บทที่ 339 ยืมชื่อ

คู่ชะตาบันดาลรัก

ทั้งสามคนมีม้าตัวเดียวคนที่เหลือจึงทำได้เพียงเดินเท่านั้น เมื่อพวกเขามาถึงเขาหู่โถวซานกองคาราวานได้รออยู่สองวันแล้ว

เมื่อเห็นหมิงเวยกลับมาโหวเหลียงก็ดีใจ “แม่นางหมิงในที่สุดท่านก็กลับมา!”

หมิงเวยถาม “ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่มีอะไรผิดปกติใช่หรือไม่”

“ไม่มี”

หมิงเวยคิดพวกเขาสามคนหนีออกจากเมืองเล็กตลอดเส้นทางนี้ดูเหมือนจะไม่มีคนตามมา เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นไม่สามารถออกจากเมืองได้ตามต้องการ หากเป็นเช่นนั้นก็ดีช่วยลดปัญหาได้มาก

นางแนะนำน่าซูให้กับโหวเหลียง “หัวหน้า พวกเราได้ช่วยคุณชายผู้หนึ่งไว้เขาบอกว่าเขาสามารถพาเราไปที่บริเวณราชวงศ์ได้”

โหวเหลียงได้ยินนางเรียกตนว่าหัวหน้าก็เล่นละครตามน้ำทันทีเขากล่าวทักทายน่าซูอย่างสนิทสนม “คุณชายท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือ”

น่าซูได้ยินเขาเรียกตนว่าคุณชายก็มีความสุขมาก “ข้าชื่อน่าซู ท่านเป็นหัวหน้ากองคาราวานนี้ใช่หรือไม่”

โหวเหลียงผู้นี้พบคนประเภทใดก็ใช้วาจาประเภทนั้นกับเขา พูดไม่เท่าไรก็ทำให้น่าซูมีความสุขแล้ว โหวเหลียงเชิญอีกฝ่ายขึ้นรถ และปรึกษาเรื่องเส้นทางอย่างละเอียด

ในตอนเย็นเขามารายงานกับหมิงเวย “แม่นางหมิงคนผู้นั้นเกรงว่าจะเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ของหูเหรินมีแนวโน้มมากว่าจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ เขาบอกว่าเขาสามารถพาเราไปที่เขาเทียนเสินซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหูเหรินหากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าเมืองทั้งแปดก็ไม่สามารถเข้าไปได้” เจ้าเมืองทั้งแปดเป็นผู้นำแปดทิศของเป่ยหู

หมิงเวยเคยได้ยินเกี่ยวกับเขาเทียนเสินซึ่งเป็นสถานที่ที่คนหูเหรินศรัทธา

นางเกิดความคิดหนึ่ง “ถ้างั้นก็ไป!”

ก่อนหน้านั้นนางไม่เคยคิดที่จะไปที่เขาเทียนเสินเพราะไม่มีผู้ใดนำทางให้ แต่ตอนนี้มีแล้วเหตุใดจะไม่ไปเล่า นางจำได้ว่าเป่ยหูทั้งแปดทิศรวมกันเป็นหนึ่งก็คือที่เขาเทียนเสิน ไม่แน่ว่าอาจจะได้พบกับจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ก็เป็นได้

โหวเหลียงมีข้อสงสัย “แต่สถานการณ์ทั้งแปดทิศตอนนี้ยังไม่แน่นอน หากพวกเราไปก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความถูกผิดของพวกเขาแล้วอาจกลายเป็นเครื่องมือสำหรับชัยชนะของพวกเขา…”

หมิงเวยเหลือบมอง “ทำไม เจ้ากลัวหรือ”

โหวเหลียงสั่นระริกเขาหัวเราะกลบเกลื่อน “กลัวอะไรกันขอรับ แม่นางไปที่ใดข้าก็ไปที่นั่นด้วย!”

เมื่อกองคาราวานมีน่าซูมาเข้าร่วมไม่นานก็ดูครึกครื้นขึ้นมา เด็กคนนี้ไม่แปลกใจเลยที่เป็นชาวหูเหรินที่เติบโตบนหลังม้า เขาถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินเป็นเวลาหลายวันพอออกมาได้ถึงได้ดูมีชีวิตชีวาเช่นนี้

พอมีเขาอยู่กองคาราวานก็ไม่เดินผิดเส้นทางอีก ห้าวันหลังจากนั้นพวกเขาก็ผ่านเส้นทางเก่าบนเขาเหยียนซานได้อย่างราบรื่นและเข้าสู่ทุ่งหญ้า

………….

