หนานกงเย่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น:“ข้ารู้ดีว่าเสด็จพี่ทรงเป็นคนเยี่ยงไร พระองค์ไม่ใช่คนอย่างที่พวกเจ้าเห็น ผู้ที่มีฐานะที่สูงส่งก็เป็นคน ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน พระองค์ทรงดีกับข้ามาก เพียงแต่ไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น”
หนานกงเย่ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก และฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ถามต่อ
“เช่นนั้นท่านก็อดทนรอดูไปก่อนอย่าเพิ่งใจร้อน หม่อมฉันคิดว่าซือคงเซียงคงจะมาหาเราในอีกไม่กี่วัน เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนก็จะบรรลุผลเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
หนานกงเย่ประหลาดใจ:“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนี้?”
“ในเวลานี้ไม่ง่ายที่จะพูดเพคะ แต่หม่อมฉันคิดว่าตู้ฟางจุนเป็นสิ่งที่ติดอยู่ใจของซือคงเซียง ตำแหน่งเสนาบดีกรมโยธาธิการของเขาถูกทิ้งไว้ที่นั่น ในตอนนี้เป็นเพราะเรื่องของตู้ฟางจุนถูกกล่าวถึงขึ้นมาอีกครั้ง จึงได้พบกับเขา และแน่นอนว่าเขาต้องลังเล
เพียงแต่ว่านั้นเป็นสิ่งที่ติดอยู่ใจของเขา ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นใดเลย เขาจะต้องสนใจชีวิตของประชาชนอย่างแน่นอน
ถ้าหากว่าเขาไม่อยากจะยุ่งเรื่องนี้จริง ๆ เขาคงจะไม่หน้านิ่วคิ้วขมวดทุกวัน
หม่อมฉันไปที่จวนซือคงของพวกเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาสามารถขับไล่หม่อมฉันออกมาได้ เขาสามารถทอดทิ้งภรรยาโดยไม่คำนึงวันเวลาได้ แล้วเหตุใดต้องสนใจกับระยะเวลาอันสั้น
แสดงให้เห็นว่าเขาลังเล เพียงแต่เขาลังเลเรื่องอะไร ท่านอ๋องทราบหรือไม่เพคะ ?”
ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิด ทันใดนั้นหนานกงเย่ก็ตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน
“ข้าลืมไปได้อย่างไร” หนานกงเย่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นจากเก้าอี้ นางยืนขึ้น และยิ้ม
หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียดรอบคอบ:“ข้าน่าจะคิดเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว”
“ท่านอ๋องทรงรู้แล้วหรือเพคะ”
“ซือคงเซียงได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นในราชสำนัก และสั่งให้เขากลับมา เขาคงไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ข้าจะสั่งให้เขากลับมาในทันที
เพียงแต่ว่าตำแหน่งขุนนางที่จะให้เขาสามารถเลื่อนขั้นได้เพียงแค่หนึ่งขั้นเท่านั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกชื่นชมอย่างสุดซึ้ง นางเพียงพูดแค่ไม่กี่คำเท่านั้น หนานกงเย่ก็เข้าใจมันในทันที
เขาช่างเป็นคนที่ฉลาดจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นยังคงยิ้มอยู่ หนานกงเย่ก็เดินไปตรงหน้านาง:“ดูเหมือนว่าข้าจะได้ภรรยาที่ดี พระชายาเช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนอยู่ที่จวนสักสองสามวัน และไม่ต้องออกไปไหน”
“ท่านอ๋องทรงรอบคอบมากเพคะ ?” ฉีเฟยอวิ่นก็คิดเช่นกัน
“แน่นอน เป็นเจ้าที่เตือนสติข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะเข้าใจได้อย่างไรกัน ?”
“ท่านอ๋องทรงพระปรีชาเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นถอนสายบัว
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นและพูดว่า:“อาอวี่”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” อาอวี่รออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว
ไม่กี่วันต่อมาที่จวนซือคง
เสี่ยวซือที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอามือทั้งสองข้างใส่ไว้ในแขนเสื้อ และก้มหน้าลงด้วยความเศร้าใจ
ฮูหยินซือคงถามว่า:“ข้างนอกพูดกันเช่นนั้นจริงหรือ ?”
