า” เงาคนสูงใหญ่อธิบาย

“เป็นเด็กน้อยสาขาย่อยของสำนักพันอาทิตย์ที่โชคดีคนหนึ่งเท่านั้น ก็แค่เรื่องบังเอิญ ถ้าเจ้าอยากแก้แค้น จะเผยร่องรอยมากเกินไป ไม่คุ้มสำหรับพันธมิตร”

เงาคนสูงใหญ่เงียบเสียงลง

“ถูกแล้ว ข้าจะหาจุดเชื่อมใหม่แทน”

ทั้งสองมองชิ้นส่วนคันฉ่องพร้อมกัน ต่างก็ไม่พูดอะไรอีก

ลู่เซิ่งค่อยๆ กวาดตามองชั้นหนังสือขนาดมหึมา วิชาจริงแท้ทั้งหมดแบ่งเป็นห้าประเภทใหญ่ได้แก่ วิชาเดินลมปราณ เคล็ดจริงแท้ วิชาพิสดาร ทักษะนอก และวิชาลับ

ความจริงแล้วห้าประเภทใหญ่นี้แบ่งตามประสิทธิผลของปราณจริงแท้

วิชาเดินลมปราณใช้เสริมความแข็งแกร่งให้ปราณจริงแท้และยกระดับปราณจริงแท้อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สนใจกายเนื้อ

เคล็ดจริงแท้คือยกระดับปราณจริงแท้กับกายเนื้อพร้อมกัน

วิชาพิสดารฝึกฝนกายเนื้อเป็นหลัก ปราณจริงแท้เพียงแค่ช่วยเสริมกายเนื้อเท่านั้น

ทักษะนอกคือปราณจริงแท้อันสุดโต่งที่เน้นพลังฆ่าฟันกับพลังทำลายล้างในการต่อสู้จริง

วิชาลับเป็นทักษะลับที่พิเศษและหายากซึ่งใช้โคจรปราณจริงแท้ มักสิ้นเปลืองพลังมหาศาล ทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเอง

ลู่เซิ่งกวาดมองไป เทียบกับชนิดอื่นๆ แล้ว เขาให้ความสนใจเคล็ดจริงแท้ หรือก็คือการยกระดับปราณจริงแท้กับกายเนื้อในเวลาเดียวกันมากกว่า

ทว่าเคล็ดจริงแท้เป็นสิ่งที่ยากที่สุด วิชาจริงแท้ประเภทนี้ถ้าไม่ธรรมดาถึงขีดสุด ก็เก่งกาจรอบด้าน ต้องใช้พรสวรรค์มากที่สุด แถมทรัพยากรกับเวลาที่ต้องใช้ก็มากมายถึงขีดสุดเช่นกัน

เขาเลือกอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หยิบเคล็ดจริงแท้ที่ใช้ฝึกไฟใต้ดินออกมา

‘เคล็ดหลอมแกนกลางโลก’

เป็นเคล็ดจริงแท้ที่มีทั้งหมดเก้าขอบเขต ระดับที่เก้าซึ่งเป็นขั้นสูงสุดถึงขั้นสามารถควบคุมอานุภาพอันแข็งแกร่งของหินหนืดกับไฟใต้ดินได้ และขอแค่ยืนอยู่บนพื้น ก็จะควบคุมไฟใต้ดินได้อย่างต่อเนื่อง มีอานุภาพแข็งกล้าเป็นอย่างยิ่ง

“เหตุใดศิษย์น้องลู่จึงเลือกเคล็ดจริงแท้วิชานี้เล่า” อวิ๋นว่านเฟยไม่ทราบว่าเขยิบเข้ามาใกล้ตอนไหน มองดูตำราเคล็ดจริงแท้ในมือลู่เซิ่งด้วยความแปลกใจอยู่บ้าง

