ตอนที่ 292 คุณปู่ของซูมู่ชิง!
แววตาของเย่เฉินฉายแววโหดเหี้ยม เขากำหมัดแน่น เขาไม่ติดขัดอะไรถ้าต้องซ้อมคุณชายของเมืองหลวงคนนี้สักครั้ง!

หลี่เฉิงเจี๋ยมองเย่เฉินอย่างไม่ยอมแพ้พลางกล่าว

“หนุ่มน้อย คนที่กล้าใช้คำพูดแบบนี้ในเมืองหลวงมีแค่สองประเภทเท่านั้น ประเภทแรกคือคนที่เก่งกว่าหลี่เฉิงเจี๋ย ประเภทที่สองคือคนไม่กลัวตาย! เห็นได้ชัดว่านายไม่ใช่ประเภทแรก แต่ถ้าหากเดาไม่ผิดล่ะก็ คนอย่างนายจะต้องทำผิดมามากมายแน่นอน! ฆ่าคน ปล้นหรืออาจจะถึงขั้นเคยข่มขืนผู้หญิงคนมาก่อน!”

หลี่เฉิงเจี๋ยพอจะรู้ว่าเย่ฉินไม่ใช่คนดีอะไรนัก

“ทางที่ดีที่สุดนายรีบไสหัวออกไปจากเมืองหลวง กลับไปสถานที่ที่เป็นของนาย ไม่อย่างนั้นแค้นจะทำให้นายกลับมาเหยียบที่นี่ได้เลยตลอดชีวิต!”

หลี่เฉิงเจี๋ยข่มขู่เขา

เย่เฉินหัวเราะเสียงเย็น เมื่อวานหมอนี่โดนซ้อมเสียน่วม คิดไม่ถึงว่าจะไม่ยอมรับว่าตนเองเก่งกว่าเขา

คิดไม่ถึงว่าจะเรียกเย่เฉินเป็น‘คนกลัวตาย’?

แถมไม่พอยังคิดว่าเย่เฉินจะมีคดีมากมาย หนำซ้ำยังคิดเสียว่าเป็นคดีที่รุนแรงจนต้องโดนจับเข้าคุกด้วย?

เย่เฉินกล่าวพลางระบายยิ้ม “หลี่เฉิงเจี๋ยคุณทายถูกแล้ว ผมเป็นคนเดนตายที่ไม่กลัวตายหรอกนะ ในเมื่อคุณให้ผมไปจากเมืองหลวงไม่ได้ งั้นผมขอทำคุณหายไปจากโลกนี้ก่อนแล้วกัน!”

เย่เฉินกล่าวอย่างโหดเหี้ยม แล้วจู่ๆ ก็ใช้มือขวาทำท่าทีเหมือนจะล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ตด้านซ้าย!

หลี่เฉิงเจี๋ยชะงักไปทันที คนอย่างเขาค่อนข้างจะระแวดระวังกับท่าทางแบบนี้อย่างมาก เพราะปืนมักจะถูกซุกเก็บเอาไว้ในนั้น!

“แกอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ! มีอะไรค่อยๆ คุยกัน!”

หลี่เฉิงเจี๋ยตกใจจนถอยกรูดไป ถึงขนาดที่ตะโกนร้องขอชีวิตด้วยซ้ำ

ใครจะรู้ในวินาทีที่เย่เฉินหยิบออกมาจากในกระเป๋าก็คือบุหรี่ห่อหนึ่ง

เย่เฉินหยิบบุหรี่ออกมามวนหนึ่งแล้วมองหลี่เฉิงเจี๋ยที่ตกใจจนหน้าสีเผือด “ผมแค่หยิบบุหรี่มวนเดียว ดูท่าคุณตกใจเข้าสิ อย่าบอกนะว่าคุ้ณกลัวว่าผมจะใช้ไฟแช็คเผาคุณน่ะ?”

“แก…”

หลี่เฉิงเจี๋ยโกรธจัด เมื่อครู่เขาใช้คำพูดข่มขู่เย่เฉินยังมีท่าทีโอหังเย่อหยิ่ง แต่ท่าทางอ้อนวอนกลัวตายนี่น่าอนาถเหลือเกิน

ท่าทางแสนน่าอายนี้โดนหญิงสาวในดวงใจเห็นเข้าอีกแล้ว!

จู่ๆ ซูมู่ชิงก็เดินมาแล้วกล่าว “หลี่เฉิงเจี๋ยคุณโวยวายก่อเรื่องพอหรือยัง? รีบขับรถของคุณไปเลยนะ หรือคุณจะให้ฉันโทรหาคุณปู่ฟ้องเขาให้เขาโทรหาคุณเพื่อย้ายรถใช่ไหมล่ะ?”

