ตอนที่ 212 ประชุมใหญ่ราชวงศ์ (I

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 212 ประชุมใหญ่ราชวงศ์ (I)

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่แปด พายุหิมะตกหนัก !

แท้จริงในฐานะฉาวซ่านต้าฟู การประชุมใหญ่ราชวงศ์นี้มิได้เกี่ยวข้องกับเขาแต่ประการใด แต่เมื่อคืนฮ่องเต้ทรงให้ขันทีเจี่ยเจาะจงรายชื่อเขาเข้าร่วมการประชุมด้วย

จะให้เขาหลีกเลี่ยงเยี่ยงไรเล่า ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงตื่นแต่เช้าตรู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและขึ้นรถม้าเดินทางไปยังพระราชวัง โดยมีซูซูติดตามไปด้วย

หลังจากการปะทะกัน ณ จวนฮุ่ยชินอ๋องเมื่อคืนที่ผ่านมา หยูเวิ่นหวินได้พำนักต่อ จากนั้นต่งชูหลานเองก็เดินทางมาที่จวนฟู่ด้วยเช่นกัน

เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนเสี่ยงอันตรายนี้ สตรีทั้งสองได้ตำหนิเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเมื่อหยูเวิ่นหวินเอ่ยถามถึงเรื่องเยี่ยนเสี่ยวโหลวว่าเป็นมาอย่างไร ต่งชูหลานจึงได้เล่าความออกไปอย่างมิเต็มใจนัก

ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายให้ฟังว่า เดิมทีเขาคิดว่าตระกูลเยี่ยนเป็นศัตรู แต่บัดนี้ความจริงเพิ่งได้ปรากฏให้เขาเห็นว่า ตระกูลเยี่ยนแท้จริงคือหมากตัวหนึ่งของฝ่าบาท เขาจึงมิมีความจำเป็นต้องข่มขู่ตระกูลเยี่ยนอีกต่อไป อีกทั้งมิมีความจำเป็นที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวอีก

เพียงแค่สตรีสองนางนี้ เขายังมิได้จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย เขาจะเอาแรงที่ไหนไปคิดเรื่องอื่นได้เล่า ?

การประชุมใหญ่ของราชวงศ์จะเริ่มขึ้นในเวลาหกโมงเช้า ฟู่เสี่ยวกวนหงุดหงิดยิ่งนัก ฤดูหนาวเช่นนี้ท้องฟ้ายังมิสว่างดีเสียด้วยซ้ำ

รถม้าดำเนินไปบนท้องถนนอันเงียบเหงา เสียงล้อไม้กระทบกับหิมะฟังไปคล้ายเสียงเพลงกล่อมนอน ซูซูส่ายหัวไปมาด้วยความง่วงงุน

“ยืมบ่าเจ้าหน่อย” ซูซูพึมพำออกมา จากนั้นพิงไปที่บ่าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วหลับไป มองดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก แม่นางคงมิเคยตื่นแต่เช้าเช่นนี้

เมื่อคืนซูซูใช้ฉินสังหารชาวยุทธไปถึง 23 คน หลังจากกลับถึงจวนก็นอนต่อจนกระทั่งเช้า ซูเจวี๋ยกล่าวว่าสิ่งที่ซูซูฝึกนั้นทำร้ายสภาพจิตยิ่ง เนื่องจากต้องใช้พลังในการฆ่าคน

วิธีการเช่นนี้สามารถฆ่าศัตรูได้ดีเยี่ยม แต่ขณะเดียวกันก็ทำร้ายสภาพร่างกายและจิตใจมากเช่นกัน เมื่อคืนนี้ถือเป็นขีดจำกัดของซูซูแล้ว หากมีศัตรูมากกว่านี้อีก ซูซูอาจจะถูกทำร้ายจนถึงภายใน เช่นนั้นคงมิดีแน่

เมื่อคืนมีชาวยุทธ 2 คนวิ่งหนีไป คนหนึ่งถูกซูเจวี๋ยจับตัวได้ บัดนี้ถูกขังอยู่ในจวน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นสตรีมีทักษะการต่อสู้ที่ดี สุดท้ายแล้วนางจึงหลบหนีไปได้

ชายที่จับได้นั้นเป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้นชาวยุทธจึงได้ช่วยเขาอย่างไม่คิดชีวิต เกรงว่าจะไม่ธรรมดา

แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เข้าไปสอบสวนทันที กลับให้เขากินอย่างดีและเลี้ยงเอาไว้ก่อน

บัดนี้เขามองไปยังซูซู ลำบากแม่นางนี่มิน้อยเลย นางแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ใบหน้าอันกลมของนางดูคล้ายกับมีความสุขยิ่งนัก อีกทั้งยังกลืนน้ำลายลงไปด้วย มองดูแล้วคงจะกำลังฝันว่าได้กินอาหารเลิศรสอยู่เป็นแน่

เจ้าจอมตะกละ !

