ตอนที่ 83 ตระกูลเย่คึกคัก

“พ่อ สร้างบ้านหนึ่งหลังต้องใช้เงินตั้งเท่าไร?” พี่ใหญ่เย่กล่าว

ถูกต้อง สร้างบ้านสามหลังพร้อมกัน ต้องใช้เงินเท่าไรกัน?

จ้าวเหวินเทามองพ่อตาตัวเอง เขาเองก็อยากรู้เช่นกัน

คุณพ่อเย่จุดยาสูบ อัดควันเข้าหนึ่งคำพลางกล่าว “ต้นไม้ที่ปลูกไว้หลังบ้านพวกเราจะให้พวกแกเอาไปสร้างบ้าน ฉันไปคุยกับน้าเล็กของพวกแกแล้ว ใช้ต้นไม้พวกนั้นแลกกับแปไม้บ้านของพวกเขา พวกเขาก็ตกลงแล้ว”

ตอนนี้ด้านหลังบ้านของแต่ละหลังในชนบทต่างก็ปลูกต้นไม้ ซึ่งก็คือแปไม้บ้านที่เตรียมไว้ให้ลูกชายนำไปสร้างบ้าน เพียงแต่ต้นไม้ที่เพิ่งโค่นลงจะไม่สามารถใช้ได้ในทันที ต้องวางทิ้งไว้ 2-3 ปี รอจนแห้งถึงจะใช้งานได้

ลูก ๆ ของน้องชายคุณแม่เย่ยังเล็ก ยังไม่ถึงเวลาที่จะสร้างบ้าน ไม้แห้งที่อยู่ในบ้านจึงนำมาแลกกับต้นไม้ของตระกูลเย่ได้พอดี จึงนำมาสร้างบ้านในอนาคตได้โดยไม่เสียเวลา

คุณพ่อเย่กล่าวต่อไปว่า “แปไม้บ้านก็มีแล้ว อย่างอื่นก็ง่ายแล้ว วางรากฐานด้วยหิน แล้วก็ไปโรงงานอิฐลากอิฐที่ชำรุดมาสักหน่อย นำมาขึ้นโครง ส่วนอื่นก็ใช้ดิน ใช้เงินไม่มากหรอก”

จ้าวเหวินเทาอดไม่ได้ที่จะพูด “คุณพ่อ ทำไมถึงไม่เก็บเงินสักสองปีแล้วค่อยสร้างบ้านอิฐล่ะครับ?”

ในเวลานี้คุณแม่เย่ได้เดินเข้ามาเทน้ำเดือดในห้อง ครั้นได้ฟังคำพูดของลูกเขยจึงตอบไปว่า “เหวินเทา บ้านอิฐมันดูดีก็จริง แต่มันก็ไม่อบอุ่นเลย ลมเข้าทั้งสี่ด้าน”

คุณพ่อเย่กล่าว “แม่ของเธอพูดถูก ปีหน้าก็ต้องทำกันเองแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง เก็บเงินไว้สักหน่อยแล้ววางแผนให้ดี ๆ ใช้ชีวิตให้ดีขึ้น มีเงินแล้วอยากจะสร้างแบบไหนก็สร้างได้ทั้งนั้น”

จ้าวเหวินเทากลับไม่เห็นด้วย สำหรับเขา ถ้าหากจะสร้างบ้านก็ต้องสร้างแบบที่ดีที่สุด แบบนั้นจะทำให้ได้หน้าขนาดไหนกันนะ?

เย่หมิงเป่ยกล่าว “พ่อ หมินหมิ่นยังต้องกลับไปเรียน ผมยังไม่รีบ สร้างบ้านให้พี่ใหญ่กับพี่รองก่อนเถอะครับ แบบนี้สภาพทางการเงินก็ไม่ติดขัดด้วย”

พี่รองเย่รีบกล่าว “พ่อ ผมเองก็ไม่รีบเหมือนกัน ลูก ๆ ยังเด็กอยู่เลย อยู่ด้วยกันก็ดีจะตายไป”

