บทที่ 370

บทที่ 370

นี่คือวิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ของถังหยิน เขาจะไม่เชื่อใจคนอื่นง่าย ๆ ไม่ว่าเขาจะมั่นใจแค่ไหนก็ตาม !

อันที่จริงจำนวนกำลังทหารในเจ็ดมณฑลมีจำนวนไม่มากเท่าใดนัก มี 5 หมื่นในไทอัน 3 หมื่นในซางชิง เกาหยาง หลิงตงและหลิงหนาน ส่วนในมณฑลฝูชวนและผิงเหอ กับครีกมีด้วยกันมณฑลละ 2 หมื่นคน รวมเป็น 2 แสนนาย ซึ่งชายหนุ่มก็ได้แยกคนเหล่านี้เข้าไปในกองพันต่าง ๆ ด้วยเหตุผล 2 ประการ

ประการแรกก็เพื่อกระจายอิทธิพลของกองทัพ ทำให้ยากสำหรับพวกเขาที่จะรวบรวมกำลังพลและกลายเป็นภัยคุกคามในภายหลัง

ประการที่สองก็เพราะการเกณฑ์พวกเขาเข้าไปในกองทัพจะช่วยทดแทนทหารเก่าได้เยอะทีเดียว !

ซึ่งกองทัพเทียนหยวนก็มักทำการเกณฑ์ทหารและม้ามาโดยตลอด ทำให้มาตอนนี้พวกเขามีกำลังทหารทั้งหมด 6 แสนนายด้วยกัน และเมื่อเพิ่มอีก 2 แสนเข้ามา มันก็ทำให้อำนาจของถังหยินขยายตัวขึ้นไปอีก เพราะเขามีกำลังมากถึง 8 แสนนายเข้าไปแล้ว !!

นอกจากนี้ เมื่อผู้ว่ามณฑลทั้งเจ็ดยอมจำนนในที่สุด ถังหยินก็พลันคว้าโอกาสนี้ทันที เขาไม่รอช้า ร้องสั่งให้ซีเฉินเป็นแม่ทัพใหญ่นำทัพ 2 แสนนายไปยังประตูงตงในทันที เพื่อเข้าสนับสนุนและแลกเปลี่ยนหน้าที่กับเหลียงฉีและหยวนยู่ที่นั่น !

ในการต่อสู้ครั้งก่อน ถังหยินมีความประทับใจอย่างมากต่อซีเฉิน ด้วยเขารู้สึกว่าคนคนนี้เฉียบคม เด็ดขาด สามารถตัดสินได้อย่างรวดเร็วแม้ในช่วงวิกฤต และในฐานะที่เป็นแม่ทัพ ชายหนุ่มก็รู้สึกไว้วางใจที่จะส่งต่อหน้าที่เฝ้าประตูตงให้กับอีกฝ่าย

ประตูตงเป็นพื้นที่หน้าด่านที่ง่ายกับการป้องกัน และยากแก่การโจมตี แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น หากทว่าถังหยินก็ยังคงเลือกที่จะส่งกำลังทหาร 2 แสนนายไป แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับประตูตงนี้มากแค่ไหน !!

การกลับมาของเหลียงฉีและหยวนยู่ทำให้ชาวเมืองหยานปิติยินดีเป็นอย่างมาก พวกเขาพากันออกมาต้อนรับอย่างเต็มใจ ด้วยทั้งสองถือได้ว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นเฟิง ที่ประสบความสำเร็จในการซุ่มโจมตีประตูตง !

….และอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาออกมาต้อนรับเลยก็คือหยวนยู่ ด้วยอีกฝ่ายนั้นได้กลายเป็นตำนานในฐานะเทพแห่งสงครามไปแล้ว ! ทำให้พวกชาวบ้านทั้งหลายอยากเห็นความสง่างามของชายเลือดร้อน จนส่งผลให้ผู้คนบนท้องถนนต่างมารวมตัวกันที่นั่นและดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนที่เหลียงซิง อู่หยู กับจี้หยางกลับมาเสียอีก

เมื่อทั้งสองคนขี่ม้าตัวใหญ่เข้ามาในเมืองหยาน ทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยเสียงร้องแสดงความยินดีกึกก้อง เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้มากมายที่ตกลงมาอย่างสวยงาม

ถังหยินที่เห็นเหตุการณ์ในปัจจุบันได้เผยรอยยิ้มจาง ๆ ออกมา ซึ่งรอยยิ้มนี้มันก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตอนที่เหลียงซิงและคนอื่น ๆ มายิ่งนัก ด้วยเมื่อตอนที่คนพวกนั้นเข้ามาในเมืองหลวง ชายหนุ่มแค่แสร้งทำเป็นหัวเราะและยกยิ้มยินดี แต่ตอนนี้เขากำลังหัวเราะจากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะในความคิดของเขาแล้ว การต้อนรับที่เหลียงฉีและหยวนยู่ได้รับนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ !!

คนทั้งสองต้องนำทัพเดินทางอ้อมจากเทียนหยวนไปยังรัฐมอร์ฟีส ก่อนจะเข้าโจมตีประตูง ….มันจึงถือเป็นการเดินทางไกลนับพัน ๆ ลี้ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนักที่ทำสำเร็จ ! และแม้ว่ากองทัพชานชุยจะมีกำลังทหารเพียง 8 หมื่นนาย ทว่าพวกเขากลับสามารถเข้ายึดประตูตงได้ในคราวเดียว ทั้งยังต้านทานการโจมตีจากพวกหนิงเกือบตลอดเวลานั่นได้ไหวอีก !

เรื่องทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…. และด้วยเหตุผลที่ว่ามานี้นี่เอง ที่ทำให้ถังหยินชื่นชมแม่ทัพทั้งสองจากก้นบึ้งของหัวใจ !!!

เมื่อเหลียงฉีและหยวนยู่เห็นถังหยิน ร่างกายของคนทั้งคู่ก็พลันสั่นสะท้าน พวกเขากระโดดลงจากม้าในเวลาเดียวกันและรีบวิ่งไปที่ม้าของถังหยิน ก่อนจะคุกเข่าลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “แม่ทัพเหลียงฉี แม่ทัพหยวนยู่ ทำความเคารพท่านถังขอรับ !” ขณะที่พวกเขาพูด น้ำตาของทั้งคู่ก็ได้ปรากฏออกมา

การที่กองทัพชานชุยต้องรับมือกับพวกหนิงนั้นมันหนักหนายิ่งนัก ด้วยคนพวกนั้นเข้ามาตลอดเวลาในช่วง 2-3 เดือนเป็นระลอกและไม่เคยหยุดนิ่ง ทำให้พวกเขาแทบไม่ให้พวกเขาได้พักเลย !

…ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้กำลังทหารที่มีกว่า 8 หมื่นนายลดลงอย่างรวดเร็ว ด้วยพวกเขาเหลือกลับมาแค่เพียง 3 หมื่นนายเท่านั้น !

เหลียงฉีและหยวนยู่นั้นน้ำหนักลดลงไปมากทีเดียว โดยสามารถสังเกตเห็นได้จากชุดเกราะของพวกเขาที่เป็นของใหม่และมีขนาดที่เล็กลง

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ถังหยินก็ไม่รอช้า เขารีบลงจากหลังม้าทันที ก่อนที่เขาจะยื่นมือไปช่วยทั้งสองคนให้ลุกขึ้นยืน “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนัก …พวกเจ้าทำได้มาก !”

ในฐานะผู้บังคับบัญชา และในฐานะแม่ทัพใหญ่ การพูดเชยชมผู้ใต้บังคับบัญชาในฐานะพี่น้องไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ ดังนั้นเมื่อเหลียงฉีและหยวนยู่ได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมามากมาย เพราะมาตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าความยากลำบากทั้งหมดที่พวกเขาต้องเผชิญในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานั้นคุ้มค่ายิ่ง !

