บทที่ 121 ต่อสู้กับถังสวี่

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 121 ต่อสู้กับถังสวี่
บทที่ 121 ต่อสู้กับถังสวี่

ทั่วบริเวณเข้าสู่ความเงียบโดยพลัน!

เหล่าผู้บ่มเพาะต่างตกตะลึงกับเคล็ดวิชาตัวเบาของเฉินซีที่รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด และมีบางคนที่พอจะมีสายตาเฉียบแหลมก็สังเกตได้ว่าเคล็ดวิชานั้นบรรลุถึงขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว!

เต๋าแห่งการรู้แจ้งคือความเข้าใจและการรับรู้ถึงเต๋าแห่งสวรรค์

ในเส้นทางของการบ่มเพาะ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเกิดมาพร้อมกับสถานะหรือภูมิหลังเลิศล้ำเพียงใด และไม่ว่าอาจารย์จะทุ่มเทในการชี้แนะและถ่ายทอดความรู้เพียงใด หากคนผู้นั้นไม่สามารถเข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์อย่างลึกซึ้ง การบ่มเพาะไม่เพียงแต่จะถดถอยเท่านั้น แต่ยังไม่อาจกลายเป็นเซียนสวรรค์ไปตลอดชีวิต

เพราะถ้าใครต้องการเป็นเซียนสวรรค์ คนนั้นจะต้องผ่านการทดสอบของทัณฑ์สวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ และยิ่งมีความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋ามากเท่าใด โอกาสที่จะเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

ไม่ต้องกล่าวถึงคนบางคนที่เป็นอัจฉริยะ กล่าวตามปกติ ความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋าแห่งสวรรค์ของผู้บ่มเพาะทั้งหมดในโลกสามารถเห็นได้จากบางแง่มุม

ผู้บ่มเพาะขอบเขตสร้างรากฐานบ่มเพาะอย่างยากลำบากและหมั่นเพียร เพื่อที่จะทะลวงอุปสรรคในตัวเองและได้รับความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับของเต๋าแห่งสวรรค์ สิ่งนี้เรียกว่าขั้นพื้นฐาน

ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดดูดซับปราณวิญญาณจากสวรรค์และโลก จากนั้นทำความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับแหล่งที่มาของปราณวิญญาณ และนี่เป็นขั้นสูง

ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลได้สร้างรากฐานของมหาเต๋า โดยหลอมรวมเข้ากับโลก และขอบเขตที่พวกเขาไล่ตามคือขั้นเอกภาพ

ในขณะที่เต๋าแห่งการรู้แจ้งถูกแทนที่ด้วยขอบเขตเต๋าแห่งการต่อสู้ ที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำต่างแสวงหา!

เป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อเห็นว่าเฉินซีเข้าใจขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว จึงทำให้ผู้บ่มเพาะเหล่านั้นต่างตกตะลึง

“ผู้เยาว์คนนี้คือใครกัน?”

“อนาคตของเด็กคนนี้ต้องไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน!”

“จงรีบไปสืบมา สืบข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับเด็กคนนี้ไม่ว่าจะสำคัญหรือเล็กน้อยแค่ไหน อัจฉริยะเช่นนี้ควรค่าแก่การที่พวกเราจะทุ่มสุดตัว!”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง บนที่นั่งระแวกสนามประลองก็ระเบิดความโกลาหลทันที ผู้คนถกเถียงกัน และมุ่งความสนใจไปที่เฉินซีที่อยู่ในสนามประลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูเหมือนจะต้องการดูให้ชัดเจนว่าเขาเป็นคนแบบไหน

“ขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้ง! ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะทำเรื่องโง่เขลาลงไป…” บนที่นั่ง เหยียนชิงหนี่รู้สึกแปลก ๆ นางบ่นพึมพำขณะที่มองไปที่เฉินซี

“เจ้าเฉินซีคนนี้ผิดปกติเกินไป เหตุใดข้าถึงรู้สึกเหมือนไม่รู้จักเขาทุกครั้งที่ได้พบ ให้ตายเถอะ พวกเราที่เหลือจะเอาตัวรอดได้อย่างไรเมื่อเขาเป็นเช่นนี้!” ต้วนมู่เจ๋อกัดฟันขณะกล่าว

“เขาผิดปกติจริง ๆ นั่นแล” ตู้ชิงซีและซ่งหลินเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่าทั้งสามคนจะกล่าวเช่นนี้ แต่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความยินดี ถึงแม้ชัยชนะของเฉินซีจะทำให้พวกตนรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง แต่สิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเป็นเกียรติ