ในเวลานั้นเฝิงอี้นายอำเภอแห่งเกาถางมองหนังสือประกาศราชการเคราของเขาถูกตัดออกไปส่วนหนึ่ง เขาหยิบอันนี้ขึ้นมาอ่านแล้ววางลง หยิบอันนั้นขึ้นมาอ่านแล้ววางลงอีกจากนั้นก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ

ที่ปรึกษาของเขาถาม “นายอำเภอกังวลอะไรหรือโจรบนเขาเหยียนซานถูกกำจัดทีละกลุ่มไม่ใช่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ”

เฝิงอี้ตอบ “การปราบปรามพวกโจรได้เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็จริง แต่ปัญหาคือคนที่ปราบปรามพวกโจรไม่ถูกต้อง”

ที่ปรึกษาครุ่นคิดแล้วเขาก็ได้สติฉุกคิดขึ้นมาได้ “ท่านหมายถึงคุณชายหยางหรือ ไม่ใช่ว่าทุกคนบอกว่าเขาจะอยู่ที่เกาถางไม่นานหรอกหรือ อันที่จริงเขาสามารถใช้เหตุการณ์นี้ขอให้เบื้องบนย้ายเขากลับเมืองหลวงก็ทำได้”

“ท่านรู้แค่ผิวเผินเท่านั้น!” เฝิงอี้ถอนหายใจและกล่าวว่า “เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการออกจากเมืองหลวงของคุณชายหยางในครั้งนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ช่วงสองสามปีนี้เขาไม่สามารถกลับเมืองหลวงได้อย่างแน่นอน”

ที่ปรึกษาตกใจ “ข้าละเลยเรื่องนี้ไปเลยนายอำเภอโปรดช่วยชี้แจงด้วย”

เฝิงอี้ชี้ไปที่ราชกิจจานุเบกษา “ท่านดูเมืองหลวงสิว่าช่วงนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ที่ปรึกษาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน “ท่านหมายถึงไท่จื่อกับซิ่นอ๋องหรือ ในอดีตทั้งสองพระองค์เป็นพี่น้องที่รักกันมากดูเหมือนว่าพวกเขาจะขัดแย้งกันในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา”

เฝิงอี้พยักหน้า “ข่าวมาถึงมือพวกเราที่นี่เกรงว่าที่เมืองหลวงทั้งสองพระองค์ได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดแล้ว ข่าวลือของคุณชายหยางท่านคงเคยได้ยินมาแล้ว ภายใต้สถานการณ์นี้ไม่ว่าฝ่าบาทจะคิดอย่างไรก็คงไม่มีทางให้เขากลับเมืองหลวงหรอก”

ที่ปรึกษาเข้าใจอย่างชัดเจน “ข้าเข้าใจแล้ว”

คุณชายหยางผู้นี้มีที่มาที่น่าสงสัยตอนนี้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงมาก หากฝ่าบาทรักเขาจริง เขาที่ยังไม่มีสถานะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ได้และจะไม่ถูกเรียกกลับเมืองหลวงอย่างแน่นอนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเข้าไปเกี่ยวพัน แต่หากฝ่าบาทไม่โปรดปรานเขาก็ยิ่งไม่ต้องการให้เขากลับไปสร้างความวุ่นวายในเหตุการณ์นี้

ที่ปรึกษาถามอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้นายอำเภอจะกังวลทำไมหรือ ไม่ว่าเขาจะก่อปัญหาอย่างไรเบื้องบนก็ยังกดดันเขาอยู่”

เฝิงอี้ถอนหายใจ “ก็จริงอยู่ แต่หากข้ารายงานไป…” ผู้ใดจะรู้ว่าจะถูกเบื้องบนกริ้ว ถือเอาตนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดหรือไม่ ที่ปรึกษาคิดตามก็เห็นด้วยเขาเองก็กังวลเรื่องนี้เช่นกัน

ทันใดนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เดินเข้ามา “ใต้เท้าขอรับ เจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าส่งบัตรเชิญมาขอรับ”

เฝิงอี้ตกใจเขากวักมือ “รีบเอามาเร็วเข้า”

เมื่อเขาเปิดมันก็พบว่าเป็นบัตรเชิญไปงานเลี้ยง เฝิงอี้มีความคิดที่จะไปจึงถามที่ปรึกษา “ข้าไปหรือไม่ไปดี”

ที่ปรึกษาตอบว่า “บัตรเชิญถูกส่งมาแล้วท่านไปจะดีกว่า”

“แต่ข้ากลัวจะเข้าไปพัวพันกับเขามากเกินไป…”

ที่ปรึกษายิ้มแล้วตอบว่า “นายอำเภอกังวลเกินไปแล้ว ท่านเป็นนายอำเภอของเมืองนี้ เขาอยู่ที่เกาถางจะต้องมีการติดต่อกันอยู่แล้ว เขาเชิญมาเช่นนี้หากปฏิเสธจะดูไม่ดีได้”