ทันทีที่ได้ยินซูมู่ชิงพูดถึงปู่ของหล่อน หลี่เฉิงเจี๋ยก็ใจฝ่อ

ที่พูดถึงกันเรื่องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์กันทั้งนั้นไม่ใช่แค่ตระกูลซูที่เป็นฝ่ายได้ประโยชน์

ตระกูลหลี่ทำไมจะไม่อยากเกาะต้นบุญต้นนี้ล่ะ?

ปู่ของซูมู่ชิงเป็นคนที่หลี่เฉิงเจี๋ยเคารพนับถือ

ที่เขาตามจีบหญิงสาวไม่ใช่เพียงแค่เพราะใบหน้าที่สะสวย แต่เป้าหมายจริงๆ คือหวังว่าจะได้ความช่วยเหลือจากปู่ของซูมู่ชิง

“ก็ได้ พวกเราไปกัน!”

หลี่เฉิงเจี๋ยพูดกับเฉียนช่วนจื่อแล้วขับรถ SUV ของพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว

ซูมู่ชิงกล่าวกับเย่เฉินว่า “ให้ฉันขับเถอะนะคะ”

“อืม”

ที่เย่เฉินอาสาขับรถแทนหญิงสาว เดิมเพราะไม่อยากให้เจ้าหล่อนต้องเหน็ดเหนื่อย แต่พออยู่ที่เมืองหลวงเหมือนว่าจะเจอเรื่องยุ่งยากได้ตลอดเวลา

แต่ให้คุณหนูซูขับรถน่าจะดีกว่า จะได้ไม่ยุ่งยากเกินไป

เพิ่งถึงเรือนสี่ประสาน ซือซือก็ถูกสาวใช้ของซูมู่ชิงอุ้มไป

ซูมู่ชิงกลับยืนที่หน้าประตู แล้วกล่าวกับเย่เฉิน “เย่เฉินเมืองหลวงไม่ใช่สถานที่ที่นายควรจะอยู่นาน ฉันรู้จักหลี่เฉิงเจี๋ยดี เขาจะต้องหาทางเล่นงานคุณแน่ เมื่อวานคุณต่อยเขา ทำให้เขาขายหน้าขนาดนี้ วันนี้เขาเห็นเราสองคนไปศูนย์ตรวจ DNA ด้วยกัน เขาจะต้องไม่ปล่อยคุณไปแน่ ไม่สู้คุณออกไปจากเมืองหลวง ไปอยู่กับแฟนคุณดีกว่า รอผลตรวจ DNA ออกแล้วคุณค่อยกลับมา”

เย่เฉินรีบร้อนปฏิเสธทันที “จะได้ยังไง! ผมรับปากกับซือซือแล้วว่าจะพาลูกไปเล่นสดี นี่เป็นเรื่องแรกที่ผมสัญญากับลูก ผมจะกลับคำได้ยังไง? คุณหนูซูเดี๋ยวผ่านไปอีกสักพัก ผมก็จะต้องแต่งงานกับแฟนของผมแล้ว หลังจากนั้นก็จะไปฮันนีมูนแล้ว ดังนั้นอีกพักใหญ่ๆ ผมอาจจะไม่มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนซือซือ ดังนั้นในสัปดาห์นี้ ผมจำเป็นต้องอยู่เมืองหลวงต่อ และอยู่กับลูกสาวผม 24 ชั่วโมง”

ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมาเย่เฉินเองก็ไม่ได้อยู่ในชีวิตของหล่อน ตอนนี้จะให้เขาเสียเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่แสนมีค่าที่จะได้ใช้เวลากับลูกสาวตนเองเพียงเพราะหลี่เฉิงเจี๋ยได้ยังไง

“งั้นก็ได้”

หลี่เฉิงเจี๋ยจึงไม่พูดอะไรอีก หล่อนย่อมหวังให้เขาอยู่ต่อ เพราะการมีอยู่ของเขาไม่ได้ทำให้ซือซือมีรอยยิ้มเพียงคนเดียว

แต่ยังทำให้หญิงสาวรู้สึกได้ว่าในบ้านมีสีสันครึกครื้นขึ้น…รวมไปถึงความสุขด้วย

……

หลังจากที่หลี่เฉิงเจี๋ยออกจากศูนย์ตรวจ DNA แล้วก็ขับรถตรงไปยังเรือนสี่ประสานที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งชั้นยอด

เรือนสี่ประสานหลังนี้ต่างจากเรือนสี่ประสานของซูมู่ชิง ไม่เพียงแต่อยู่ในตำแหน่งที่ดี แถมยังตกแต่งใหม่อีกด้วย

บ้านหลังนี้ยังเก็บร่องรอยของวัฒนธรรมของเรือนสี่ประสาน แต่ก็มีความหรูหรา ในทุกจุดแสดงให้เห็นสถานะความยิ่งใหญ่ของเจ้าของบ้านได้