รอให้เขาจัดการเรื่องราวของฮุ่ยชินอ๋องเรียบร้อยเสียก่อน หากร้านอู่เว่ยจายของเจียงหยูเปิดขายตามปกติเมื่อใด เขาจะซื้อขนมให้นางกินจนหนำใจทีเดียว

เขายื่นมือออกไปลูบหัวนางเบา ๆ ในครานี้นางมิได้หลบอีกทั้งยังส่งเสียงคล้ายกับมีความสุขออกมา “อืม…”

รถม้ามาถึงทางเข้าประตูพระราชวัง ฟู่เสี่ยวกวนปลุกซูซูให้ตื่น จากนั้นลงรถแล้วเดินเข้าไป ด้านหน้าท้องพระโรงเฉิงเทียนมีผู้คนยืนรออยู่มากมาย

หิมะตกหนักถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทมิใจดำไปหน่อยรึ อย่างน้อยควรจะสร้างศาลาไว้ก็ยังดี

ขุนนางเหล่านั้นพูดคุยทักทายกัน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย เขาเพียงยืนมองอยู่ไกล ๆ อย่างสงบเงียบ บัดนี้เขาคล้ายกับพระเจ้าที่ยืนมองดูเหล่าฝูงชน

หนิงหยู่ชุนเดินถือร่มมาทางเขา พิจารณาแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?”

“ข้ากำลังคิดว่า…เหตุใดข้าจึงมินำร่มมาด้วย ?”

หนิงหยู่ชุนจ้องเขาตาเขม็ง จากนั้นเก็บร่มลง “เรื่องเมื่อวานตอนเที่ยง ข้าคิดมิตกจริง ๆ ”

“ท่านหนิง หากคิดมากไปจะทำให้เสียสุขภาพจิตได้”

“หลังจากกลับไปยังจวนผู้ว่าเขต ข้าได้ใช้หนังสือจากเสนาบดีสีเดินทางเข้าไปในจวนฮุ่ยชินอ๋อง ครอบครัวของเขาล้วนอยู่ด้านใน ปัญหาของข้าคือ เหตุใดชาวยุทธเหล่านั้นจึงมิจับกุมตัวครอบครัวของฮุ่ยชินอ๋อง ? หรือเพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่ช่วยครอบครัวของฮุ่ยชินอ๋องกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือซุกเข้าไปในแขนเสื้อ ขาข้างหนึ่งของเขาขยี้ไปบนพื้นหิมะ ผ่านไปชั่วครู่จึงได้เอ่ยว่า “ชาวยุทธมิได้มีสิ่งใดโกรธแค้นกับครอบครัวของเขา เหตุใดต้องจับตัวกัน ? ส่วนเรื่องเหตุใดพวกเขามิช่วยเหลือนั้น เนื่องจากมิจำเป็นต้องช่วย ฮุ่ยชินอ๋องรู้ว่าตนมิตายแน่ ดังนั้นครอบครัวของเขาก็มิได้มีความจำเป็นต้องหลบหนี”

“ที่จริงข้าก็มิได้คิดมาก่อนว่าครอบครัวของเขาจะหลบหนีไป ส่วนข้าต้องการต่อสู้กับชาวยุทธเหล่านั้น เหตุใดชาวยุทธจึงได้ออกมาจากจวนฮุ่ยชินอ๋อง…เมื่อวานพวกท่านล้วนเป็นพยานได้ ฮุ่ยชินอ๋องเป็นพวกเดียวกับชาวยุทธ เขาจะหลบหนีเพื่อสิ่งใด ?”

