บทที่ 273 คนอีกคน

ขณะเดียวกัน ที่เมืองทางทิศใต้ ณ สังเวียนผู้กล้า

กลุ่มคนจากยุทธภพรีบออกันเข้ามา พวกเขาได้ยินข่าวว่ามีฆ้องเงินคนหนึ่งฟันจอมยุทธ์ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงจนบาดเจ็บสาหัสได้ในดาบเดียว

คนจากยุทธภพล้วนสนใจเรื่องประเภทนี้เป็นพิเศษ และพวกเขาก็ยิ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ด้วย จึงต้องรีบพุ่งไปชมดูในทันที

แต่ว่าความขัดแย้งจบเสียแล้ว ฝูงชนแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง เหลือเพียงคนเกียจคร้านไม่มีอะไรทำที่ยังคงอยู่

คนจากยุทธภพพวกนี้สังเกตการณ์ดูอยู่ที่สังเวียนผู้กล้าตั้งครึ่งค่อนวัน พวกเขาล้วนแต่เชื่อในข่าวลือ

เหตุผลก็คือ สภาพของสังเวียนนั้นสมบูรณ์เกินไป

ด้วยพลังของยอดฝีมือระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงและหากทั้งสองฝ่ายมีฝีมือเท่าเทียมกัน เช่นนั้นความเสียหายที่สร้างไว้บนสังเวียนก็ต้องชัดเจนและมองเห็นได้ง่ายสิ อย่างน้อยสังเวียนแห่งนี้ก็ไม่มีทางอยู่ดีได้หรอก

“พวกเจ้าดูตรงนี้ แล้วก็ด้านข้างด้วย…รูเล็กๆ เหล่านี้คืออะไร?” จอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งกล่าว

“ดูเหมือนจะเป็นปราณกระบี่ ทั้งคมกริบและเล็กมาก ไม่เคยได้ยินว่ามีวิชากระบี่เช่นนี้มาก่อนเลย”

ผู้พูดคือหญิงงามผู้มีเสน่ห์นุ่มนวลคนหนึ่ง นางมีดวงตารูปผลซิ่งที่สดใสราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากถูกทาด้วยสีแดงสดงดงาม นางแต่งหน้าค่อนข้างหนา แต่กลับไม่ดูธรรมดาสามัญ เสริมความงามอันน่าหลงใหลของนางเป็นอย่างดี

จอมยุทธ์หนุ่มผู้เอ่ยถามพยักหน้า หากมันเกิดจากพลังปราณ เช่นนั้นก็ต้องเป็นรอยแตกขนาดใหญ่แล้ว

หญิงงามเปี่ยมเสน่ห์หันหน้าไปมองจอมยุทธ์หนุ่มอีกคนแล้วเอ่ยพร้อมยิ้มพราย “คุณชายหลิ่วว่าอย่างไรบ้างล่ะ”

คุณชายหลิ่วมีผิวที่ดีอย่างยิ่ง พร้อมกับคิ้วกระบี่และนัยน์ตาสุกสกาวราวกับดวงดาว ด้านหลังสะพายกระบี่เจ็ดดาราเอาไว้เล่มหนึ่ง

ในเมืองหลวงขณะนี้ ผู้ที่สามารถพกอาวุธติดตัวได้ล้วนเป็นบุคคลที่มีเบื้องหลังทั้งนั้น

คุณชายหลิ่วผู้นี้มาจากเจี้ยนโจว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิชายุทธ์ของต้าฟ่ง ซึ่งคนท้องที่เรียกว่าสำนัก ‘โม่เก๋อ’ ในบรรดาคนจากยุทธภพทั้งหลาย พลังฝึกตนของคุณชายหลิ่วสูงที่สุด เขาเป็นหัวใจหลักของกลุ่ม

และที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นผู้ใช้กระบี่

“ไม่จำเป็นต้องเป็นปราณกระบี่ รูเหล่านี้กระจัดกระจายไม่เท่ากัน ราวกับหมึกที่สาดกระเซ็น เหมือนเกิดขึ้นจากการที่ปราณกระบี่และปราณดาบปะทะกันแล้วแผ่กระจายไปทั่วทิศทาง”

