หลิ่วสือซุ่ยย่อมต้องเป็นคนที่พูดมาก มิเช่นนั้นเมื่อในอดีตตอนที่จิ๋งจิ่วได้พบสมณะหนุ่มแห่งวัดกั่วเฉิงที่ฝึกปิดวาจา เขาจะคิดถึงหลิ่วสือซุ่ยได้อย่างไร
แต่แน่นอน ในอดีตเขามิได้พูดมากเหมือนอย่างในวันนี้
ในช่วงเวลาสิบกว่าปีมานี้ เขาแบกรับความรับผิดชอบและความลับเอาไว้มากมาย เป็นเพราะกังวลว่าจะเผลอหลุดปากพูดอะไรออกไป เป็นเพราะความกดดัน เป็นเพราะต้องแสดงเป็นศิษย์ที่ตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชที่ไปเข้ากับฝ่ายมาร คำพูดของเขายิ่งน้อยลงทุกวัน อดกลั้นจนแทบจะกลายเป็นบ้า
จนกระทั่งวันนี้สร้อยข้อมือของจิ๋งจิ่วได้กลายเป็นกระบี่เปิดทางให้เขา กระบี่ชิงซานจำนวนมากมุ่งหน้าไปยังทะเลตะวันตก ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องแสดงบทบาทนั้นแล้ว ได้รับการปลดปล่อย เขาจึงอยากจะเอาคำพูดที่ไม่ได้พูดมาเป็นเวลาสิบกว่าปีพูดออกมาให้หมด
ภายในถ้ำตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นเป็นเวลานาน เสี่ยวเหอโอบกอดเขาเอาไว้ ลูบแผ่นหลังของเขาอย่างแผ่วเบา
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกตื้นตันใจ แล้วก็รู้สึกตื่นเต้น สองมือไม่รู้ควรจะวางเอาไว้ที่ไหน แข็งเกร็งอยู่กลางอากาศ ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นทุกขณะ
สุดท้ายเขาก็มิอาจทนต่อไปได้ จึงกล่าวเสียงสั่นเครือ “ข้า…ข้าหิวน้ำ”
เสี่ยวเหอผละออกจากตัวเขา มองดูเขายิ้มๆ พลางกล่าว “พูดมากขนาดนี้ จะไม่หิวน้ำได้อย่างไร?”
หลิ่วสือซุ่ยไม่กล้ามองนาง เขาดื่มน้ำในถ้วยชาไปจนหมด จากนั้นถามว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อกินยาเข้าไป แล้วก็ได้พักผ่อนไปครู่หนึ่ง อาการบาดเจ็บของเขาก็ดีขึ้นมาหน่อย ที่สำคัญคือปราณกระบี่ฟื้นฟูกลับมาไม่น้อย น่าจะสามารถขี่กระบี่ได้
เสี่ยวเหอตรวจสอบร่างกายตัวเอง ก่อนมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่น่าจะสามารถเคลื่อนไหวได้ไม่มีปัญหา จึงพยักหน้า
หลิ่วสือซุ่ยพยุงนางเดินไปตรงหน้าผา กล่าวว่า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าบอกว่าคุณชายและเจ้าล่าเยวี่ยมีความลับมากมาย เจ้าหงุดหงิดข้าใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเหอคิดในใจ เจ้ารู้ด้วยอย่างนั้นหรือ
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ความจริงข้ายังมีอีกความลับหนึ่ง”
เสี่ยวเหอคิดในใจ เอาอีกแล้วหรือ?