“พี่สาว! ข้าต้องการคำนับพี่ใหญ่เฉินซีเป็นอาจารย์!” จู่ ๆ มู่เหวินเฟยก็กล่าวด้วยท่าทางแน่วแน่

“อ่า… เจ้าไม่อยากไปที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้วหรือ?” มู่เหยาตกตะลึง จากนั้นก็ครุ่นคิดขณะที่กล่าวว่า “หากพี่ใหญ่เฉินซีเต็มใจรับเจ้าเป็นศิษย์ก็ถือเป็นพรจากสวรรค์อย่างแท้จริง อนิจจา พวกเราไม่รู้ว่าพี่ใหญ่เฉินซีจะเต็มใจหรือไม่”

“เจ้าโง่! เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่กลับเป็นคนเริ่มที่จะโจมตีก่อน นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ” ที่อีกด้านหนึ่งของสนามประลอง เซี่ยจ้านคำรามด้วยเสียงต่ำ “ถังสวี่ จงไปจัดการซะ! เจ้าเด็กคนนั้นแค่รวดเร็วเพียงเล็กน้อย จงระมัดระวังให้ดีและเมื่อรวมกับทักษะแปรสภาพกายาของขอบเขตตำหนักอินทนิลระดับสามของเจ้า ย่อมฆ่ามันได้อย่างแน่นอน!”

ถังสวี่พยักหน้าที่ยังคงสงบนิ่ง ดูเหมือนว่าสถานการณ์รอบข้างจะไม่ส่งผลต่ออารมณ์ของเขาแต่อย่างใด

“ข้า… ข้ายอมรับ… ยอมรับความพ่ายแพ้!” บนสนามประลอง หลินเส้าฉีที่ถูกบีบคอรวบรวมกำลังเพื่อเปล่งเสียงที่ขาด ๆ หาย ๆ

“ไสหัวไปซะ! ถ้าเห็นเจ้าช่วยคนชั่วกดขี่คนอื่นอีก ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน” เฉินซีโยนหลินเส้าฉีลงจากสนามประลองราวกับทิ้งขยะ

“ฝ่ายของนายน้อยเซี่ยจ้านเป็นผู้แพ้ในรอบแรก” ข้ารับใช้หญิงผู้งดงามเดินขึ้นไปบนสนามประลอง สายตาที่นางจ้องมองไปที่เฉินซีกำลังสั่นไหว “นายน้อย ขอแสดงความยินดีสำหรับชัยชนะในรอบแรก”

ชายหนุ่มยิ้มตอบและกล่าวว่า “มาเริ่มรอบที่สองกันเถอะ”

“อ้อ นายน้อยหมดความอดทนแล้ว” ข้ารับใช้หญิงยิ้มอ่อนหวาน ทำให้นางดูมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก จากนั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ลานประลองและกล่าวด้วยเสียงชัดเจน “รอบที่สองได้เริ่มขึ้นแล้ว”

ตึก! ตึก! ตึก!

ทันทีที่ข้ารับใช้หญิงเดินลงมาจากสนามประลอง ก็มีเสียงฝีเท้าที่ดูเหมือนช้าแต่เร็วราวกับเสียงกลองประหลาดก้าวไปยังสนามประลอง

ตึก! ตึก! ตึก!

ทันใดนั้น บริเวณโดยรอบของสนามประลองก็เงียบสงัดลง เมื่อทุกคนรู้สึกว่าหัวใจเต้นพ้องไปกับเสียงฝีเท้านี้ จนถึงจุดที่ปราณแท้ พลังชีวิต และเลือดในกายพลุ่งพล่าน ทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าแทบจะสูญเสียการควบคุม

สำหรับผู้ที่มีความแข็งแกร่งและค่อนข้างอ่อนแอ ใบหน้าของพวกเขาวูบไหวด้วยความเศร้าโศก ยิ้มแย้ม และงุนงงราวกับตกอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติ

ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่แปลกประหลาดนี้ ชายในชุดขนนกถังสวี่กำลังเดินขึ้นไปที่สนามประลอง และเมื่อหยุดการเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าแปลกประหลาดก็หายไป ทำให้ผู้คนที่กำลังเฝ้าดูอยู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก

ต่อจากนั้น การจ้องมองของทุกคนก็พุ่งไปที่ถังสวี่ เนื่องจากคำถามมากมายผุดขึ้นมาว่า …คนผู้นี้คือใคร? เขามาจากที่แห่งใด? บ่มเพาะเคล็ดวิชาอะไร? แค่เพียงเสียงฝีเท้าของเขาเท่านั้น แต่กลับทำให้ผู้อื่นสูญเสียการควบคุมตนเองได้?