“ต่อให้เคล็ดหลอมแกนกลางโลกจะอยู่ในหมวดเคล็ดจริงแท้ แต่ก็อยู่ในระดับธรรมดาๆ การหลอมกายแย่ยิ่งกว่าเคล็ดหยกม่วงปีกสวรรค์เสียอีก แม้แต่ปราณจริงแท้ก็ยังสู้เคล็ดแสงรุ้งดุจห้วงฝันที่อยู่ท้ายๆ ของระดับกลางไม่ได้ ศักยภาพและฉากหลังเองก็ไม่แข็งแกร่ง จุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวคือสามารถควบคุมไฟใต้ดินได้อย่างต่อเนื่องหลังฝึกสำเร็จ แถมต้องเก็บออมพลังงานของตัวเองไว้สำหรับใช้เป็นจำนวนมาก” อวิ๋นว่านเฟยเว้นเล็กน้อย แล้วพูดต่อ “ทว่าหลังจากฝึกฝนระดับสูงสุดของเคล็ดจริงแท้นี้สำเร็จ พลังทำลายล้างจะเทียบเท่ากับจุดสูงสุดของระดับปฐมปฐพี ทว่าจะสิ้นเปลืองทรัพยากรเป็นสองเท่าของเคล็ดจริงแท้วิชาอื่น”

ลู่เซิ่งเข้าใจว่านางหมายความว่าอะไร หลักๆ คือต้องการเตือนเขาว่าเคล็ดจริงแท้นี้ไม่คุ้มค่า แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญไม่ใช่เรื่องพวกนี้ หากเป็นพลังงานไฟใต้ดินที่ต่อเนื่องไม่ขาดสาย กับการที่ไม่สนใจสภาพแวดล้อมในการฝึกฝนของเคล็ดจริงแท้นี้

เคล็ดจริงแท้วิชาอื่นๆ ส่วนใหญ่ต้องมีสภาพแวดล้อมกับเงื่อนไขที่เข้มงวดมากมาย ทั้งยังต้องใช้ทรัพยากรล้ำค่าหลากหลายชนิด มีแต่เคล็ดจริงแท้วิชานี้เท่านั้นที่ไม่ต้องใช้ของหายาก นอกจากความที่มันฝึกยากและธรรมดาแล้ว ที่เหลือล้วนไม่มีจุดด้อยที่เด่นชัดแต่อย่างไร

“ไม่เป็นไร ข้าเลือกดีแล้ว เอาวิชานี้นี่แหละ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ส่วนเสริมเท่านั้น” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พูดถูกต้อง อาจารย์ของศิษย์น้องเป็นท่านผู้นั้น เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเตือนหรอก” อวิ๋นว่านเฟยยิ้ม

ลู่เซิ่งย้ายหนังสือสูงเท่าหนึ่งคนครึ่งออกมาจากช่อง แล้วพลิกเปิดไปหน้าแรกเบาๆ ตรงกลางกระดาษที่ขาวสะอาดประทับลวดลายรูปภาพที่เหมือนกับดอกเหมยอันชัดเจนเอาไว้ ดอกไม้นี้เป็นสีทองอ่อน

ลู่เซิ่งยื่นมือออกมาทาบบนลวดลายภายใต้การชี้แนะจากอวิ๋นว่านเฟย

ซู่…

หลังจากเกิดเสียงดังเบาๆ เขาก็ยกมือขึ้นมามองฝ่ามือตัวเอง บนฝ่ามือมีรูปภาพอักขระที่เล็กละเอียดในลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าประทับอยู่

ด้านบนสุดของภาพอักขระมีตัวหนังสือเล็กกระจิริดเขียนอย่างชัดเจนว่า เคล็ดหลอมแกนกลางโลก

นี่คือค่ายกลถ่ายทอดบนตำราลับของสำนักพันอาทิตย์ในเขตจันทราสารทที่ซื้อมาจากสำนักระดับบน ตำราทุกเล่มสามารถประทับรอยตราของมันไว้บนร่างผู้อื่นได้เอง

ตราของตำรานี้จะคงอยู่ห้าวัน แม้ว่าจะเป็นแค่ตราที่เหมือนกับแสงสว่าง แต่เมื่อพิจารณาให้ดี จะเห็นเนื้อหาด้านบน ทั้งยังสามารถพลิกหน้าผ่านความคิดได้

ลู่เซิ่งเก็บตำรากลับไปบนชั้น

“ศิษย์น้อง ไปด้วยกันหรือไม่ ข้าจะพาเจ้าไปชมของดีใหม่ล่าสุด” อวิ๋นว่านเฟยพูดพลางยิ้มแย้ม

