ตอนที่ 916 หนทางเดียว

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

“เป็นเพราะว่าซย่าหันโม่ ถ้าคุณดำเนินรายการ การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ รายการของเราก็จะไม่มีคู่แข่งยังไงล่ะครับ” โจวชิงเอ่ยแจง

 

 

“ซย่าหันโม่รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกหรือเปล่า”

 

 

“ไม่ครับ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ไปมีเรื่องใหญ่โตกับจู้ซิงมีเดียเพราะผมหรอก เธอไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขาทำเหมือนกันครับ” โจวชิงตอบกลับอย่างต้องการโน้มน้าว

 

 

ลูกชายผู้จัดการสถานีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนหัวเราะออกมา “ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่งี่เง่าที่สุดแล้วซะอีก ใครจะไปคิดว่าถังหนิงจะแย่กว่าผม น่าสนใจจริงๆ ”

 

 

“อีกไม่นานจู้ซิงมีเดียกำลังจะงัดลูกเล่นมาแก้ข่าวและโยนความผิดให้กับผม เดิมทีไม่มีคนรู้เรื่องแผนของพวกเขา แต่หันโม่บังเอิญมารู้เข้าและเธอเป็นคนจิตใจดีเกินไป จู้ซิงมีเดียคงไม่มีวันยอมเสียผลประโยชน์ของตัวเอง พวกเขาเลยไม่มีทางเลือกนอกจากโทษผมแทน…

 

 

…แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่ผมสามารถปกป้องหันโม่ได้”

 

 

โจวชิงเล่นบทเป็นคนดีคล้ายจะบอกว่าตัวเองแค่พยายามปกป้องและขอร้องเพื่อคนรักของตัวเองเท่านั้น หากแต่ในความเป็นจริง เขากำลังกล่าวโทษถังหนิงและรอให้พวกเขาฟาดฟันกันเอง

 

 

“ผมจะปล่อยซย่าหันโม่ไปและไม่โทษว่าเป็นความผิดของคุณก็ได้ ทันทีที่ถังหนิงพยายามใส่ร้ายคุณ ผมจะทำให้เธอเหมือนตายทั้งเป็นเอง…

 

 

…อีกอย่างใครบอกว่าคุณไม่มีทางออก คุณกลับมาได้เสมอนะ ตอนนี้ผมได้รับบาดเจ็บอยู่ ไม่มีทางไปดำเนินรายการ การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ ได้อีกแล้ว ดังนั้นผมยกมันให้คุณดีกว่ายอมให้คู่แข่งได้ผลประโยชน์ไปเสียจะดีกว่า”

 

 

สายตาของโจวชิงพลันเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายและยากจะคาดเดา

 

 

“ผมไม่เหมาะกับบทบาทนั้นอีกแล้วล่ะครับ แต่หันโม่ยังมีความสามารถอีกมาก ผมสามารถอยู่คอยช่วยสนับสนุนข้างเธอได้ครับ”

 

 

“แล้วแต่คุณแล้วกัน”

 

 

ว่ากันสั้นๆ ในตอนนี้ลูกชายของผู้จัดการรู้แล้วว่าศัตรูของเขาคือใคร ตอนนี้เขาจึงพุ่งเป้าไปที่ถังหนิง

 

 

ทันทีที่จู้ซิงมีเดียเคลื่อนไหว มันจะเป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่โจวชิงพูดเป็นเรื่องจริง

 

 

โจวชิงได้ขุดหลุมพรางไว้ลึกเพื่อปกป้องอนาคตของเขาและซย่าหันโม่ให้ปลอดภัยจากอันตรายได้สำเร็จ ในตอนนี้สิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นคือการที่ถังหนิงออกมาประกาศว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

ในขณะเดียวกันผู้คนต่างสงสัยเป็นอย่างมากพร้อมการคาดเดาไปต่างๆ นานา ที่ออกมาจากปากของพวกเขา

 

 

“ฉันได้ยินว่าทั้งหลินเฉี่ยนและซย่าหันโม่ชอบโจวชิง ซย่าหันโม่เลยทะเลาะกับหลินเฉี่ยนและทำให้จู้ซิงมีเดียโกรธเข้าล่ะ”