คุณพ่อเย่กล่าว “ก่อนหน้านี้อยู่ด้วยกันก็ไม่เป็นไรหรอก ได้ช่วยเหลือกันและกัน แต่หลังจากนี้คงไม่ได้แล้ว ถ้าอยากใช้ชีวิตดี ๆ ก็ต้องออกแรงเยอะ ๆ พอมีเรื่องคนนู้นออกแรงเยอะคนนี้ออกแรงน้อย มีคนเป็นตัวถ่วงอะไรพวกนี้ ก็มีปัญหาขึ้นมาอีก ต่อให้เป็นพี่น้องท้องไส้เดียวกัน นานวันเข้าก็มีห่างเหิน เจ้าสามไม่อยากสร้างก่อนก็ไม่ต้องสร้าง สถานการณ์ของเขาพิเศษกว่าคนอื่น ส่วนพวกแกสองคนต้องสร้าง เป็นพ่อคนแล้ว ก็ควรเป็นเสาหลักของบ้าน พึ่งฉันกับแม่แกไม่ได้แล้ว ถึงยังไงพวกเราเองก็อายุเยอะขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

“พ่อ!” พี่รองเย่ได้ยินก็รู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมา “คุยกันอยู่ดี ๆ พูดเรื่องนี้ทำไมครับเนี่ย”

พี่ใหญ่เย่กล่าว “นั่นสิ พ่อกับแม่ร่างกายแข็งแรงจะตายไป!”

“ทำไมจะพูดไม่ได้ อายุก็มากขนาดนี้แล้ว” คุณพ่อเย่กล่าวจบก็กล่าวอีกว่า “แล้วก็ ฉันกับแม่แกปรึกษากันแล้ว พวกเราจะอยู่กันเองอีกสักสองสามปี ไม่ไปอยู่กับใครทั้งนั้น รอให้เดินไม่ไหว ค่อยมาหาพวกแก ถ้าพวกเราไม่อยู่แล้ว ทรัพย์สินของครอบครัวที่มีก็ให้พวกแกสามคนพี่น้องแบ่งกันอย่างเท่าเทียม รวมถึงในบ้านหลังนี้ด้วย”

พี่ใหญ่เย่ร้อนใจ “พ่อ พ่อจะอยู่กับพวกเราไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไปอยู่กันเองแล้วล่ะ”

คุณแม่เดินถือกระดานนวดแป้งเข้ามาวางบนเตียงเตา ด้านนอกบ้านอากาศหนาว ห่อเกี๊ยวต้องมาห่อข้างใน ถึงจะอบอุ่น

“พวกเราเองก็อยากใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง” คุณแม่เย่ยิ้ม “แม่ไม่เหมือนกับพ่อของลูกหรอกนะ เอาแต่บอกว่าแก่แล้ว ๆ แม่รู้สึกว่าตัวเองยังสาวอยู่เลย แม่ต้องใช้ชีวิตอย่างดีต่อไปอีกสามสี่ปีเลยล่ะ”

“คุณแม่ มาอยู่กับพวกเราก็ใช้ชีวิตดี ๆ ได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? พวกเราเองก็เชื่อฟังคุณแม่นะคะ” พี่สะใภ้ใหญ่เย่กล่าว “คุณแม่กับคุณพ่อไปอยู่กันเองแบบนั้น ถ้าคนอื่นรู้เข้าคงหัวเราะตายเลย?”

คุณแม่เย่รับกะละมังแป้งจากพี่สะใภ้รองเย่ไปอย่างคล่องแคล่ว นางเทลงบนกระดานนวดแป้ง เริ่มนวดแป้งไปพลางพูดไปพลาง “กลัวคนอื่นหัวเราะถึงทำดีกับพ่อแม่แบบนั้นไม่เรียกว่ากตัญญูนะ”

พี่สะใภ้ใหญ่เย่ไม่ได้โกรธ เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณแม่ ฉันเองก็แยกจากคุณแม่ไม่ได้อยู่แล้วน่ะค่ะ ไม่มีคุณแม่คอยช่วยดูแล พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตกันยังไง”

พี่สะใภ้รองเย่กล่าว “นั่นสิคะ คุณแม่ ฉันว่าใช้ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะคะ จะสร้างบ้านทำไมกัน”