หวือ!

มหาค่ายกลสมดุลลึกล้ำของสนามประลองถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง และมันก่อตัวเป็นม่านแสงเข้าปกคลุมเฉินซีและถังสวี่ไว้

“ข้าบ่มเพาะวิชากายาวารีทศทิพย์ เมื่อตอนแปดขวบ ข้านั่งสมาธิเป็นเวลาเก้าปีภายในสถานที่อันมืดมิดและหนาวเหน็บแห่งดินแดนทางเหนือสุด และใช้วารีทิพย์เก้าอนธการเพื่อขัดเกลาร่างกายจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลระดับสาม ร่างกายนี้อ่อนนุ่มเหมือนสายน้ำ แต่แข็งดั่งเหล็กกล้า ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะเร็วแค่ไหน แต่ถ้าไม่แข็งแกร่งพอ มันก็ไร้ประโยชน์” ใบหน้าเรียบเฉยของถังสวี่ไม่มีความผันผวนแม้แต่น้อย

“ยิ่งกว่านั้น ข้ายังได้บ่มเพาะพลังอิทธิฤทธิ์ ร่างแปลงสวรรค์ และกระบี่เทพเก้าหยิน เมื่อทั้งสองรวมกันก็สามารถ…”

เฉินซีโบกมือขึ้นขัดจังหวะ “เจ้ามาเพื่อคุยกับข้าหรือ?”

เขารู้โดยทันทีว่าถังสวี่ต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้จิตใจของเขาหวาดกลัวและก่อเกิดมารในใจ ซึ่งมันจะส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของเขาเป็นอย่างมาก

แต่น่าเสียดายที่ถังสวี่ไม่รู้ว่าเฉินซีฝึกจินตภาพรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีทั้งกลางวันและกลางคืน อีกทั้งได้เผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากมามากมาย จนทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าแข็งแกร่งและมั่นคง ดังนั้นคำกล่าวไม่กี่คำเขาก็ไม่สะทกสะท้านหรอก

สิ่งสำคัญที่สุดคือเฉินซีฝึกทักษะแปรสภาพกายาเช่นเดียวกัน และสิ่งที่บ่มเพาะก็คือวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่ไม่มีใครเทียบ มันสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ดังนั้นความเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของทักษะแปรสภาพกายาจึงลึกล้ำกว่าผู้บ่มเพาะธรรมดา และความพยายามของถังสวี่ที่ต้องการข่มขู่เขานั้นช่างดูไร้เดียงสาและน่าขบขันยิ่งนัก

เห็นได้ชัดว่าถังสวี่รู้สึกตกตะลึงด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าปฏิกิริยาของเฉินซีจะเฉยเมยถึงเพียงนี้ เขาส่ายศีรษะไปมา “การประเมินศัตรูต่ำเกินไปจะทำให้เจ้าต้องตาย”

“เจ้าเป็นผู้ชายหรือ” จู่ ๆ เฉินซีก็ถามขึ้น

ถังสวี่ตอบกลับ “แน่นอน” จากนั้นเขาก็ตะคอกด้วยความโกรธว่า “เจ้ากำลังว่าข้าไม่ใช่ผู้ชายหรือ?”

เฉินซียักไหล่ “ข้าก็คิดว่าเจ้าไม่ใช่ผู้หญิงเช่นกัน”

“เจ้ากล้าเรียกข้าว่าขันทีเหรอ” ใบหน้าของถังสวี่ถมึงทึง

ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ขันทีที่ไม่มีความกล้า และรู้เพียงเล่ห์เหลี่ยมกับกลอุบายเล็กน้อยเท่านั้น”

“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! ร่างแปลงสวรรค์!” ถังสวี่ตะโกนออกมา ขณะเดียวกันมีไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างกาย ดูเหมือนจะกลายร่างเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ในขณะที่กลิ่นอายพลันพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง จากนั้นกลายเป็นยักษ์ที่สูงราว ๆ สิบจั้งแล้ว