“แต่ความลับนี้เป็นของข้า ดังนั้นข้าสามารถบอกเจ้าได้”
หลิ่วสือซุ่ยพานางเดินเข้าไปในป่าที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะผิวปากออกมา
กระบี่บินเล่มนั้นได้ยินเสียง จึงกลับมาข้างกายเขา ปลายกระบี่สั่นไหวเบาๆ มันเหลียวกลับไปมองเป็นระยะๆ คล้ายยังอยากจะอยู่ตรงนั้น
หลิ่วสือซุ่ยเดินไปตรงพื้นภายในป่าที่ปูดนูนขึ้นมาเล็กน้อย มือขวายื่นออกมา ดินถูกแหวกออก เผยให้เห็นกระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ด้านใน
กระบี่เล่มนั้นมีรูปร่างเรียวยาว กลิ่นอายดูเยือกเย็นอึมครึม เพียงแค่ดูก็รู้ว่ามิใช่กระบี่ธรรมดาอย่างแน่นอน
กระบี่พรหมจรรย์
ในอดีตตอนที่อยู่ในวังยามค่ำคืน จินหมิงเฉิงได้มอบกระบี่เล่มนี้ให้แก่เจ้าล่าเยวี่ย จากนั้นนางก็มอบมันให้แก่หลิ่วสือซุ่ยตอนอยู่ที่เมืองกุ้ยอวิ๋น
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว ลั่วไหวหนานตายด้วยกระบี่เล่มนี้
หลายปีมานี้ ซีหวังซุนและหลายๆ คนต่างเที่ยวค้นหาเบาะแสของกระบี่เล่มนี้ แต่สุดท้ายก็หาได้พบไม่
เพราะหลิ่วสือซุ่ยไม่เคยใช้กระบี่เล่มนี้เลย
เมื่อเห็นกระบี่เล่มนี้ เสี่ยวเหอรู้สึกตกใจเล็กน้อย
หนึ่งในภารกิจที่สำคัญอย่างมากที่ซีหวังซุนมอบหมายให้นางเมื่อตอนนั้นก็คือค้นหากระบี่เล่มนี้
ใครจะไปคิดบ้างว่าหลิ่วสือซุ่ยจะเอากระบี่พรหมจรรย์มาฝังไว้ในป่าที่อยู่ห่างจากเมืองไห่โจวออกมาหลายร้อยลี้
……
……
หลิ่วสือซุ่ยหยิบกระบี่พรหมจรรย์ขึ้นมาจากในดิน ใช้แขนเสื้อเช็ดจนสะอาด ก่อนจะเสียบไว้ที่ข้างเอว
กระบี่เล่มเล็กที่ส่องประกายเจิดจ้าเล่มนั้นสั่นไหวเล็กน้อย มันบินวนรอบร่างกายของเขา ดูคล้ายอยากจะลองฟันลงไปทดสอบดูความแข็งของกระบี่พรหมจรรย์
หลิ่วสือซุ่ยรีบห้ามเอาไว้ เขาจูงมือเสี่ยวเหอเตรียมจะเหยียบขึ้นไปบนกระบี่เพื่อไปจากที่นี่
ในเวลานี้เอง ภายในหัวเขามีเสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ตอนที่หนีออกมาจากเมืองไห่โจว ขณะที่เขาขี่กระบี่บินหนีอยู่บนฟ้า เขาก็เคยได้ยินเสียงถอนหายใจเช่นนี้
ในเสียงถอนหายใจนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ แล้วก็ยังมีความรู้สึกเสียใจและผิดหวังเล็กน้อยด้วย
ในเสียงถอนหายใจนี้ก็มีความทอดถอนใจเช่นเดียวกัน แต่ความรู้สึกเสียใจและผิดหวังได้แปรเปลี่ยนเป็นความพึงพอใจและความชื่นชม
ไม่ว่าจะเป็นการถอนใจที่มีความหมายแบบไหนก็ล้วนแต่เป็นการถอนหายใจของซีหวังซุน
หลิ่วสือซุ่ยสีหน้าตึงเครียด ชักกระบี่พรหมจรรย์ออกมาจากเอวอย่างไม่ลังเล เกิดเป็นลำแสงกระบี่ตรงด้านหน้าของตน
กระบี่เล่มเล็กเองก็รับรู้ได้ถึงอันตราย ปลายกระบี่เชิดขึ้นเล็กน้อย เตรียมแหวกอากาศพุ่งออกไป
เปรี้ยง!