“ขอรับ”
ฮูหยินซือคงดูหดหู่ใจ:“นายท่าน”
ซือคงเซียงถามว่า:“เจ้าพูดอีกทีสิ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
เสี่ยวซือกล่าวว่า:“คนข้างนอกบอกว่าพระชายาเย่ทำงานได้ไม่ดี จึงถูกท่านอ๋องเย่ลงโทษ ในตอนนี้ถูกห้ามไม่ให้ออกจากจวนและให้กักตนเพื่อสำนึกผิดอยู่แต่ในจวน ในหนึ่งวันมีอาหารสามมื้อ แต่ในตอนนี้พระองค์ทรงได้รับอาหารเพียงแค่มื้อเดียวเท่านั้นขอรับ”
“มื้อเดียวมันจะไปพอได้อย่างไร ?” ฮูหยินซือคงทนไม่ไหว
“เจ้าไปถามมาใหม่สิ เจ้าลองไปถามคนในจวนอ๋องเย่ดู นี่เป็นเงินนิดหน่อย เจ้านำไปด้วย แล้วถามมาให้ได้ความ” ซือคงเซียงลุกขึ้นแล้วหยิบเงินที่มีเพียงเล็กน้อยออกมา
เงินจำนวนนี้ไม่ง่ายเลยที่จะหามา เป็นเงินที่เขาเก็บเล็กผสมน้อยจากการที่เขาตกปลาไปขาย เดิมทีเขาจะนำไปซื้อยาบำรุงให้ภรรยา แต่เขายังไม่ทันจะได้ใช้ ฉีเฟยอวิ๋นก็มาเสียก่อน
เสี่ยวซือรับเงินแล้วรีบวิ่งออกไป
อาอวี่สังเกตเห็นแล้วว่ามีคนมาที่จวนอ๋องเย่ เขาจึงกลับเข้าไปบอกทังเหอ ทังเหอจึงบอกให้คนออกไปจากในจวนทันที
แม่นมในจวนเดินออกไปที่ตลาด และเสี่ยวซือก็เดินตามไป
เสี่ยวซือแสร้งทำเป็นเดินอย่างเร่งรีบจนชนกับแม่นม ทำให้แม่นมเกือบจะล้มและของที่อยู่ในมือก็ตกลงไปที่พื้น
เสี่ยวซือรีบหยิบมันขึ้นมา:“ข้าจะจ่ายเงินให้ท่าน เป็นข้าที่รีบเดิน”
แม่นมยิ้มและกล่าวว่า:“ไม่เป็นไร เจ้ายังหนุ่มต้องเดินเร็วเป็นปกติ คราวหน้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
“ขอรับ”
เสี่ยวซือไม่ได้จากไป เขาเดินตามแม่นมไปและแม่นมก็ไม่ได้พูดอะไร เสี่ยวซือจึงอดไม่ได้ที่จะถามแม่นมว่ามาทำอะไร แม่นมมองไปรอบ ๆ และกล่าวว่า:“มาซื้อรำข้าว”
“ซื้อรำข้าวไปทำอะไร ท่านแต่งตัวเช่นนี้ ท่านเลี้ยงหมูหรือ ?”
“ที่บ้านข้าไม่มีหมู ข้าซื้อไปให้นายท่านของข้ากิน” แม่นมกล่าว
เสี่ยวซือประหลาดใจ:“บ้านท่านคงเป็นครอบครัวใหญ่และมีคนจำนวนมาก แม้แต่นายท่านก็ยังกินรำข้าว”
“ไม่ใช่เช่นนั้น……”
แม่นมกล่าวอย่างลังเลว่า:“ไม่ใช่เช่นนั้น นายหญิงของบ้านข้าทำงานได้ไม่ดี เดิมทีนายท่านไม่ต้องการพบนาง จึงให้นางไปทำธุระ หากนางจัดการได้ดีก็จะให้นางดูแลเรื่องในบ้าน แต่หากจัดการได้ไม่ดีก็จะให้นางกินอาหารแค่วันละมื้อ และลดขั้นเป็นนางสนม”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” เสี่ยวซือแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
แม่นมพยักหน้า:“ใคร ๆ ก็บอกว่านายท่านของเราไม่นายหญิง และนี่คงจะเป็นการกลั่นแกล้งนาง”
“แล้วเอารำข้าวไปทำอะไร ?”