คำพูดของพี่สะใภ้รองเย่ฟังดูจริงใจ อยู่กับพ่อแม่สามีมาตั้งหลายปี ไม่ต้องเป็นกังวลอะไรเลย ถึงเวลาก็กินข้าว ถึงเวลาก็ทำงาน เป็นอิสระจะตาย

ประเด็นสำคัญก็คือคุณแม่เย่ไม่ใช่พวกอนุรักษนิยม ไม่เหมือนกับแม่สามีคนอื่น ๆ ที่ใจร้ายกับลูกสะใภ้ อาศัยอยู่ใต้การดูแลของแม่สามีคนนี้เรียกได้ว่าใช้ชีวิตสะดวกสบายเชียวล่ะ

พี่สะใภ้ใหญ่เย่กลับหวังว่าจะได้สร้างบ้านแยกตัวออกไป แต่หล่อนอยากแยกออกจากครอบครัวน้องสามีทั้งสอง ไม่ใช่แยกจากพ่อแม่สามี

พ่อแม่สามีมีความสามารถ หากอยู่ด้วยกันคงช่วยเหลือหล่อนได้ไม่น้อย โดยเฉพาะแม่สามี หล่อนเองก็ไม่ใช่คนโง่ หลายปีมานี้ล้วนเห็นทั้งหมด ว่าชีวิตของตระกูลเย่พึ่งพาแม่สามีทั้งนั้น หล่อนจึงอยากอยู่กับแม่สามีจากใจจริง

คุณแม่เย่ย่อมรู้ความคิดของลูกสะใภ้ทั้งสอง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเธอทั้งสองคนก็เป็นแม่คนแล้ว ควรต้องรับผิดชอบภาระแล้ว แม่ไม่อยากเป็นกังวลทั้งชีวิต”

แม่สามีพูดเคล้ารอยยิ้มและตัดสินใจเรื่องนี้

พี่ใหญ่เย่เห็นพ่อกับแม่ตัดสินใจแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องดีที่จะคัดค้านอีก

ภายในใจของพี่รองเย่แอบหดหู่ ใช้ชีวิตกันเองก็ใช้ไปสิ ทำไมต้องแยกบ้านด้วย อยู่ด้วยกันก็ดีจะตายไป?

นิสัยของเขาเหมือนกับภรรยา ตรงที่ขี้เกียจจะต้องมานั่งกังวลใจ

เย่หมิงเป่ยเองก็ไม่ได้มีความเห็นใด ๆ มาแต่ไหนแต่ไร ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยู่กับพ่อแม่ได้อีกชั่วคราว

อีกอย่าง ตอนนี้ภรรยาของตัวเองก็กลับมาแล้ว เรื่องอื่นยังเป็นปัญหาอะไรอีกเหรอ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้นแหละ!

จ้าวเหวินเทาแอบลอบถอนหายใจอยู่ในใจ เขามองดูบรรยากาศภายในบ้านของแม่ภรรยา และย้อนกลับไปดูบ้านของตัวเอง แต่ละคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง นี่แหละคือความแตกต่าง!

หลังจากพูดเรื่องเป็นจริงเป็นจังจบแล้ว ก็เริ่มห่อเกี๊ยว ผู้ชายในบ้านตระกูลเย่ไม่ได้เหมือนกับผู้ชายที่มีปัญหาเยอะแยะแบบนั้น ภายใต้การนำของคุณพ่อเย่ ลูกชายทั้งสามคนก็เริ่มลงมือห่อเกี๊ยว

จ้าวเหวินเทาเห็นก็ลงมือเช่นกัน หลังจากห่อเกี๊ยวบิด ๆ เบี้ยว ๆ ไปสองสามลูก ก็ค่อย ๆ ดูดีขึ้นมา

คุณแม่เย่พาลูกสะใภ้ทั้งสองมารีดแป้ง

มีคนเยอะขนาดนี้แต่ก็ไม่ได้มีแป้งขาวมากขนาดนั้น จึงทำได้แค่ใช้แป้งบักวีต แต่แป้งบักวีตนั้นเละเกินว่าจะใช้ไม้รีดแป้งได้ จึงทำได้เพียงแค่ใช้มือตบ