“ท่านแม่ทั… ”

โดยไม่รอให้คนทั้งพูดจบ ถังหยินก็ได้ดึงมือของหยวนยู่และพูดว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย มาเถอะ กลับไปที่จวนกันก่อน !” ขณะที่พูด เขาก็ได้ดึงทั้งสองไปที่จวนของตัวเอง

ในความคิดของถังหยิน มันคงจะเป็นการไม่เหมาะสมนัก หากจะมาพูดเรื่องกิจการทหารในตอนนี้

หลังจากการกลับมาของเหลียงฉี ก็ถือได้ว่าผู้บัญชาการกองทหารทั้งห้าภายใต้กองทัพเทียนหยวนมารวมตัวกันที่เมืองหยานครบทั้งหมดแล้ว ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงไม่รอช้า เริ่มออกคำสั่งให้ทุกทัพเตรียมพร้อม สำหรับการลงใต้ไปจัดการซ่งเทียน !

ตอนนี้สิ่งของจำเป็นทั้งหลายต่างก็ถูกเตรียมไว้หมดแล้ว เช่นเดียวกับทหารเลวทุกนายที่ต่างก็ดูจะกระตือรือร้นที่จะต่อสู้ !!

ซึ่งในเวลานี้นี่เอง ก็พลันเป็นชิวเจิ้นที่เข้ามาพูดสิ่งหนึ่งกับถังหยิน ว่าถ้าชายหนุ่มต้องการจะขึ้นเป็นอ๋อง งั้นแล้วเขาก็ต้องทำให้มันถูกต้องตามธรรมเนียม ด้วยการกำจัดซ่งเทียน และรายงานเรื่องทั้งหมดให้กับองค์จักรพรรดิ !

..หลังจากได้ยินคำแนะนำของชิวเจิ้น แม้ว่าถังหยินจะรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่เขาก็กังวลนัก ด้วยต้องไปรายงานเรื่องทั้งหมดกับองค์จักรพรรดิเลยหรือ ? นี่มันต้องเดินทางไปไกลแค่ไหนกัน ? แล้วไหนจะระยะเวลาที่ต้องใช้อีก ….?

และถึงแม้ชิวเจิ้นจะพยักหน้า ด้วยรู้สึกว่าความกังวลของถังหยินนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงพูดออกไปอย่างเฉยเมยอยู่ดี “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไปได้ ยังไงเราก็ต้องส่งคนไปยังชางจิง เพื่อทำให้แน่ใจว่าท่านจะได้รับการยอมรับในฐานอ๋องผู้ครองแคว้น !!!”

“อันที่จริงข้าก็เห็นด้วย แต่ว่า… !” ถังหยินครุ่นคิด ด้วยเขาจะควรส่งใครไปชางจิงดี ?

หลังจากคิดเรื่องนี้ เงาของคนคนหนึ่งก็พลันแวบเข้ามาในความคิด “ถ้าใช้ให้เจียงหลูไป จะเป็นเช่นไร ? คนคนนี้มากไปด้วยปัญหา ทั้งยังไม่มีประโยชน์ใด ๆ ต่อกองทัพ ทว่าเขาคนนี้มีดีเรื่องฝีปากยิ่งนัก ด้วยสามารถปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างง่ายดายยิ่ง”

“…ย้อนกลับไปตอนที่จีหยิงยึดครองภูเขาเขี้ยวพยัคย์ ก็เป็นเจียงหลูที่ขึ้นไปบนนั้นเพื่อเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายยอมจำนน และการที่อีกฝ่ายสามารถทำให้คนที่ซื่อสัตย์อย่างจีหยิง เลือกที่จะยอมจำนนโดยไม่สนใจชีวิตครอบครัวของตัวเอง มันก็มากพอแล้วที่จะเป็นตัวรับประกันชั้นดีว่าเจียงหลูเก่งแค่ไหน”

หากจำเป็นต้องส่งใครบางคนไปที่ชางจิง ถ้าไม่ใช่เจียงหลูแล้วจะเป็นใครได้อีกจริงไหม ? เมื่อคิดถึงจุดนี้ ถังหยินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วพูดว่า “ดังนั้นแล้วข้าจึงคิดว่าเจียงหลู สามารถรับความรับผิดชอบอันหนักอึ้งนี้ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชิวเจิ้นก็หัวเราะออกมาดัง ๆ และพูดว่า “นายท่านคิดเช่นเดียวกับข้าเลย เพราะข้าเองก็คิดว่าเจียงหลูเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเช่นกัน !”