“เอาไปให้นายหญิงของข้ากิน นายท่านของข้าโกรธมาก เดิมทีเห็นว่านางเข้าออกบ้านได้ก็คิดว่าต้องเข้ากันได้ดีอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะสิ่งนั้นยังอยู่ในห้องของนาง แม้นางจะบอกว่านางไม่ได้ทำตาม นายท่านโกรธมากจึงให้นางกินรำข้าว
และกินเพียงแค่วันละมื้อ แม้ว่าจะไม่ดี แต่ก็พอที่จะอยู่รอดไปวัน ๆ รำข้าวก็ถือว่าไม่เลวเลย
ก่อนหน้านี้นายท่านของข้าปฏิบัติต่อนางไม่ดี ช่วงนี้ดูเหมือนความสัมพันธ์จะดีขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่คราวนี้เรื่องนี้สำคัญมากต่อนายท่าน และไม่สามารถยกโทษให้นางได้ นางจึงถูกลงโทษ”
เสี่ยวซือรีบกลับไปที่จวนคงซือ และเข้าไปบอกฮูหยินซือคงและซือคงเซียง
ฮูหยินซือคงเป็นคนขี้สงสาร ฉีเฟยอวิ๋นเคยทำการรักษาให้นาง และมาที่นี่หลายครั้งโดยไม่บ่ายเบี่ยง พวกเขาไม่มีบุตร และเห็นฉีเฟยอวิ๋นเป็นเหมือนบุตรสาว ในตอนนี้เป็นเช่นนี้ ฮูหยินซือคงไม่สามารถรับได้ และอยากที่จะร้องไห้ออกมา
ซือคงเซียงลุกขึ้นแล้วเดินไปเดินมารอบ ๆ ห้อง
“เรื่องนี้จะทำเช่นไรดี?” ฮูหยินซือคงถามไปพลางร้องไห้ไปพลาง
ซือคงเซียงก็รู้กลัดกลุ้มใจมากเช่นกัน เขาหยุดและมองไปที่ภรรยา:“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อ แต่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในจวนอ๋องเย่ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่แม่ทัพฉีจะไม่สนใจเรื่องนี้ ?”
ฮูหยินซือคงมองไปที่สามีด้วยน้ำตาคลอเบ้า:“หรือว่าพวกเขาจะหลอกเรา ?”
“มันก็ไม่แน่” ซือคงเซียงไม่แน่ใจ แต่ท่านอ๋องเย่คงไม่ใช้เรื่องนี้เพื่อหลอกลวงผู้อื่น
เสี่ยวซือร้อนใจ:“ฮูหยิน เมื่อก่อนข้าก็เคยได้ยินมาว่าพระชายาเย่ทรงไม่เป็นที่โปรดปราน พระองค์ทรงเกือบสิ้นพระชนม์ในเงื้อมมือของท่านอ๋องเย่ หลังจากทรงอภิเษกสมรสก็หนีกลับไปที่จวนของท่านแม่ทัพ และได้ยินคนในจวนท่านแม่ทัพบอกว่าเรื่องนี้ได้ถูกรายงานไปยังฝ่าบาทแล้ว และท่านแม่ทัพฉีก็ยังทำให้อ๋องเย่ได้รับบาดเจ็บด้วย แต่ฝ่าบาททรงเกรงว่าจะทำให้ราชวงศ์ต้องอับอาย จึงให้ระงับเรื่องนี้ไว้ และทรงไม่อนุญาตให้หย่าร้าง”
“หา ?ยังมีเรื่องนี้ด้วยหรือ ?” ฮูหยินซือคงน้ำตาไหล:“เป็นพวกเราที่ทำร้ายพระชายา”
ในตอนเย็น จวนอ๋องเย่ก็มีแขกมาพบ
ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่กำลังพูดคุยกันเรื่องการสร้างร้านขายยาสมุนไพรใหม่ของนาง อาอวี่เคาะประตูอยู่ด้านนอก
“มีอะไรรึ ?” หนานกงเย่ถาม
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ซือคงเซียงและฮูหยินของเขามาพ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่รายงาน
หนานกงเย่หันไปมองฉีเฟยอวิ๋น และรู้ว่าวิธีการมันได้ผล
“ท่านอ๋องไปเถอะเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปข้างในและทำงานต่อ
หนานกงเย่หันหลังเดินออกไปข้างนอก อาอวี่หยิบแม่กุญแจและขังฉีเฟยอวิ๋นไว้ในห้อง
หนานกงเย่ไปที่พบซือคงเซียงและฮูหยินซือคงที่ห้องโถงด้านหน้า
ซือคงเซียงและฮูหยินซือคงถูกเชิญให้มาที่ห้องโถงด้านหน้าและนั่งลง หนานกงเย่แต่งกายตามสบายและเดินเข้ามาในห้อง
“ราษฎรผู้ต่ำต้อยคารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าคารวะท่านอ๋องเพคะ”
“ท่านเสนาบดี ฮูหยิน ไม่ต้องมากพิธี เชิญดื่มชา”
หนานกงเย่เชิญให้นั่งลงและดื่มชาก่อน