เฝิงอี้คิดตามก็เห็นว่าจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าแล้วเขาก็ได้ยินที่ปรึกษาพูดอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นท่านจะได้เห็นว่าเขาเป็นคนอย่างไร ท่านจะได้มีคำตอบในใจมากขึ้นดีหรือไม่” เผิงอี้ถูกโน้มน้าวไม่กี่วันต่อมาเขาก็ไปร่วมงานเลี้ยงที่สนามเลี้ยงม้า

เมื่อไปถึงเขาตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงของที่นี่

เขารู้อยู่นานแล้วว่าคุณชายหยางเป็นคนรักสนุก แต่ไม่รู้ว่าหลายวันมานี้มีกองคาราวานเดินทางมาที่นี่มากน้อยเพียงใด แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำไปทำมาจนกลายเป็นเมืองเล็กๆ เมื่อมองดูการตกแต่งที่วิจิตรตระการตา สาวใช้ที่อยู่ข้างกายเขายังถอนหายใจ อย่างไรก็เทียบกับเมืองหลวงไม่ได้

เฝิงอี้ได้รับเชิญให้เข้าไปในจวนที่สร้างขึ้นใหม่ และในที่สุดก็ได้พบกับคุณชายหยางผู้นั้น นอกจากเขาแล้วยังมีเจ้าหน้าที่ผู้มีอิทธิพล และพ่อค้ารายใหญ่อีกหลายคนในเกาถาง อาหารในงานเลี้ยงล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้คนร้องอุทานว่ามหัศจรรย์เหลือเกิน

คุณชายผู้สูงศักดิ์จากเมืองหลวงไม่ธรรมดาจริงๆ!

หลังงานเลี้ยงจบเฝิงอี้ถูกรั้งให้อยู่ต่อ เขารู้ดีอยู่แก่ใจ คิดเงียบๆ ว่าจะพูดอย่างไรดี คุณชายหยางที่เสร็จธุระเอ่ยปากก็ทำให้เขาตกใจ

“ใต้เท้าเฝิง หลายวันมานี้โจรที่เขาเหยียนซานได้ถูกกำจัดไปมากมาย นี่ถือว่าไม่ใช่ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ใช่หรือไม่”

“ใช่ขอรับ” เฝิงอี้ยิ้ม “คุณชายหยางยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าได้เขียนรายงานต่อฝ่าบาทแล้วคงถูกส่งออกไปเร็วๆ นี้”

หยางชูยิ้ม “รายงานต่อฝ่าบาทหรือ อันที่จริงก็ควรเขียน แต่ข้าอยากขอให้ใต้เท้าเฝิงช่วยเปลี่ยนสักหน่อยเขียนว่าท่านเป็นคนส่งคนไปปราบปราม” เฝิงอี้ตกใจ

หยางชูดูไม่กังวลอะไรเขาจิบชาอย่างช้าๆ ผ่านไปสักพักสติของเฝิงอี้ก็กลับมา เขาถามกลับไปอย่างไม่แน่ใจ

“เหตุใดท่านถึง…”

หยางชูถอนหายใจเขาดูหดหู่มาก “ใต้เท้าเฝิงคงไม่รู้ว่าครั้งนี้ฝ่าบาททรงกริ้วข้าจริงๆ ถึงได้ให้ข้าออกมากินความยากลำบาก และไม่ให้ข้ากลับเมืองหลวงชั่วคราว ข้าไม่ลงรอยกับไท่จื่อแล้วก็ซิ่นอ๋องก่อนจากเมืองหลวงข้าก็มีเรื่องขุ่นเคืองกับอันอ๋อง หากรายงานนี้ถูกส่งไปอยู่ในสายตาพวกเขา เกรงว่าพวกเขาจะนึกถึงข้าอีกครั้งเรื่องที่ข้าทำในช่วงเวลาหลายวันนี้แค่สอบถามก็รู้เรื่องแล้ว ท่านช่วยรายงานแค่ว่าข้ามาที่ซีเป่ยมีความสุขดีได้หรือไม่ เช่นนั้นเรื่องการกลับเมืองหลวงของข้าจะได้ไม่มีกำหนด”

เฝิงอี้คิดแล้วเขาก็ถามด้วยความตื่นเต้น “เช่นนั้นหมายความว่าคุณชาย…”

หยางชูพูดขัดจังหวะเขา “ดังนั้นข้าจึงต้องการยืมชื่อของใต้เท้า หลายวันมานี้ได้ยินมาว่าภาษีการค้าถูกเก็บเกินจริงไปมาก หากเพิ่มความดีความชอบเรื่องการปราบปรามกลุ่มโจรไปบางทีการประเมินครั้งถัดไป ใต้เท้าอาจออกจากสถานที่แห่งนี้ได้”

…………..