 

 

“แต่ฉันได้ยินมาว่าระหว่างหลินเฉี่ยนกับซย่าหันโม่มีเรื่องบาดหมางกัน แล้วสุดท้ายซย่าหันโม่ก็ทำให้หลินเฉี่ยนได้รับบาดเจ็บ ถังหนิงโกรธมากจนไม่มีทางเลือกนอกจากตัดขาดกับศิลปินของตัวเอง”

 

 

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร จู้ซิงมีเดียไม่ได้ออกมาชี้แจงแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าถังหนิงจะทำเพียงให้หลงเจี่ยรวบรวมหลักฐานและจงใจไม่เปิดเผยเรื่องนี้กับสาธารณชนแต่อย่างใด

 

 

เธอมีสามเหตุผล อย่างแรก จู้ซิงมีเดียไม่จำเป็นต้องชี้แจงเพื่อจัดการกับใครบางคน หากใครบางคนติดค้างบางอย่างกับพวกเขาไว้ อีกฝ่ายจะต้องชดใช้กลับคืนมาทุกบาททุกสตางค์

 

 

สอง เรื่องของโจวชิงไม่มีหลักฐานชัดเจน เธอจึงไม่โง่พอที่จะประกาศสิ่งใดออกไปให้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้

 

 

สาม เพราะเธอไม่ได้ออกมาพูดแต่อย่างใด จึงเป็นธรรมดาที่คนภายนอกจะเฝ้าจับตาดูซย่าหันโม่ ใครจะกล้าใช้คนที่ถังหนิงประกาศตัดขาดด้วยตัวเองกัน พวกเขาอยากจะถูกทำให้ย่อยยับหรืออย่างไร

 

 

พูดอีกอย่างก็คือถังหนิงไม่ได้ทำสิ่งที่โจวชิงคาดหมายให้เธอทำแม้แต่น้อย

 

 

ส่วนลูกชายของผู้จัดการสถานี แน่นอนว่าถังหนิงต้องไปพบเขาอยู่แล้ว

 

 

ทว่าสุดท้ายคนที่เขาเชื่อใจคงจะขึ้นอยู่กับพลังในการโน้มน้าวใจของถังหนิงแล้ว

 

 

 

 

ในขณะเดียวกันหลังจากไปพบกับลูกชายผู้จัดการ โจวชิงไปที่บ้านของซย่าหันโม่แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าต้องเจอกับอะไร

 

 

“พี่โจว…ฉันเจรจากับจู้ซิงมีเดียไม่ได้ค่ะ ฉันรู้สึกไร้ค่าจังเลย”

 

 

“เธอจะไร้ค่าได้ยังไงกันล่ะ ตราบใดที่เธอเชื่อใจฉัน เธอจะถูกมองเป็นนางฟ้าผู้แสนดีที่สุดในโลกเลยล่ะ” โจวชิงเอ่ยปลอบพลางประคองแก้มของเธอ “ไม่ต้องห่วงนะ เพื่อพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้เป็นคนผิด ฉันไปพบลูกชายของผู้จัดการสถานีแล้ว เขายอมไว้ใจฉันและยังชวนเรากลับไปทำรายการ การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ ด้วยนะ”

 

 

“คุณพูดจริงๆ เหรอคะ” ซย่าหันโม่ถามขณะที่หยุดร้องไห้

 

 

“จริงสิ เราทำงานให้สถานีต้นสังกัดของเราตอนนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเราอาจจะกลับไปที่เดิมกัน”

 

 

“แต่ว่ากลับไปกลับมาแบบนี้ไม่ดูแย่เหรอคะ”

 

 

“เด็กโง่ พอเรากลับไป ทุกคนก็จะมองว่าสถานีโทรทัศน์มีคุณธรรมและรู้คุณคนที่ให้อภัยเราในระหว่างที่เราลำบากกันอยู่ไง เราต่างก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายนะ” โจวชิงเข้าใจในพฤติกรรมของคนไม่น้อยไปกว่าถังหนิง การต่อสู้ของพวกเขาถึงน่าจับตามองไม่น้อย

 

 