ในท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งไร้เมฆพลันมีเสียงสายฟ้าดังขึ้นมา
สายฟ้าผ่าลงมาตรงหน้าผา
เสียงตู้มดังสนั่น
บริเวณหน้าผาเศษหินปลิวว่อน
หลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอตกลงมาบนพื้น เลือดท่วมตัว
เงาร่างหนึ่งลอยลงมาจากท้องฟ้า
เขาสวมชุดสีเหลืองสว่าง ใบหน้ามีม่านไข่มุกของหมวกปิดเอาไว้อยู่ สายตาเงียบสงบ พลังลึกล้ำมิอาจประมาณได้ ดูราวกับจักรพรรดิก็มิปาน
ซีหวังซุน
กระบี่พรหมจรรย์บินออกจากมือหลิ่วสือซุ่ย เสียงฟิ้วดังขึ้น พุ่งตรงเข้าใส่ใบหน้าของซีหวังซุน
ม่านมุกพลิ้วไหวเบาๆ
ซีหวังซุนยื่นมือขวาออกไป
เขาจับกระบี่พรหมจรรย์เอาไว้
ง่ายดายยิ่งนัก
กระบี่พรหมจรรย์ดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็ว
ซีหวังซุนเหลียวมองไปบนฟ้าที่อยู่เฉียงไปทางด้านหน้า
กระบี่เล่มเล็กเล่มนั้นแอบซ่อนอยู่ด้านหลังก้อนหิน คล้ายกำลังเตรียมจะแอบโจมตี
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของซีหวังซุน กระบี่เล่มเล็กก็บินหนีไปทางด้านหลังภูเขาอย่างไม่ลังเล เพียงพริบตาก็หายไป
“หนีเร็วจริง ยอดกระบี่”
ซีหวังซุนกล่าวชมเชย เขารู้ว่าหากตนเองคิดอยากจะจัดการกระบี่เล่มเล็กเล่มนั้นก็จำเป็นต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ เขาจึงมิได้มีความคิดที่จะไล่ตามไป
เขามองหลิ่วสือซุ่ย ในสายตาแฝงเอาไว้ด้วยความผิดหวัง แล้วก็มีความชื่นชม
“คิดไม่ถึงว่าข้าจะถูกเด็กอย่างพวกเจ้าหลอกได้”
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าขาวซีด
ในใจเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความไม่เข้าใจ
สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตของสำนักฝ่ายธรรมะกำลังล้อมโจมตีลานเมฆ ความลับของปู้เหล่าหลินกำลังถูกเปิดเผยออกมา ในฐานะที่ซีหวังซุนเป็นหัวหน้าของปู้เหล่าหลิน เขาไม่คอยรับมือศัตรูอยู่ทางนั้น แต่กลับมาไล่ตามสังหารตนเอง? ถึงแม้เรื่องที่เขาทำคือการทรยศหักหลังที่ปู้เหล่าหลินเกลียดที่สุด แต่การตามฆ่าตัวเองมันสำคัญกว่าการรักษาปู้เหล่าหลินเอาไว้อย่างนั้นหรือ?
“เห็นได้ชัดว่านี่คือแผนที่เจ้าเตรียมการเอาไว้หลายปี ต่อให้ข้าอยู่ที่ลานเมฆ แต่ข้าจะไปทำอะไรได้ล่ะ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของหลิ่วสือซุ่ย ซีหวังซุนก็รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมข้ายังต้องรอความตายอยู่ที่นั่นด้วย?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “เช่นนั้นเรื่องที่เจ้าควรจะทำก็คือรีบหนี เหตุใดถึงมาไล่ฆ่าข้า?”