หลังจากคุณชายหลิ่วเอ่ยจบ เขาก็กวักมือเรียกคนเกียจคร้านแถวนั้นคนหนึ่ง จากนั้นก็โยนเงินให้หนึ่งก้อนแล้วถามว่า “ได้ยินว่าเมื่อครู่มีฆ้องเงินคนหนึ่งที่เพียงใช้ดาบเดียวก็ฟันจนคู่ต่อสู้บาดเจ็บได้อย่างนั้นหรือ”

คนเกียจคร้านหักบิดก้อนเงิน หว่างคิ้วเผยความประจบประแจงและดีใจออกมา เขาพยักหน้าและโค้งตัว “จอมยุทธ์ทั้งหลายคงไม่ได้เห็น ดาบเล่มนั้นน่าทึ่งเหลือเกิน…รูบนพื้นเหล่านี้เกิดจากที่ใต้เท้าผู้นั้นชักดาบออกมาขอรับ เหมือนกับหยาดฝนที่ร่วงหล่นลงมาอย่างนั้นเลย”

เขาเล่าสิ่งที่ตนได้เห็นออกมาอย่างเป็นวรรคเป็นเวร

“เกิดขึ้นหลังจากปราณดาบเข้าปะทะแล้วค่อยแผ่ออกไป…ฝ่ายที่สู้ด้วยเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงจริงๆ” หญิงงามพยักหน้า

มีเพียงกระดูกเหล็กผิวทองแดงเท่านั้นที่มีร่างกายเช่นนี้ ร่างกายที่มีเลือดมีเนื้อของผู้อยู่ต่ำกว่าระดับหกคงถูกปราณดาบฟันเป็นสองท่อนไปแล้ว

“เท่าที่ข้ารู้ ฆ้องเงินจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะอยู่ในระดับหลอมวิญญาณเป็นหลัก น้อยนักที่จะเป็นระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง” จอมยุทธ์หญิงอีกคนกล่าว

จอมยุทธ์หญิงผู้นี้คือคนที่มาจากสิบสามอำเภอของเมืองหลวง พอจะนับได้ว่าเป็นคนท้องที่ครึ่งหนึ่ง จึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอันเลื่องลือของเมืองหลวงอยู่บ้าง

“นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ยอดฝีมือจากทางการเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์จากยุทธภพใช่หรือไม่ ใคร่เห็นกระบวนท่าของดาบเดียวนั้นเสียจริง” หญิงงามเปี่ยมเสน่ห์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ตอนนี้เอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า ชายหนุ่มผู้สวมชุดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนหนึ่งควบม้าพันธุ์ดีพุ่งเข้ามา

จอมยุทธ์หนุ่มสาวจากยุทธภพมองอยู่พักหนึ่งก็ถอนสายตากลับมา เดาว่าคงเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มาตรวจตราสถานที่

แต่การกระทำของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหนุ่มผู้นั้นกลับทำให้จอมยุทธ์จากยุทธภพทั้งหลายทั้งตื่นตกใจและโกรธเกรี้ยว

‘ชิ้ง!’

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้นั้นชักดาบออกมาแล้วควบม้าพุ่งมาทางพวกเขา

สีหน้าของคุณชายหลิ่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายืนบังอยู่หน้าสหายของตนแล้วตบที่ด้านหลัง กระบี่เจ็ดดาราก็หลุดออกมาจากฝักแล้วพุ่งไปปะทะกับดาบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนนั้น

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหนุ่มฟันเบาๆ กระบี่เจ็ดดาราก็หักเป็นสองท่อน แล้วตกลงกับพื้นอย่างไร้กำลัง จนเกิดเสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้นมา

“เจ้า…”

คุณชายหลิ่วทั้งตกใจและโกรธเคือง อาวุธเวทมนตร์ที่สำนักมอบให้ถูกทำลายไปเช่นนี้ เขาเจ็บปวดเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก

สวี่ชีอันดึงบังเหียนม้าแล้วชี้ดาบไปยังสตรีผู้งามล้ำ ก่อนแสยะยิ้ม “เจ้ายังกล้ากลับมาด้วยหรือแม่นางหรงหรง ขโมยสมบัติของข้าไปกลับไม่ซ่อนตัวให้ดี ยังกล้าลอยหน้าลอยตากลับมาอีก ดูท่าจะไม่เคยโดนพิษสังคมสินะ ข้าจะให้ตัวเลือกสองอย่างกับเจ้า หนึ่ง เอาสมบัติคืนมาแล้วเป็นอนุของข้า หรือสอง เอาสมบัติคืนมา แล้วข้าจะขายเจ้าให้สำนักสังคีต”

ขโมยสมบัติของเขา?!