“ศิษย์พี่ต้องให้ส่วนลดหน่อยแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ตอนนี้เขามีเงินไม่เยอะ เป็นเงินเดือนสองสามเดือนที่สำนักมอบให้ สิ่งที่มีเยอะหน่อยคือเงินเดือนที่เพิ่งได้ตอนกลายเป็นศิษย์จริงแท้ มีห้าสิบทองคำมาร บวกกับมุกบุปผาม่วงที่เป็นของขวัญชดเชยของตระกูลซ่งซึ่งได้มาเมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อแลกเปลี่ยนเป็นทองคำมาร จะมีแค่หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเท่านั้น สำหรับคนธรรมดาแล้ว เงินแค่นี้เป็นจำนวนที่ไม่อาจนึกจินตนาการ แต่สำหรับระดับอย่างพวกเขา ถือว่าธรรมดาๆ

“ศิษย์น้องไม่ต้องห่วง ด้วยชื่อเสียงและสถานะของเจ้า ติดค้างสักหลายพันทองคำมารก็ไม่เป็นอันใด รอไปถึงจังหวัดไร้เหมันต์ค่อยคืนก็ยังไม่สาย พวกเราตระกูลอวิ๋นมีสาขาในจังหวัดไร้เหมันต์เหมือนกัน” อวิ๋นว่านเฟยอธิบายอย่างยิ้มแย้ม

ตระกูลได้ประเมินลู่เซิ่งไว้แล้ว เดิมทีประเมินไว้ที่ระดับสอง แต่หลังกลายเป็นศิษย์ของท่านผู้นั้น ก็เลื่อนขั้นเป็นระดับพิเศษทันที เหนือกว่าระดับหนึ่งของผู้อาวุโสธรรมดาเสียอีก

หมายความว่าในสายตาของตระกูลอวิ๋น ลู่เซิ่งที่ตอนนี้เพิ่งแสดงพลังในขั้นต่ำของระดับพันธนาการเป็นที่นิยมและมีตำแหน่งสูงกว่าผู้อาวุโสในระดับปฐมปฐพีของสาขาย่อยเสียอีก

“เช่นนี้ต้องขอขอบคุณศิษย์พี่มากๆ แล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

ทั้งสองร่วมทางกันออกจากชั้นหนังสือ แล้วกลับไปตามเส้นทางเดิม ขณะอยู่บนระเบียงที่สูงใหญ่และโล่งกว้าง อวิ๋นว่านเฟยได้เล่าสถานการณ์ทางด้านจังหวัดไร้เหมันต์ให้ลู่เซิ่งฟัง

ในฐานะศิษย์จริงแท้ของสาขาย่อย บวกกับเป็นศิษย์ของท่านผู้นั้น ลู่เซิ่งจึงได้รับสถานะศิษย์จริงแท้ระดับจังหวัดได้ตั้งแต่แรก

ในฐานะศิษย์จริงแท้ เส้นทางและสถานที่ที่ใช้หาทองคำมารมีอยู่มากมาย

เทียบกับภารกิจเข่นฆ่ากับซากเดนทัพมาร การบุกเบิกโลกภายนอก หรือการรับภารกิจตรวจสอบส่วนหนึ่งแล้ว ถ้าหากมีความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง เช่น สลักอักขระค่ายกล หลอมกลั่นโอสถหรือของขลัง ล้วนหาทองคำมารได้มากมาย

“นี่ใกล้เคียงกับผู้บำเพ็ญเพียรในนิยายเลยไม่ใช่หรือ” ลู่เซิ่งได้ยินก็รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย กลั่นโอสถ วาดอักขระ สลักค่ายกล สร้างของขลัง นี่เป็นแบบแผนของโลกแห่งเซียนโดยสมบูรณ์แล้ว

“แน่นอนว่าพวกเราแตกต่างกับเซียนในนิยายพิสดารเหล่านั้น ตรงที่ถ้าไม่มีสายเลือดก็ไม่มีสิทธิ์เข้าสำนัก นอกจากนั้น…” อวิ๋นว่านเฟยยิ้ม “รอเจ้าไปถึงทางนั้นก็จะรู้เอง”

ทั้งสองออกจากอารามอย่างรวดเร็ว ก่อนจะห้อตะบึงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะทางหลายสิบลี้ ไม่นานก็มาถึงหุบเขาสีเขียวที่วิหคส่งเสียงร้องบุปผาส่งกลิ่นหอมแห่งหนึ่ง