ยักษ์ตนนี้ดูเหมือนจะกำเนิดจากสายน้ำ แขนขา ศีรษะ และตัวของมันหลั่งไหลเป็นธาราสีดำ พลังปราณอันเย็นยะเยือกแผ่กระจายออกไปในอากาศ กลั่นตัวเป็นเกล็ดหิมะที่พัดพาประกายแสงอันเย็นเยียบ อีกทั้งเมื่อมันอยู่ที่ด้านหน้าเขา เฉินซีก็ดูเหมือนคนตัวเล็กจ้อยไปถนัดตา

สิ่งนี่คือพลังอิทธิฤทธิ์ ร่างแปลงสวรรค์ มันทำให้ร่างกายสูงมากกว่าสิบจั้งได้ และช่วยให้ความแข็งแกร่งของร่างกายเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่ความว่องไวกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย

และเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ทรงพลังยิ่งนัก ในสมัยโบราณ เทพกับอสูรส่วนใหญ่จะบ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร เพื่อให้สามารถใช้พลังได้มากขึ้นในระหว่างการต่อสู้

อีกทั้งเมื่อร่างแปลงสวรรค์ได้รับการบ่มเพาะจนถึงขีดสุด คนผู้นั้นขยายร่างจนสูงราวกับภูเขาถึงสองพันจั้ง และทุกการเคลื่อนไหว ความแข็งแกร่งนั้นก็เพียงพอจะทลายภูเขาและแยกแม่น้ำ น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!

“กระบี่เทพเก้าหยิน!” ถังสวี่กลายร่างเป็นยักษ์ที่มีความสูงกว่าสิบจั้งตะโกนออกมา จากนั้นกระบี่ขนาดมหึมาพลันปรากฏขึ้น ตัวกระบี่ถูกปกคลุมด้วยชั้นอักขระที่หนาแน่นและลึกซึ้ง ยิ่งไปกว่านั้นบนคมมีดที่ยาวสองจั้งปล่อยระลอกคลื่นโปร่งใสเป็นดวง ๆ

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงร่างแปลงสวรรค์ใด ๆ เพราะมันสามารถทำให้ผู้ขัดเกลากายาครอบครองร่างกายและพลังที่เพิ่มพูน ในขณะที่กระบี่เทพเก้าหยินนี้ถูกควบแน่นจากปราณจ้าววิญญาณ สามารถแสดงปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้ชายหนุ่มนิ่งงันด้วยความอัศจรรย์

พลังอิทธิฤทธิ์ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ และด้วยสิ่งนี้ผู้ขัดเกลาร่างกายจึงไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติวิเศษใด ๆ อีก เพราะพลังโจมตีของพวกมันเพียงพอที่จะเข่นฆ่าศัตรูได้!

“จงตายซะ!” ถังสวี่ตวัดกระบี่เล่มโตลงไป ก่อให้เกิดมวลคลื่นแหลมคมมากมาย และส่งเสียงกรีดแหลมโหยหวน จนทำให้สนามประลองสั่นสะเทือน!

ซู่!

เฉินซีใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานเพื่อหลบไปทางด้านข้าง และในเวลาเดียวกันกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มก็พุ่งตรงไปที่ศีรษะของถังสวี่ออกไปอย่างรวดเร็ว

ฉัวะ! ฉัวะ!

ถังสวี่ไม่ได้หลบหลีก ทำให้กระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มสับเข้าที่ศีรษะทันที อย่างไรก็ตามของเหลวที่ไหลทะลักกลับมาหลอมรวมตัว ที่ค่อย ๆ เป็นรูปร่างศีรษะบนคอของเขาอีกครั้ง ชายผู้นี้ไม่ได้รับอันตรายใด!

“หืม?” ชายหนุ่มตกตะลึงและก่อนที่เขาจะรู้ตัว กระบี่เทพเก้าหยินก็จู่โจมเข้ามาพร้อมกับคลื่นนับพัน ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบไปทางด้านข้าง

“คิดจะหลบหรือไร หืม? ลองดูสิว่าจะหลบไปได้กี่น้ำ?” ถังสวี่ระเบิดหัวเราะ ร่างของเขาส่ายไปมาในขณะที่เหวี่ยงกระบี่เทพเก้าหยินเพื่อกวาดออกไปในแนวนอน

สนามประลองนี้มีพื้นที่เพียงร้อยจั้ง และเมื่อถังสวี่เหวี่ยงกระบี่ มันแทบจะปกคลุมทั้งสนามประลองแล้ว! คลื่นม้วนตัวไปทุกหนทุกแห่งพร้อมกับเสียงโหยหวน และทำให้พื้นที่ที่เฉินซีพอจะหลบได้แคบลงไปอย่างมาก

ฟิ้ว!