จอมยุทธ์ชายหญิงหันหน้าไปมองหญิงงามหยดย้อยอย่างงุนงง

แม่นางหรงหรงฉายาหัตถ์รื่นรมย์ยังคงใบหน้ายิ้มพรายอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้าให้สหายตนราวกับไม่รู้เรื่อง

คุณชายหลิ่วบังคับไม่ให้ตนมองดาบแสนรักของตัวเองแล้วกุมหมัดกล่าว “ใต้เท้าท่านนี้ ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่”

“ไสหัวไป!”

สวี่ชีอันมองพินิจดูแม่นางหรงหรง ทั้งทรงผม การแต่งกาย การแต่งหน้าล้วนแต่เป็นแบบเดียวกัน เป็นนางถูกแล้ว

“ความอดทนของข้ามีจำกัด ข้าจะให้เวลาเจ้าสามอึดใจ หากไม่มอบสมบัติของข้ามาละก็…” เขาหัวเราะหึๆ สามครั้ง

เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มโกรธจัด

แม่นางหรงหรงก้าวไปข้างหน้า รับคมดาบของสวี่ชีอันอย่างไม่เกรงกลัวแล้วเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า

“ข้าน้อยไม่ได้รู้จักกับใต้เท้ามาก่อน ยิ่งไม่รู้ว่าสมบัติที่ว่านั่นคืออะไร ขอให้ใต้เท้ากล่าวให้ชัดเจนด้วย”

สวี่ชีอันนั่งอยู่บนหลังม้าแล้วมองลงมาที่นาง ก่อนเอ่ยเนิบๆ “เมื่อครู่นี้ เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ เจ้าเจอกับข้าที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดื่มกินพูดคุยเสียสนุกสนาน แต่ต่อมาก็อาศัยตอนที่ข้าลงไปต่อสู้ขโมยสมบัติของข้าโดยที่ไม่มีใครรู้เห็น”

เมื่อเอ่ยจบ แม่นางหรงหรงยังไม่ทันได้ตอบกลับ คุณชายหลิ่วก็เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเสียก่อน “ไม่มีเรื่องเช่นนี้แน่นอน แม่นางหรงหรงอยู่กับข้าตลอด ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน”

จอมยุทธ์ที่เหลือพากันเป็นพยาน

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว คิดว่าตนเจอกับกลุ่มนักต้มตุ๋นเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?

แต่ดูจากน้ำเสียงและท่าทางแล้วเหมือนจะไม่ได้โกหก สวี่ชีอันผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการแสดงสีหน้าในชั่วพริบตายังพอจะมองออก

เว้นแต่พวกเขาจะเป็นนักแสดงระดับแนวหน้า…น่าเสียดายที่หนังสือเวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊ออยู่ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ไม่อย่างนั้นก็ใช้วิชามองปราณดูได้แล้วว่าพวกเขาพูดโกหกหรือไม่…สวี่ชีอันครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วกล่าว

“เจ้าตามข้ากลับไปที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล พูดโกหกหรือไม่ เดี๋ยวข้าจะตัดสินเอง”

‘จะเป็นไปได้อย่างไร!’

ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์หญิงทั้งหลายเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกนางเริ่มสงสัยในจุดประสงค์ที่แท้จริงของสวี่ชีอันแล้ว ในฐานะที่เป็นคนจากยุทธภพที่มีสำนักอยู่เบื้องหลัง พวกเขาย่อมมีประสบการณ์ได้เห็นได้ฟังมามากมาย และพอจะรู้ว่าเมื่อกล่าวถึงเส้นทางแห่งยุทธภพ พวกยอดฝีมือที่มีเบื้องหลังเป็นราชสำนักนั้นร้ายกาจและอันตรายเสียยิ่งกว่า