ฮูหยินซือคงเหลือบมองซือคงเซียง และถามหนานกงเย่ว่า:“ท่านอ๋องเพคะ ไม่ทราบว่าพระชายาทรงประทับอยู่ในจวนหรือไม่เพคะ อาการป่วยของข้าหายแล้ว เคราะห์ดีที่ได้พระชายา วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อที่จะขอบพระทัยพระชายาเพคะ”
“พระชายาไม่ค่อยสะดวก นางมีเรื่องต้องไปทำ ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจ อาการของฮูหยินดีขึ้นแล้ว พระชายาต้องดีพระทัยกับเรื่องนี้แน่ ไว้ข้าจะบอกเรื่องนี้กับพระชายา”
หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ และไม่ได้เรียกให้ฉีเฟยอวิ๋นออกมา
ฮูหยินซือคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า:“ท่านอ๋องเพคะ ข้าอยากจะขอบพระทัยพระชายาด้วยตนเอง ไม่ทราบว่าท่านอ๋องพอที่จะผ่อนปรนได้หรือไม่เพคะ”
“ฮูหยินอย่ากล่าวเช่นนั้น ข้าจะไม่ผ่อนปรนได้อย่างไร แต่พระยาชาได้รับลมเย็น หากออกมาเกรงว่านางจะแพร่เชื้อ เอาไว้วันหน้าข้าจะพานางไปที่จวนของท่าน แล้วฮูหยินค่อยขอบคุณด้วยตนเองก็ยังไม่สาย”
หนานกงเย่บ่ายเบี่ยง และฮูหยินซือคงก็เริ่มสงสัย
ไม่ยอมให้พบ ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ
ฮูหยินซือคงจึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก ซือคงเซียงเตรียมจะจากไป หงเถาก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก นางเข้ามาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ และสะดุดธรณีประตูจนล้มลง
นางร้องไห้และตะโกนว่า:“ท่านอ๋องโปรดทรงไว้ชีวิตพระชายาด้วยเพคะ พระองค์ทรงหิวจนเป็นลมไปแล้วเพคะ”
ฮูหยินซือคงลุกขึ้นยืน และหน้าซีดไปชั่วขณะหนึ่ง
หนานกงเย่วางถ้วยน้ำชาลงอย่างใจเย็น หลังจากจากนั้นก็ยืนขึ้นและกล่าวว่า:“อย่าพูดพล่อย ๆ ”
“ท่านอ๋อง พระชายาทรงเป็นลมไปแล้วจริง ๆ นะเพคะ”
หงเถาลุกขึ้นมาและคุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นก็ก้มหน้าร้องไห้
ซือคงเซียงจึงกล่าวว่า:“ท่านอ๋อง พระชายาทรงหิวได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?”
สีหน้าของหนานกงเย่เย็นชาและไม่ได้ตอบในทันที
หงเถาเงยหน้าขึ้นและเห็นมองซือคงเซียง นางรีบเช็ดน้ำตาและพูดว่า:“เมื่อครู่บ่าวเผลอหลับไป ท่านอ๋อง บ่าวจะกลับไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ออกไปเถอะ” หนานกงเย่ยืนเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ฮูหยินซือคงทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ท่านอ๋องให้ข้าได้พบกับพระชายาได้หรือไม่เพคะ?”
หนานกงเย่ไคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง:“พระชายาอยู่ที่สวนหลังจวน ตามข้ามา”
หนานกงเย่เดินไปข้างหน้า และฮูหยินซือคงก็เดินตามไป ขาของฮูหยินซือคงยังเดินได้ไม่ค่อยสะดวก แตานางก็รีบตามไป
ระหว่างที่เดินหนานกงเย่ก็ขยิบตาให้อาอวี่ เพื่อให้อาอวี่รีบไปที่สวนหลังจวน
จากนั้นอาอวี่จึงรีบไปที่สวนหลังจวน ฮูหยินซือคงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงเดินให้เร็วขึ้น
เมื่อมาถึงสวนดอกกล้วยไม้หลังจวนแล้ว อาอวี่ก็ดุใครคนหนึ่งด้วยเสียงดัง:“ยังไม่รีบเร่งอีก อีกเดี๋ยวท่านอ๋องก็จะมาแล้ว และจะปลดกุญแจให้ท่าน เหตุใดท่านถึงไร้ประโยชน์เช่นนี้ ?”
“ปกติก็กุญแจปลดได้ง่าย เหตุใดวันนี้ถึงเป็นเยี่ยงนี้ ?” ผู้ที่ปลดกุญแจบ่นพึมพำ ลู่ว์หลิ่วและหงเถาที่อยู่ข้าง ๆ ร้องไห้ไม่หยุด
อาอวี่หงุดหงิด:“ร้องไห้ทำไม พวกเจ้าร้องไห้เช่นนี้ กลัวคนจะไม่รู้ว่าพระชายาทรงหิวหรืออย่างไร ?”
เมื่อฮูหยินซือคงเห็นเช่นนี้แล้ว ยังจะไม่มีอะไรที่นางไม่เข้าใจอีก