เมื่อได้ยินชิวเจิ้นพูดแบบนั้น ถังหยินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป “ถ้าอย่างนั้น …เรื่องนี้ก็ให้เจียงหลูจัดการ !”

“แต่… แม้ว่าเจียงหลูจะรู้วิธีพูด ทว่ามันก็จำเป็นต้องมีบางอย่างมากระตุ้นอีกถึงจะเกิดผล ! “ชิวเจิ้นเตือนเขาอย่างระมัดระวัง

“ห้าพันทอง เป็นเช่นไร ?” ถังหยินถาม

ชิวเจิ้นส่ายหัวและพูดว่า “สิ่งของ ทองคำ และเงิน ข้าคิดว่ามันอาจจะไม่เพียงพอ ทำไมไม่ให้สมบัติมีค่าแก่เขาล่ะ ?”

ถังหยินหัวเราะอย่างขมขื่น ก่อนยักไหล่และพูดว่า “แล้วข้าจะไปหามาจากไหน ?”

ชิวเจิ้นมีท่าทีมั่นใจมาก เขาหัวเราะเบา ๆ ปากพูดว่า “ที่ตัวท่านอาจไม่มี แต่มันต้องมีอยู่ในวังแน่ !”

โอ้ ? ถังหยินตกใจ ซ่งเทียนรีบหนีไป จึงเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ภายในวังจะมีสมบัติจำนวนมากซ่อนอยู่ แต่ถ้าทำแบบนั้น ..มันก็ถือว่าเป็นการขโมยไม่ใช่หรือไร ?

“นี่ไม่ใช่การขโมย แค่ยืมมาใช้ล่วงหน้า” ชิวเจิ้นกล่าวอย่างมั่นใจ “ในอนาคต นายท่านจะขึ้นเป็นผู้ปกครองแคว้นเฟิง ถึงตอนนั้นสมบัติในวังทั้งหมดจะเป็นของท่านอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ถือว่าเป็นการขโมยแต่อย่างใด !”

ถังหยินหัวเราะและส่ายหัว เพราะชิวเจิ้นกล่าวว่าการเจรจาของเจียงหลูเป็นพรสวรรค์ แต่นี่อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยไม่ใช่หรือไร ? “เจ้าพูดถูก ถ้างั้นคืนนี้ข้าจะเข้าไปในวังก็แล้วกัน !”

“ข้าจะไปกับท่านด้วย !”

ตอนนี้พระราชวังถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยกองทัพเทียนหยวน และนอกเหนือจากการประชุมในแต่ละวันแล้ว ทั้งคนในและคนนอกก็ไม่อาจไปไหนมาไหนได้อีก

แต่ว่าในฐานะผู้บัญชาการกองทัพเทียนหยวนของชายหนุ่ม มันก็คงไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ถ้าเขาจะเข้าหรือออกเมื่อไหร่ก็ตามแต่ที่ต้องการ !

ว่าแล้วคืนนั้นถังหยินก็ได้พาชิวเจิ้น พี่น้องฉางกวน และทหารยามหลายสิบคนมาที่วัง ทว่าก่อนที่พวกเขาจะเข้าใกล้ คนทั้งหมดก็โดนทหารยามภายนอกหยุดเอาไว้เสียก่อน แล้วจึงเป็นนายกองคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาหาเพื่อสอบถาม

“ข้าเอง !” ถังหยินตอบกลับอย่างง่าย ๆ “เปิดประตูวัง… เดี๋ยวนี้”