หลี่เฉิงเจี๋ยจำเป็นต้องจอดรถในตำแหน่งที่ไกลจากบ้านหลังนี้มาก แล้วลงจากรถ พลางก้าวเดิน

เมื่อมาถึงปากทางหลี่เฉิงเจี๋ยจะเดินเข้าไปทันทีไม่ได้ เพราะบริเวณหน้าบ้านมีคนใช้ทำหน้าที่เป็นยามอยู่

“คุณชายหลี่ต้องขอโทษด้วยครับ วันนี้นายท่านไม่มีเวลาว่างพบคุณ” คนใช้กล่าวกับหลี่เฉิงเจี๋ยเสียงเย็น

ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแต่ก็ไม่มีท่าทีเกรงใจแม้แต่น้อย

หลี่เฉิงเจี๋ยเองก็ไม่ได้มีท่ามีเหมือตอนที่เรียกเย่เฉินว่าไอ้หมารับใช้ตอนอยู่ที่ตระกูลซู ท่าทีเขาเป็นมิตรแถมยังกล่าวอย่างเว้าวอน “คุณช่วยบอกท่านซูหน่อยว่าผมมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับซูมู่ชิงมารายงานท่าน”

“ให้เขาเข้ามา”

และในเวลานี้เองในห้องที่ไกลออกไปก็มีเสียงชายชรากล่าวออกมาเป็นจังหวะเนิบๆ

“เชิญ”

“ขอบคุณครับ”

หลี่เฉิงเจี๋ยสาวเท้าเข้าประตูแล้ววิ่งเหยาะๆ ผ่านสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณเข้าไปในห้อง

“ท่านซู!”

คนที่เขามาพบวันนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นซูเจิ้นหางปู่ของซูมู่ชิง!

ซูเจิ้นหางอายุ 70 กว่าปีแล้ว แต่ยังคงแข็งแรง วันที่อากาศหนาวๆ แต่ฮีทเตอร์ในห้องก็ไม่ได้มากมายนัก แต่เขาใส่แค่เสื้อยืดสีขาวบางๆ เท่านั้นเหมือนนักบวช

เขาไม่ได้แหงนหน้ามองหลี่เฉิงเจี๋ย แต่กำลังวางหมากรุกลงในกระดาน

“เฉิงเจี๋ยเอ้ย มาสิมา เราไม่ได้เล่นหมากรุกกันนานแล้ว เธอเล่นเป็นเพื่อนฉันสักตา” ซูเจิ้นหางกล่าว

หลี่เฉิงเจี๋ยรีบร้อนฟ้องเรื่องหลานสาวของอีกฝ่าย ไหนจะมีแก่ใจมาเล่นหมากรุกกับชายชรา?

“ท่านซู ผมเล่นหมากรุกไม่เก่ง ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ ผมเอาชนะท่านได้ยังไง? วันนี้ผมมาที่นี่เพราะมี…”

ในระหว่างหลี่เฉิงเจี๋ยกล่าวอยู่นั้น ซูเจิ้นหางก็เหมือนไม่ได้ฟังคำพูดของเขาแต่ย้อนถาม “เธอจะเล่นฝั่งสีแดงหรือดำ”

หลี่เฉิงเจี๋ยก็ไม่กล้ามีปากเสียงกับอีกฝ่ายแล้วกล่าว “งั้นผมเป็นสีแดงก็ได้ครับ”

หลี่เฉิงเจี๋ยเล่นหมากอย่างว่าง่าย เพราะความสามารถของเขาอ่อนด้อยกว่าซูเจิ้นหาง บวกกับที่เขามีแก่ใจอยากจะให้หมากตานี้จบลงเร็วๆ

และแล้วซูเจิ้นหาง ก็ ‘รุกฆาต’ ไม่ว่าหลี่เฉิงเจี๋ยจะขยับหมากไปทางไหนก็ตาย

หลี่เฉิงเจี๋ยรีบเยินยออีกฝ่าย “ท่านซูเก่งจริงๆ เอาจนผมไม่มีทางจะไปเลยครับ”

ซูเจิ้นหางมีท่าทีผิดหวังน้อยๆ “เฉิงเจี๋ยเหมือนทักษะการเล่นหมากรุกของเธอจะแย่ลงนะ เดิมทีฉันยังหวังว่าจะได้เธอมาคุยมาเล่นหมากรุกด้วยกัน”

หลี่เฉิงเจี๋ยยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของซูเจิ้นหาง เขาก็อดไม่ไหวอีก “ท่านซูครับ หลานสาวของท่านวันนี้พาผู้ชายแปลกหน้าไปที่ศูนย์ตรวจ DNA เขาอาจจะเป็นพ่อแท้ๆ ของซือซือ!”