รูปปั้นรูปคางคกสีทองสูงหลายหมี่สองตัววางอยู่ตรงทางเข้าเส้นทางหุบเขา เมฆสีเขียวลอยอยู่ด้านบน ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหน้าประตูหุบเขา สามารถมองเห็นเสาควันสีเขียวหลายกลุ่มที่ลอยขึ้นมามากมายจากด้านในได้

“ท่านบรรพชน” ด้านในหุบเขามีบุรุษสวมเสื้อคลุมสีเขียวหลายคนเร่งรุดออกมา แล้วคุกเข่าคำนับอวิ๋นว่านเฟ่ยอยู่ไกลๆ

“ข้าพาแขกมา พวกเจ้าจงไปเตรียมสินค้า” อวิ๋นว่านเฟยใช้มือหนึ่งทำท่ามุทรา

ฟู่วๆ!

ทันใดนั้นคางคกสองตัวตรงปากทางเข้าหุบเขาก็อ้าปากพ่นควันสีฟ้าสองสายออกมา

ควันสีฟ้าครอบคลุมลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้ตรงหน้าเขาพร่ามัว ครู่ต่อมาเมื่อควันสีฟ้าสลายไป ภาพตรงหน้าลู่เซิ่งก็เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์

เขายืนอยู่ในห้องศิลาทรงกลมที่ไม่ใหญ่กับอวิ๋นว่านเฟยตามลำพัง

ด้านข้างห้องศิลาหรือตรงหน้าพวกเขามีเส้นทางเส้นหนึ่ง ไข่มุกที่แขวนไว้สองฟากข้างด้านในทางเชื่อมอันมืดมิดกำลังส่องแสง ไข่มุกแสงนั้นไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใด แสงสว่างสีขาวบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมาเหมือนกับคบเพลิง

“เชิญนั่ง” อวิ๋นว่านเฟยผายมือให้ลู่เซิ่ง

ทั้งสองค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ด้านหลัง

“ที่นี่เป็นห้องลับใต้ดินที่ตระกูลอวิ๋นของข้าสร้างขึ้น ออกแบบไว้ให้แขกผู้มีเกียรติโดยเฉพาะ ไม่ต้องกลัวว่าความลับใดๆ จะรั่วไหลออกไป เมื่ออยู่ที่นี่ แขกทุกคนจะสามารถพูดความต้องการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจตนเองออกมาได้โดยไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะเป็นความต้องการแบบไหน พวกเราจะพยายามตอบสนองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอแค่มีทองคำมารมากพอ ทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา” นางเอ่ยด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้งในพริบตา กล้ากล่าวคำพูดแบบนี้ออกมา ดูเหมือนขุมกำลังที่ยืนอยู่เบื้องหลังตระกูลอวิ๋นจะต้องน่ากลัวถึงขีดสุดแน่

ไม่แน่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสามตระกูลใหญ่ ถึงอย่างไรผู้ที่มีทาสรับใช้มากที่สุดก็คือทางการของต้าอิน

“ยอดเยี่ยมโดยแท้!” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ยกชา” อวิ๋นว่านเฟยปรบมือ

จากนั้นก็มีผึ้งหน้าคนกระพือปีกบินหึ่งๆ ออกมาจากทางเชื่อม แล้ววางน้ำชากับขนมในมือลงให้ทั้งสอง

ลู่เซิ่งเพิ่งเจอผึ้งหน้าคนเป็นครั้งแรก

สิ่งมีชีวิตชนิดนี้หากยืดตัวตรงจะสูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง ศีรษะเป็นสตรีเลอโฉม ร่างกายเป็นผึ้งขนาดยักษ์ซึ่งมีลวดลายสีเหลืองสลับดำ ปีกที่อยู่ด้านหลังกระพือด้วยความเร็วสูง เท้าไม่แตะพื้น ท่าทางเคารพเชื่อฟัง

หลังจากยกชามาแล้ว ผึ้งหน้าคนสองตัวก็ลอยอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง

แปะๆ

อวิ๋นว่านเฟยปรบมือเบาๆ อีกรอบ

หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่เปลือยกายล่อนจ้อนค่อยๆ เดินออกมาจากในทางเชื่อม ไม่ว่าจะเป็นหุ่นหรือหน้าตา ล้วนงดงามเป็นอันดับหนึ่ง

เพียงแต่พอสองคนนี้เดินถึงด้านหน้าลู่เซิ่งกับอวิ๋นว่านเฟย กลับคุกเข่าลง ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้ทั้งสอง

……………………………………….