พวกเขาจะอาศัยอำนาจของตนมาทำเรื่องรังแกบุรุษข่มเหงสตรีได้อย่างง่ายดาย

แม่นางหรงหรงฉายาหัตถ์รื่นรมย์เป็นที่รู้จักในเมืองหลวงว่ามีใบหน้างดงาม ใครจะรู้ว่าฆ้องเงินหนุ่มผู้นี้โลภในความงามหรือไม่ จึงจงใจใช้เหตุผลว่าสมบัติของตนหายแล้วตั้งใจพาไปที่ที่ทำการ

พอเข้าไปในอาณาเขตของผู้นั้น จะตายหรือรอดก็รอดขึ้นอยู่กับคำพูดเดียว

“ท่านคิดว่าพวกเราเป็นปลาบนเขียงอย่างนั้นหรือ” คุณชายหลิ่วหรี่ตาแล้วยิ้มหยัน

จอมยุทธ์คนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่พากันจับดาบและกระบี่ของตนเอาไว้พร้อมกัน

แม้ว่าชาวยุทธภพจะเกรงกลัวราชสำนัก แต่ก็มีอุปนิสัยระแวดระวังเช่นกัน เมื่อเจอเรื่องด่วนเข้าจริงๆ แม้ว่าจะเป็นคนจากราชสำนัก พวกเขาก็กล้าสู้เป็นสู้ตาย อย่างมากก็แค่ถูกตามจับ แต่ก็ยังสามารถหนีเข้ายุทธภพได้

ไม่เช่นนั้นจะมีคำกล่าวว่า ‘นักบู๊ใช้วิชายุทธ์บ่อนทำลายความสงบ’ ได้อย่างไร

ตอนนี้เอง คนเกียจคร้านที่หลบอยู่ข้างๆ เพราะเห็นแก่เงินทางก็เอ่ยเตือนอย่างระมัดระวังว่า “เขาก็คือฆ้องเงินที่ทำร้ายคู่ต่อสู้บาดเจ็บด้วยดาบเดียวบนสังเวียนอย่างไรเล่า”

จอมยุทธ์หนุ่มสาวร่างกายแข็งขืน แล้วหันกลับไปมองคนเกียจคร้านผู้นั้นด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

จากนั้นก็บังคับคอที่แข็งทื่อของตนค่อยๆ หันกลับมามองสวี่ชีอัน

บรรยากาศตึงเครียดสลายหายไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่มีความคิดแบบปลาตายตาข่ายก็ขาดอีกต่อไปแล้ว

แม่นางหรงหรงสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยอย่างขมขื่น “ใต้เท้าท่านนี้ ในเมื่อข้าแอบขโมยสมบัติของท่านไป เช่นนั้นข้าก็จะตามท่านกลับไปที่ที่ทำการ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลยเจ้าค่ะ”

“ไม่ได้!”

เหล่าสหายร้อนใจมาก

แม่นางหรงหรงยิ้มขมขื่น แล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่พวกเจ้าควรทำก็คือรีบส่งข่าวไปบอกผู้อาวุโสที่สำนักให้หาวิธีช่วยข้าออกมา”

คุณชายหลิ่วสีหน้าเครียดเขม็ง เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น

หากเจ้าขโมยสมบัติข้าไปจริงๆ ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้มาก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก…สวี่ชีอันเห็นนางพูดจบก็ตบที่หลังม้าเอ่ยว่า “ขึ้นมา!”

แม่นางหรงหรงลังเลแล้วกัดริมฝีปากสีแดงสดของตน ก่อนขึ้นไปอยู่หลังม้า

สวี่ชีอันอาศัยโอกาสนี้กอดเอวนาง ได้ยินเพียงเสียงอุทานอันอ่อนหวานของคนงามเท่านั้น แล้วก็ทรุดตัวลงในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนยวบ

“ย่ะ!”

