วันต่อมา ทันทีที่ออกมาจากจวนอ๋องเย่ ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินว่าซือคงเซียงได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ที่ราชสำนักอีกครั้ง ไม่เพียงแค่นั้น แต่ตำแหน่งเสนาบดีกรมโยธาธิการเดิมยังได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีสำนักตรวจราชการ สรุปก็คือได้เลื่อนตำแหน่งแล้วนั่นเอง
เสนาบดีสำนักตรวจราชการก็คืออาลักษณ์คนหนึ่ง ซึ่งยังมีตำแหน่งที่เหนือไปกว่านี้ก็คือสมุหราชเลขาธิการ แม้ว่าอาลักษณ์จะมีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน แต่ถ้าเสนาบดีสำนักตรวจราชการเลื่อนขั้นเป็นสมุหราชเลขาธิการ ก็จะเทียบได้กับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี
แม้ว่าลำดับยศจะเทียบไม่ได้กับอัครมหาเสนาบดี แต่ก็มีโอกาสได้เลื่อนยศเป็นอัครมหาเสนาบดี นอกจากนี้ทั้งสามสำนักยังขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิ ซึ่งนับว่าเข้าใกล้อำนาจของจักรพรรดิไปอีกก้าวหนึ่ง สำหรับขุนนางในราชสำนัก การได้มาอยู่ในตำแหน่งเสนาบดีสำนักตรวจราชการก็เทียบได้กับการเป็นขุนนางที่มีอำนาจใหญ่โต แต่ถึงอย่างไรอัครมหาเสนาบดีในราชวงศ์หลี่ซึ่งเป็นราชวงศ์ก่อนก็มีไม่มาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าใกล้ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนนก่อนจะกลับไปที่จวนอ๋องเย่
เมื่อเดินมาใกล้จะถึงประตูจึงเห็นเสี่ยวซือยืนอยู่ตรงนั้น
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินมา เสี่ยวซือก็วิ่งเข้าไปหานางและโค้งคำนับอย่างนอบน้อม เสี่ยวซือกล่าวว่า “ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาเชิญพระชายาไปที่จวนซือคงขอรับ”
“วันนี้ไม่สะดวก เปลี่ยนเป็นวันอื่นเถิด แล้วข้าจะหาวันไป” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่ใช้อุบายกับคู่สามีภรรยาซือคงเซียง
ยิ่งเสี่ยวซือมาเชิญ นางยิ่งไม่อยากไป
แต่เสี่ยวซือยังไม่ยอมไป ก่อนจะมาที่นี่เขาคิดแทบเป็นแทบตาย ดังนั้นจึงไม่มีทางกลับไปง่ายๆ
“พระชายา สองสามวันมานี้สุขภาพของฮูหยินใหญ่ไม่ค่อยดีนัก คราวก่อนยาที่ท่านให้ นางก็กินไปแล้วพอสมควรแล้ว สองวันมานี้สุขภาพแย่ลง พระชายาโปรดไปตรวจอาการหน่อยเถิดขอรับ” เสี่ยวซือเอ่ยพลางปาดน้ำตา
ฉีเฟยอวิ๋นสงสัยจริงๆ ว่าที่เสี่ยวซือพูดมาคือเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่
หลังจากคิดดูแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงตอบตกลงว่าจะไปดูอาการให้
เสี่ยวซือรออยู่ข้างนอกในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกลับเข้าไปในจวนอ๋องเย่เพื่อเตรียมยาสมุนไพร จากนั้นจึงตามเสี่ยวซือกลับไปที่จวนซือคง
ฉีเฟยอวิ๋นก้าวลงจากม้าเมื่อมาถึงหน้าจวนซือคง พอเงยหน้ามองจึงเห็นคำว่าจวนอาลักษณ์ที่ด้านบน และมีคนใช้ยืนอยู่ที่ประตู
เมื่อเห็นเสี่ยวซือกับฉีเฟยอวิ๋น คนผู้นั้นก็รีบเข้ามาหาทันที
คนใช้ปฏิบัติต่อเสี่ยวซืออย่างนอบน้อม เมื่อเห็นเสี่ยวซือก็รีบเรียกเขาคุณชาย
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง ซือคงเซียงต้องพบเจอกับความเปลี่ยนแปลงโดยที่ไม่มีใครคอยอยู่ข้างกายนอกจากเสี่ยวซือ
ตอนนี้เมื่อได้กลับเข้าไปในราชสำนักอีกครั้ง จึงย่อมจะไม่ลืมผู้ที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อเขา
อีกทั้งซือคงเซียงกับภรรยายังไม่มีลูกด้วยกัน เสี่ยวซือผู้นี้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อพวกเขา การให้เขามาเป็นลูกชายจึงนับว่าเป็นเรื่องที่ดี