โจวชิงนำถังหนิงมาหนึ่งก้าว หมายความว่าถังหนิงต้องยอมทนเป็นฝ่ายผิดหรือ

 

 

“ดีเลยค่ะ…ดีมากๆ เลย”

 

 

ซย่าหันโม่รู้สึกว่าเธอไว้ใจคนถูกและตาบอดที่เมื่อก่อนเคยไปขอความช่วยเหลือจากถังหนิง

 

 

“โชคดีที่ฉันเจอคุณนะคะ พี่โจว ไม่อย่างนั้นคงได้แต่รอเวลาที่ฉันจะโดนจู้ซิงมีเดียเขี่ยทิ้ง”

 

 

“บ้าน่า…จากนี้ไปเดี๋ยวเรื่องก็จะดีขึ้นเอง อย่ากังวลไปเลยนะ”

 

 

โจวชิงยังไม่ยอมปล่อยซย่าหันโม่เพราะเธอยังมีประโยชน์อยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังหลอกง่ายอีกด้วย

 

 

อย่างไรเสียเธอก็เคยเป็นอดีตศิลปินของจู้ซิงมีเดีย มีความลับมากมายที่เธอสามารถบอกให้เรารู้ได้และเขาก็รอที่จะฟังมันไม่ไหวแล้ว

 

 

 

 

ในตอนนี้เองภายในจู้ซิงมีเดีย หลงเจี่ยจัดการนัดพบลูกชายผู้จัดการสถานี ในจังหวะที่เธอกำลังจะเข้าไปแจ้งเวลานัดหมายกับถังหนิง เธอเห็นว่าโม่ถิงมาถึงในขณะที่เธอไม่รู้ตัวและถังหนิงกำลังใช้ตักของเขาต่างหมอน

 

 

“มีอะไรเหรอ”

 

 

“เจ้านาย คุณคิดกับเรื่องของโจวชิงยังไงคะ” หลงเจี่ยสงสัยถึงความคิดของโม่ถิง ยากที่จะรู้เท่าทันโจวชิง เขาไม่เหมือนอย่างคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ของพวกเขา

 

 

“โจวชิงเอาตัวซย่าหันโม่ไปเพื่อหวังจะรู้ความลับของจู้ซิงมีเดีย ต่อให้เขาไม่ได้อะไรไปจากเธอเลย อย่างน้อยเขาก็คว้าตัวเธอไปได้สำเร็จ”

 

 

“แต่ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าพอที่จะใช้เขาตอนนี้…”

 

 

“ใครว่าล่ะ” โม่ถิงเอ่ย “โจวชิงกลับไปทำงานกับเจ้านายคนเก่าได้ตลอดเวลา”

 

 

“ฉันไม่เข้าใจค่ะ”

 

 

“ซย่าหันโม่มาจากจู้ซิงมีเดียและเป็นประเด็นที่คนพูดถึงกันอยู่ แค่กระตุ้นนิดหน่อยกระแสตอบรับก็ฮือฮาแล้ว ตราบใดที่เขายังมีซย่าหันโม่อยู่และใช้เธอเป็นเครื่องมือจะไม่มีใครเหยียบย่ำเขาได้อีก” โม่ถิงอธิบาย “ถึงยังไงเขาเองก็มีเงินมาลงพนันในครั้งนี้…

 

 

“ในเวลาเดียวกัน เรื่องที่เจ้านายเก่าของเขายอมรับเขากลับเข้าทำงานก็แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมและรู้คุณคนของพวกเขา การช่วยเขาถือว่าเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย…”

 

 

“ว่าแต่เรื่องแขนของลูกชายผู้จัดการละคะ…”

 

 

“ถ้าไม่มีหลักฐานโจวชิงก็สร้างเรื่องขึ้นมาได้อยู่แล้ว” โม่ถิงตอบ “ถ้าเราต้องสู้กับโจวชิงจริงๆ นอกจากหาหลักฐานแล้ว เรามีแค่หนทางเดียวเท่านั้น”

 

 

“หือ” เป็นครั้งแรกที่ประธานโม่หารือกับหลงเจี่ยมากขนาดนี้

 

 

“ปล่อยให้ซย่าหันโม่รู้ความจริงแล้วตาสว่างเอง…”