หิมะบนพื้นถูกเขาขยี้จนละลายเป็นน้ำ เขาเดินไปอีกสองก้าวจากนั้นกล่าวว่า “ท่านหนิง หากตรวจสอบแล้วพบว่าชาวยุทธเหล่านี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับองค์ชาย…ท่านว่า ฮุ่ยชินอ๋องนับว่าตั้งใจก่อกบฏหรือไม่ ? ”

หนิงหยู่ชุนตกตะลึง เขากระแอมออกมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้เอ่ยไปโดยมิมีหลักฐาน ! ”

“ชาวยุทธเหล่านั้นถูกกุมตัวอยู่ที่เรือนจำใต้ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นถาม

“เรือนจำเหนือกุมตัวข้าราชการจำนวนมากไว้ มีเพียงเรือนจำใต้ที่พอมีที่ว่าง”

“หากจะนำตัวพวกเขามาสอบสวนต้องทำเช่นไร ? ”

“หากเจ้าหมายถึงชาวยุทธเมื่อวาน ต้องใช้ตราประทับของข้า หนังสือจากเสนาบดีสี หนังสือจากศาลต้าหลี่ ล้วนใช้ได้ทั้งนั้น เนื่องจากพวกเขามิได้มีความสำคัญใด หากเป็นพวกข้าราชการจะต้องใช้หนังสืออย่างเป็นทางการจากศาลต้าหลี่”

“อ้อ…”ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด ทำให้หนิงหยู่ชุนรู้สึกประหลาดใจ

เขามองความคิดชายหนุ่มผู้นี้มิออกอย่างแท้จริง เมื่อครั้งที่เขาเจรจากับฉินโม่เหวิน ฉินโม่เหวินก็กล่าวว่าชายผู้นี้มิธรรมดา ฝากให้เขาดูแลอย่างดีครั้นเมื่ออยู่เมืองหลวง

ในวันนี้มองดูแล้วช่างไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง เขากล้าหาญถึงขั้นจัดการฮุ่ยชินอ๋อง อีกทั้งใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ มาจัดการฮุ่ยชินอ๋องจนพ่ายแพ้ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 2 วัน !

บัดนี้หนิงหยู่ชุนและสีฉวินเหมยยังมิเข้าใจว่า เหตุใดจึงได้มีชาวยุทธออกมาจากจวนฮุ่ยชินอ๋องเช่นนั้น แต่ดูจากที่เขาจัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ คาดว่าเขาคงรู้ล่วงหน้าแล้ว แต่เขารู้ได้อย่างไรกัน ?

หนิงหยู่ชุนมิได้เอ่ยถามต่อไป เพราะเสนาบดีสีได้เอ่ยถึงพระสนมซั่งขึ้นมา

ทั้งสองมิได้เอ่ยอันใดอีก มีขุนนางบางคนเดินผ่านพวกเขาไป มองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วยิ้มอย่างประหม่าจากนั้นรีบเดินจากไป มิมีผู้ใดกล้าทักทายฟู่เสี่ยวกวน

ให้ตายสิ ! ทำเหมือนกับเขาเป็นปิศาจที่น่ากลัวไปได้ !

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา หนิงหยู่ชุนเข้าใจดี เนื่องจากชายหนุ่มผู้นี้มีวิธีการที่น่ากลัว บัดนี้เรื่องราวของเขาและฮุ่ยชินอ๋องยังมิจบลง ขุนนางเหล่านี้หวาดกลัวเขาก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

แต่หากว่าฮุ่ยชินอ๋องยังอยู่บนโลกใบนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็มิอาจได้ชัยชนะมา

เมื่อได้ยินเสียงฆ้อง ประตูท้องพระโรงก็เปิดออกอย่างช้า ๆ หนิงหยู่ชุนมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วนึกในใจว่า หากเขาถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวจะส่งผลต่อจิตใจเขาหรือไม่

“ไปกันเถิด การประชุมจะเริ่มขึ้นแล้ว”

“อืม”

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เดินออกไป เนื่องจากเขาหันไปเห็นสวี่หวยซู่ ชื่อหลางของกรมพิธีการเดินมาทางเขา

“ท่านพ่อได้ข่าวว่าเจ้าเดินทางมาเมืองหลวง”

“เมื่อตอนปีใหม่เจ้ามิได้เดินทางมายังจวนสวี่ มองดูแล้วเจ้ายังคงมีความโกรธแค้นในใจ”

“เรื่องของแม่เจ้าได้ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว บัดนี้ท่านพ่อก็แก่ชราลง หากเจ้ายินยอมละก็ สามารถไปเยี่ยมเยียนท่านได้”

“ส่วนเรื่องของเจ้าสองวันมานี้…ข้ามิอาจช่วยเหลือเจ้าได้ หากเจ้าอยากมีชีวิตอย่างสงบที่เมืองหลวง ก็จงวางตัวให้ดี”

“ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้าและต่งชูหลาน ข้าเองก็เอ่ยให้ท่านพ่อฟังเช่นกัน เขามิได้เอ่ยอันใดออกมา แต่เขาได้แสดงหน้ามีความสุขออกมา อีกทั้งในวันนั้นเขากินข้าวได้หนึ่งชามในมื้อกลางวัน”