นี่ก็เป็นงานที่ใช้ทักษะ ต้องรีดให้เป็นทรงกลม ขอบห้ามหนา ไม่เช่นนั้นจะไม่อร่อย ตรงกลางห้ามบางเพราะไส้จะทะลุ สามารถพูดได้ว่าแป้งบักวีตทำยากกว่าแป้งขาวเสียอีก

คุณแม่เย่ พี่สะใภ้ใหญ่เย่และพี่สะใภ้รองเย่ต่างก็มีทักษะฝีมือ รีดแป้งเป็นทรงกลม คลึงไปห้าหกครั้ง ก็กลายเป็นทรงกลมแล้ว แป้งทรงกลมที่ตรงกลางหนาขอบบางขึ้นรูปแล้ว ส่งออกไปเบา ๆ แป้งทรงกลมก็สไลด์ไปด้านหน้าคนห่อเกี๊ยวอัตโนมัติ จากนั้นก็ตบก้อนต่อไป การเคลื่อนไหวแบบเมฆเหินน้ำไหลแบบนี้ย่อมทำให้แป้งมีขนาดเท่ากันเป็นธรรมดา ดู ๆ ไปแล้วให้ความรู้สึกถึงความงดงามในการเคลื่อนไหว

คนที่ห่อเกี๊ยวก็ไม่ได้ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง คุณพ่อเย่ใช้มือข้างหนึ่งจับแป้ง ส่วนอีกข้างถือตะเกียบ คีบไส้หนึ่งครั้งได้อย่างพอดี ฝ่ามือห่อเข้าด้วยกัน นิ้วโป้งกดลงบนนิ้วอื่น ๆ ทั้งสี่ทีละนิ้ว กดอยู่สามสี่ครั้งเกี๊ยวก็ได้รูป จากนั้นจึงนำไปวางบนกระด้งที่ทำมาจากก้านข้าวฟ่าง

สามพี่น้องตระกูลเย่ห่อเร็วกว่าคุณพ่อเย่ มือทั้งสองข้างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขยับตะเกียบได้รวดเร็วปานลมกรด เกี๊ยวปรากฎขึ้นชิ้นแล้วชิ้นเล่า เพียงไม่นานก็เรียงจนเต็มหนึ่งกระด้ง

จ้าวเหวินเทาทำช้าที่สุด ปกติอยู่บ้านเขาไม่เคยทำงานพวกนี้มาก่อน แต่เขากลับห่อได้ดูดีมาก เล็กกะทัดรัดดูประณีต ถ้าได้กินก็คงมีรสชาติที่แตกต่างออกไป

อย่ามองว่าห่อเร็ว และค่อนข้างมีความเป็นมืออาชีพ ทว่าก็ไม่ได้ทำให้การสนทนาล่าช้าลงเลย เธอพูดหนึ่งประโยคฉันพูดหนึ่งประโยค ตอนที่พูดถึงเรื่องมีความสุขก็หัวเราะร่าออกมา สามารถพูดได้ว่าผู้มีฝีมืออยู่ในกลุ่มชาวบ้านนี่แหละ

เกี๊ยวของทุกคนใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ห่อเสร็จแล้ว ตอนที่ห่อเกี๊ยวเสร็จ พี่สะใภ้ใหญ่เย่ก็ตะโกนเรียกลูก ๆ ของตัวเองให้แบกฟืนไปเผา

ในชนบท เด็กอายุ 4-5 ขวบก็เริ่มช่วยที่บ้านทำงานกันแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กสิบกว่าขวบเลย เรียกว่าเกือบจะเป็นครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานอยู่แล้ว

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คุณแม่เย่พูดทีนี่กระทบไปถึงอีกบ้านหนึ่งเลยนะคะ

ห่อเกี๊ยวนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ เป็นงานที่ต้องสมัครสมานสามัคคีกันทั้งบ้านถึงจะเสร็จไว ผู้แปลเคยทำแบบนวดแป้ง รีดแป้ง ห่อแป้งเองแล้ว กว่าจะได้กินก็นานโข เหนื่อยตรงนวดแป้งกับรีดแป้งนี่แหละค่ะ

ไหหม่า(海馬)