สวี่ชีอันดึงบังเหียนม้าแล้วหันหัวม้าจากไปไกล ทิ้งพวกจอมยุทธ์ผู้กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดเอาไว้เท่านั้น

แม่นางหรงหรงเอนซบอกแกร่งกว้างและหนาแน่น ภาพสองข้างทางผ่านไปอย่างรวดเร็ว นางกัดฟันเอ่ยเสียงแผ่ว “ใต้เท้าคิดจะจัดการข้าอย่างไรหรือ”

“ตามกฎหมายของต้าฟ่ง ผู้ที่ขโมยทรัพย์ให้ปรับห้าสิบตำลึง และชำระคืนให้เจ้าของเต็มจำนวน หากไม่มีกำลังใช้คืน ให้ตัดนิ้วเท้า ข้าอยู่ตำแหน่งจื่อ แถมยังถูกขโมยสมบัติไปอีก โทษผิดถึงระดับสาม ให้ปรับหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ตัดนิ้วเท้า แล้วคุมขังสามปี”

แม่นางหรงหรงสีหน้าซีดเซียว “โทษขโมยทรัพย์ในเมืองหลวง…เป็นเช่นนี้หรือ”

นี่ไม่เหมือนกับที่ข้ารู้มาก่อนเลย

“ไม่ใช่ เมื่อกี้ข้าโกหกเจ้า”

“…”

สวี่ชีอันรู้สึกว่าหญิงงามในอ้อมแขนคล้ายจะโล่งใจ เขาก็ยิ้มหยันว่า “แต่เมื่อเข้าไปในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว จะลงโทษอย่างไรล้วนแต่ขึ้นอยู่กับคำพูดประโยคเดียวของข้า”

หญิงงามร่างกายเกร็งขึ้นมาทันที นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้า ข้าไม่ได้ขโมยสมบัติของท่านจริงๆ นะ”

ข้าจะคิดดอกเบี้ยเจ้า…สวี่ชีอันยกมุมปากขึ้นแล้วเอ่ย “หัตถ์รื่นรมย์มีความพิเศษที่ใด”

แม่นางหรงหรงไม่ตอบ

สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ อย่างน่าเกรงขาม

แม่นางหรงหรงกัดฟัน “ท่านโลภในความงามของข้าจริงด้วย”

“?”

สวี่ชีอันเพียงแค่อยากรู้ว่านางขโมยชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของเขาไปได้อย่างไรโดยที่ตนไม่รู้ตัว

“แม้แม่นางหรงหรงจะงดงามโดยธรรมชาติ แต่อย่าได้ดูแคลนบุรุษไป เมื่อพูดถึงความงาม ในบ้านของข้ามีอยู่สองคนที่งามเสียยิ่งกว่าเจ้า”

สวี่ชีอันพูดพลางยื่นมือคลำไปทั่วตัวนาง

แม่นางหรงหรงหน้าแดงเถือก น้ำตาคลอเบ้า นางคล้ายจะรู้แล้วว่าต่อไปตนต้องเจอกับชะตากรรมอะไร เพียงแต่หวังว่าสหายของตนจะเชิญผู้อาวุโสมาช่วยให้นางหลุดพ้นจากทะเลแห่งทุกข์ได้ทัน

เอ๋ ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของข้าไม่อยู่กับนาง…

สมแล้วที่แม่ม้าน้อยเป็นม้าศึกพันธุ์ดี มันแบกคนสองคนแต่ความเร็วกลับไม่ลดลงเลย ทั้งยังวิ่งไปถึงที่ทำการปกครองแล้ว

สวี่ชีอันมอบสายบังเหียนให้กับทหารคุ้มกันประตู แล้วลากแม่นางหรงหรงเข้าไปในที่ทำการปกครอง เมื่อมาถึงทางเข้าห้องโถงของฆ้องเงินหมิ่นซาน เขาก็เอ่ยสั่งเจ้าพนักงานให้มัดนางไว้

“ไปเชิญโหรชุดขาวจากสำนักโหราจารย์มา บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า”

“ขอรับ!”

หลังจากฆ้องทองแดงออกไปแล้ว ฆ้องเงินหมิ่นก็ลุกขึ้นแล้วมาเดินอ้อมรอบตัวหรงหรงพลางเอ่ยอย่างประหลาดใจ “คนงามจากไหนกันล่ะเนี่ย ดูเรือนร่างนั่นสิ ดูใบหน้านั่นสิ จิ๊ๆ…”

“ขายให้สำนักสังคีต ฝึกอีกสักปีกว่าๆ ก็กลายเป็นนางคณิกาได้แล้ว” สวี่ชีอันเอ่ยวิจารณ์