“ไปเถิด การประชุมจะเริ่มขึ้นแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขามิได้เอ่ยอันใดออกมาสักคำ เพียงมองตามหลังสวี่หวยซู่ไป จากนั้นก้มมองดูน้ำที่พื้น มือทั้งสองข้างยังคงอยู่ในแขนเสื้อ เขาเดินไปทางพระราชวังอย่างช้า ๆ คล้ายกับคนชรา

ภายในท้องพระโรงอันแสนอบอุ่น อุณหภูมิสูงกว่าด้านนอกมากนัก ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เบียดเข้าไปด้านใน แต่กลับยืนอยู่ในแถวสุดท้ายจนเกือบถึงประตู จึงทำให้รู้สึกหนาวเย็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เท้า

เนื่องจากเขาเข้ามาท้าย ๆ นอกเสียจากผู้คนที่อยู่แถวเดียวกับเขา คนอื่น ๆ จึงมิได้สังเกตเห็นเขา แต่บรรดาคนที่เห็นเขาไม่กี่คนนั้น ก็พยายามหนีห่างออกไป ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนดูเป็นแกะดำในแถว

เขายืนอยู่ตรงกลางเพียงคนเดียว อีกสองข้างได้อยู่ห่างจากเขาไปประมาณ 2 เมตร

ให้ตายสิ ! นี่ข้ากลายเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยวงั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจเท่าไรนัก เขาจึงมิได้เอ่ยทักทายขุนนางเหล่านั้นเช่นกัน อีกทั้งยังรู้สึกพอใจกับปรากฏการเช่นนี้เป็นอย่างมาก

นี่หมายความว่าเยี่ยงไรรึ ?

นี่หมายความว่าคนเหล่านี้เกรงกลัวเขา !

ฟู่เสี่ยวกวนเดามิผิด เมื่อปีก่อนเขาได้ต่อปากต่อคำกับเสนาบดีชือเสียจนท่านเสนาบดีกระอักเลือดเป็นลมไป อีกทั้งไม่กี่วันก่อนเขาได้ทำให้ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดเช่นกัน !

ได้ยินมาว่าเดิมทีเมื่อวานไทเฮาจะสอบสวนเขาด้วยตนเอง แต่ฮุ่ยชินอ๋องได้เป็นลมไปเสียก่อนจึงได้ถูกส่งไปตัวไปให้หมอหลวง ปากของเขานั้นช่างร้ายกาจนัก !

อีกทั้งเรื่องการปะทะกันที่ถนนสายยาว มีคนกล่าวว่าเขามีความสามารถราวกับเทพบนสวรรค์ คนธรรมดาทั่วไปมิอาจขัดขวางได้ และมีคนกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนมีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมยิ่ง และมีคนกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนสามารถฆ่าทหารม้าของฮุ่ยชินอ๋องจำนวน 400 คนได้อย่างง่ายดาย !…”

ขุนนางเหล่านี้ได้ฟังดูแล้วต่างก็หวาดกลัว ไม่ว่าอย่างไรฟู่เสี่ยวกวนก็ถือว่าชนะแล้ว นั่นหมายความว่าปากของเขาช่างเก่งกาจจนน่ากลัว ฝีมือของเขาก็เช่นกัน

บุคคลเยี่ยงเขา ควรอยู่ให้ห่างได้ยิ่งดี หากไม่ระวังไปขัดขาเขาเข้าละก็…เกรงว่าจะเป็นเหมือนฮุ่ยชินอ๋อง

ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ถึงความคิดของเหล่าขุนนาง บัดนี้เขายืนเซไปมาด้วยอาการง่วงนอน

ไม่นานต่อมา ขันทีเจี่ยก็เดินเข้ามาจากนั้นประกาศเสียงอันดังว่า “ฮ่องเต้เสด็จ ! ”

ขุนนางทุกคนรีบคุกเข่าลงที่พื้น ฟู่เสี่ยวกวนเองก็คุกเข่าลงเช่นกัน

ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้านใน เสด็จประทับ ณ บัลลังก์มังกรแล้วตรัสว่า “ลุกขึ้นเถิด ! ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เสียงขุนนางทั้งหลายยืนขึ้น ฮ่องเต้มองไปยังกลุ่มคนทั้งหลาย สุดท้ายสายตาตกไปที่ฟู่เสี่ยวกวน พระองค์ทรงขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาผู้นี้กลายเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยวไปแล้วรึ ? น่าสงสารยิ่งนัก ข้าควรจะ…มอบรางวัลให้แก่เขาเพื่อเป็นการปลอบใจดีหรือไม่ ?