บนพื้นดิน กระแสน้ำสีดำพวยพุ่งขึ้นด้วยความเร็วที่พอจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และได้เปลี่ยนสนามประลองให้กลายเป็นแอ่งน้ำขนาดมหึมาอย่างรวดเร็ว

ไอเย็นอันมืดมิดได้ปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือก ราวกับกรงเล็บจำนวนมากที่ฉีกกระชากม่านแสงที่ปกคลุมสนามประลองโดยรอบ จนเกิดเสียงเสียดหู

นี่คือพลังของทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรหรือ?

บนที่นั่ง ดวงตาหลายคู่เบิกโพลงมองไปที่ถังสวี่ผู้เป็นเหมือนเทพอสูรที่ยืนอยู่กลางสนามประลอง ร่องรอยของความประหลาดใจที่ไม่อาจปกปิดปรากฏขึ้นบนใบหน้า

ช่างทรงอำนาจ!

ในบรรดาการบ่มเพาะแบบเดียวกัน ทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรสามารถบดขยี้ทักษะการบ่มเพาะปราณ คำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริง!

“เฉินซีจะเป็นอะไรไหม?” ต้วนมู่เจ๋อกล่าวด้วยความกังวล แม้ว่าจะรู้ว่าเฉินซีสามารถฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ หรือแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แต่เมื่อเห็นถังสวี่สำแดงฤทธิ์เดชที่ไม่อาจเอาชนะ เขาอดกังวลใจไม่ได้

“ไม่!” ท่าทางของตู้ชิงซีเป็นกังวลระคนสงสัย แต่นางก็กล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “เจ้าไม่เห็นหรือว่าเฉินซีกำลังเสาะหาจุดอ่อนของเขา และพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ”

ที่อีกด้านหนึ่งของสนามประลอง เซี่ยจ้านที่มีกำลังใจสูงขึ้น เขาปรบมือและกล่าวชมเชย “ดีมาก! ดีมาก! ทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง! ฮ่า ๆๆ!”

ชู่ว!

ร่างของเฉินซีราวกับสายลมที่ล่องลอย ในขณะที่หลบการโจมตีของกระบี่ขนาดมหึมาและกระแสน้ำโดยรอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงแม้จะดูอันตราย แต่ยังหาทางรอดระหว่างช่องโหว่เล็ก ๆ ได้เสมอ

ในใจของเขาขณะนี้ กลับเฝ้าสังเกตวิธีที่พลังอิทธิฤทธิ์ของถังสวี่โจมตี และนี่เป็นครั้งแรกที่ต่อสู้กับผู้บ่มเพาะที่มีปราณจ้าววิญญาณกับพลังอิทธิฤทธิ์ นั่นทำให้เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้

เมื่อได้รับโอกาสเช่นนี้มา เขาจะปล่อยให้หลุดรอดไปได้อย่างไร?

“ความสูงที่ปกคลุมม่านแสงเหนือลานประลองราว ๆ สองร้อยจั้งเท่านั้น ขอข้าดูหน่อยสิว่าจะหลบได้อีกนานแค่ไหน!” ขณะที่เขายืนอยู่ในสนามประลอง กระแสน้ำก็พุ่งสูงขึ้นราวกับว่าถังสวี่ยืนอยู่ในอาณาเขตของเขาเอง

กระบี่เทพเก้าหยินที่เขาเหวี่ยงไปนั้นก่อให้เกิดคลื่นซัดสาดราวกับมังกรผงาด และส่งเสียงคำรามราวกับพยัคฆ์ ในขณะที่พวกมันซัดกระแสน้ำจำนวนมหาศาล เพื่อไล่ตามร่างของเฉินซีอย่างใกล้ชิดไม่หยุดยั้ง

เฉินซียังคงนิ่งเงียบ แต่ความเข้าใจค่อย ๆ กระจ่างชัด ‘ฝ่ามือมหาดาราของข้าที่ครอบครองปราณขั้นปฐพีที่ห้ากับปราณขั้นพฤกษาที่สองแล้ว แล้วยังมีวิถีดาราอยู่ด้วย เมื่อเทียบกับกระบี่เทพเก้าหยินที่ควบแน่นจากวารีทิพย์เก้าอนธการ เห็นได้ชัดว่ามันเหนือกว่าหนึ่งขั้น…’