“คณิกาไม่ได้อาศัยแค่หน้าตานะ” หมิ่นซานส่ายหน้า “พรสวรรค์คืออันดับหนึ่ง รองลงมาคือความงาม”

“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ให้อยู่มอบความสำราญแก่พี่น้องเราที่ที่ทำการปกครองก็ได้”

แม่นางหรงหรงแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่ใบหน้ากลับซีดเผือด

หลังจากเอ่ยเหน็บแนมอยู่ไม่กี่คำ สวี่ชีอันก็อธิบายสถานการณ์ “ผู้หญิงคนนี้ขโมยสมบัติของข้าไป สมแล้วที่เป็นหัตถ์รื่นรมย์ เทพไม่รู้ผีไม่เห็น ข้าถึงขั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”

“นางคือหัตถ์รื่นรมย์หรือ!”

หมิ่นซานสับสนงุนงง พลันสงสัยขึ้นมาทันใด “หัตถ์รื่นรมย์เกี่ยวกับเรื่องขโมยของอย่างไร”

“หืม?” สวี่ชีอันนิ่งไป

“คนจากยุทธภพที่เข้ามาในเมืองหลวงทุกคนล้วนมีเงินทอง หัตถ์รื่นรมย์หรงหรงนั้นมาจากหอหมื่นบุปผาที่เมืองชิงไห่แห่งอวี้โจว ที่นั่นคือสำนักสตรีมีชื่อเสียงในเรื่องความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เป็นหายนะสำหรับบุรุษ แต่ความจริงแล้วมันเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนของพวกนาง”

“ดูดพลัง?” สวี่ชีอันถาม

“ไม่ใช่ ว่ากันว่ามันสามารถดึงดูดความปรารถนาของผู้คนได้ และทำให้ศัตรูสูญเสียเจตนาในการต่อสู้ เคล็ดวิชาที่ฝึกตนเหมือนจะชื่อว่า…” หมิ่นซานจำได้ไม่แม่นนัก

“วิชาหกปรารถนา” แม่นางหรงหรงเชิดหน้าขึ้น

“แล้วเจ้าขโมยสมบัติข้าไปได้อย่างไร”

“ข้าไม่ได้ขโมยสมบัติของเจ้า”

ไม่นานหลังจากนั้น ฆ้องทองแดงก็พาโหรชุดขาวกลับมา

สวี่ชีอันชี้ไปที่หัตถ์รื่นรมย์หรงหรง “ถามนางว่า ได้ขโมยของของข้าไปหรือไม่”

นัยน์ตาของโหรชุดขาวสว่างวาบ หลังจากเอ่ยถามตามคำสั่งก็ส่ายหน้า “คุณชายสวี่ นางไม่ได้โกหก”

สวี่ชีอันตะลึง

“ค้นตัวนาง มีวิชาปกปิดกลิ่นอายหรือไม่”

“คุณชายสวี่ ไม่มีขอรับ”

“ถามนางว่าได้ไปดื่มสุรากับข้าที่ร้านอาหารหรือไม่”

“คุณชายสวี่ ไม่ได้ไปขอรับ”

สวี่ชีอันลอบกล่าวว่า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ข้าเห็นผีหรือ

หลังจากโมโหอยู่ เขาก็นิ่งคิดวิเคราะห์ ผู้ที่ขโมยของของข้าไปต้องเป็นหรงหรงอย่างแน่นอน ไม่ใช่ป้าคนนั้น…ปัญหาใหญ่ที่สุดของคดีนี้คือมีหรงหรงสองคน

หรงหรงคนตรงหน้าไม่เคยเจอหน้าข้า แต่ข้าเคยเจอกับหรงหรงจริงๆ

ทั้งทรงผม การแต่งกาย ใบหน้าทุกอย่างล้วนเหมือนกัน แม้แต่แววตาและการสนทนาก็ล้วนเหมือนจริง…ฝาแฝด? เป็นไปไม่ได้ที่ฝาแฝดจะเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วได้

เปลี่ยนรูปลักษณ์? หากเปลี่ยนรูปลักษณ์ ก็ไม่มีทางหลุดพ้นสายตาข้าได้

ขณะตกอยู่ในความสับสน จู่ๆ แม่นางหรงหรงก็พูดขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้วว่าเป็นใคร”

………………………………………………