“การฆ่าเจ้าย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก แต่ที่ข้าตามเจ้ามาย่อมเป็นเพราะมีเหตุผลอื่น”
ซีหวังซุนมองดูกระบี่พรหมจรรย์ที่อยู่ในมือ สายตาดูลึกซึ้ง มองไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เลือดเพียงหนึ่งหยด นี่ก็จะเป็นกระบี่ของเขา
ลานเมฆถูกทำลาย จริงอยู่ที่เป็นความเสียหายที่ปู้เหล่าหลินยากจะยอบรับได้ แต่หากได้กระบี่พรหมจรรย์กลับมา มันก็ถือเป็นการชดเชยเช่นกัน — นี่ต่างหากถึงจะเป็นการสืบทอดที่แท้จริงของทะเลใต้ เมื่อมีกระบี่เล่มนี้ สภาวะที่หยุดนิ่งมาหลายปีของเขาอาจจะบรรลุขึ้นไปอีกขั้นก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ หรือว่าตาแก่ของพวกชิงซานกับจงโจว ยังจะมีอันใดน่าหวาดกลัวอีก?
“เพื่อกระบี่เล่มนี้? คนที่อยู่บนลานเมฆล้วนแต่เป็นลูกน้องที่จงรักภักดีต่อเจ้า เจ้าไม่สนใจแม้แต่นิดเดียวเลยอย่างนั้นหรือ? หรือความเป็นความตายของคนเหล่านั้นยังไม่สำคัญเท่ากระบี่เล่มเดียว?”
หลิ่วสือซุ่ยโมโหขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ซีหวังซุนดึงสายตากลับมา มองดูเขาพลางกล่าว “เดิมปู้เหล่าหลินนั้นคือดาบเล่มหนึ่ง มีอะไรต้องใส่ใจ สิ่งที่สำคัญที่แท้จริงนั้นคือมือที่จับดาบต่างหาก”
ลานเมฆพังทลายก็พังทลายไป
มือสังหารและลูกน้องเหล่านั้นจะตายก็ตายไป
ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ คนที่แอบซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นปู้เหล่าหลินก็จะคงอยู่ตลอดไป
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้หลิ่วสือซุ่ยจะร้ายกาจเพียงใด สุดท้ายเขาก็ยังไม่พบดาบที่แท้จริงเหล่านั้น
หลิ่วสือซุ่ยเข้าใจความหมายของเขา ใบหน้ายิ่งขาวซีด
“วันนี้คนที่จะตายเหล่านั้นล้วนแต่เป็นดาบ แต่เจ้าไม่ใช่”
ซีหวังซุนมองเขาพลางกล่าวทอดถอนใจ “ท่านนักพรตชื่นชมเจ้ามาก ข้าเองก็เหมือนกัน เดิมข้าหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นมือที่กุมดาบข้างต่อไปได้”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ขอโทษด้วยที่ทำเจ้าผิดหวัง”
“ไม่ เพื่อที่จะให้ข้าไว้วางใจแล้ว เจ้าถึงขนาดสังหารลั่วไหวหนาน วิธีการและสติปัญญาเช่นนี้มีแต่ยอดคนเท่านั้นถึงทำได้ คนอย่างเจ้า ข้ามีแต่ชื่นชม ไม่มีผิดหวังเด็ดขาด”
ซีหวังซุนกล่าว “เพียงแต่เสียดายที่วันนี้ข้าจำต้องฆ่าเจ้า เพราะข้าต้องให้คำตอบกับคนเหล่านั้น”
บริเวณหน้าผาพลันมีเสียงถอนใจดังขึ้นมา
บัณฑิตชราแห่งเรือนอี้เหมาเดินออกมา เขามองซีหวังซุนพลางกล่าว “ที่แท้ข้าก็เป็นเพียงแค่ดาบเล่มหนึ่ง”
ซีหวังซุนมองเขาอย่างแปลกใจ เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “ท่านเหยียนย่อมมิใช่ดาบ หากแต่เป็นพู่กัน”
…………………………………………