ฉีเฟยอวิ๋นมองเสี่ยวซือ เขายังสวมเสื้อผ้าของคนใช้ ทว่าดูแตกต่างจากเขาเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาดูมีบุคลิกดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“นี่คือพระชายาเย่ แสดงความเคารพเสียสิ” เสี่ยวซือว่าแล้ว เหล่าคนรับใช้ก็รีบหันมาแสดงความเคารพพระชายาเย่
ฉีเฟยอวิ๋นพาหงเถากับลี่ว์หลิ่วมาด้วยกัน และพวกเขาก็ทำความเคารพทั้งสองคนด้วย
“พระชายาเย่เป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่ยิ่งต่อจวนของพวกเรา พวกท่านเชิญตามสบายเถิดขอรับ” เมื่อเสี่ยวซือพูดแบบนั้น คนใช้ที่อยู่ตรงประตูก็พลอยพยักหน้าเห็นด้วย
“เชิญพระชายา” เสี่ยวซือเชิญฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปข้างใน ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ไปพบกับฮูหยินซือคง
วันนี้ฮูหยินซือคงเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็นภริยาของขุนนางมานานหลายปี หลังจากแต่งกายอย่างประณีตก็ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป ดูสง่างามสูงส่งเป็นอย่างมาก
“คารวะพระชายาเย่”
ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปข้างใน ฮูหยินซือคงก็รีบออกมาแสดงความเคารพจนฉีเฟยอวิ๋นต้องรีบก้าวไปประคองนางไว้
“ข้ามิบังอาจ ฮูหยินอย่าทำเช่นนี้เลย”
ฉีเฟยอวิ๋นฝืนยิ้มให้หลังจากประคองฮูหยินซือคงให้ลุกขึ้นมา
เกรงใจไปแล้ว!
ฮูหยินซือคงจับมือของฉีเฟยอวิ๋น “จวนซือคงโชคดีเหลือเกินที่ได้พระชายาช่วยไว้ ข้าทำความเคารพพระชายาก็นับว่าควรแล้ว”
“ที่ไหนกัน ฮูหยินซือคงถ่อมตัวเกินไปแล้ว ท่านคือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งในลำดับชั้นสูงสุดจากองค์จักรพรรดิ แม้แต่ข้าก็ยังเทียบกับฮูหยินไม่ได้ ฮูหยินอย่าพูดแบบนั้นเลยจะดีกว่า”
การได้รับแต่งตั้งในลำดับชั้นสูงสุดเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้หนานกงเย่เคยบอกไว้แล้ว เชื่อว่าเพียงแต่ยังไม่ได้ประกาศให้รู้โดยทั่วกัน แต่เมื่อเห็นชุดของฮูหยินซือคงวันนี้ก็เดาได้ว่านางน่าจะได้รับทราบพระประสงค์แล้ว
แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าหนานกงเย่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็นับถือเขามากๆ
ไม่ว่าหนานกงเย่จะพูดอะไรไว้ เขาจะต้องทำจนได้เสมอ
คนผู้นั้นช่างมีความสามารถมากจริงๆ
แม้แต่จักรพรรดิเขายังไม่กลัว เขากลัวอะไรบ้างหรือ?
เกรงว่าแม้แต่ต้ากั๋วจิ้วผู้นั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็คงมีจุดจบที่ไม่ดีนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องของเสนาบดีกรมโยธาธิการจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันก็ทำให้เขาไม่พอใจ
ในอนาคตเกรงว่าคงจะต้องตกเป็นเป้าหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พระชายาเย่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว อาการป่วยของข้าก็เป็นพระชายาที่รักษาจนหาย ที่ท่านสวามีกลับไปเป็นอาลักษณ์ได้ก็เป็นเพราะความเมตตาของพระชายา วันนั้นข้าผ่านไปที่จวนท่านอ๋องและรู้ว่าพระชายาทำทุกอย่างอย่างลำบากด้วยเจตนาอันดี ข้าจะไม่มีวันลืมว่าพระชายามีพระคุณ วันข้างหน้าถ้าพระชายามีอะไรที่ต้องการจากข้า ตลอดจนธุระต่างๆ ของจวนซือคง ข้าและทุกๆ คนในจวนซือคงก็จะไม่ปฏิเสธแม้จะต้องตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง”
ฮูหยินซือคงว่าแล้วก็เตรียมจะคุกเข่าลง ทว่าถูกฉีเฟยอวิ๋นประคองห้ามเอาไว้
“อย่าทำแบบนี้เจ้าค่ะฮูหยิน”
ฉีเฟยอวิ๋นประคองฮูหยินซือคงขึ้นมา “ในเมื่อฮูหยินรู้เรื่องนี้นานแล้ว เหตุใดจึงไม่เปิดเผยล่ะเจ้าคะ”
“เรื่องของตู้ฟางจุนคือความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจของท่านสวามี ข้าตั้งใจจะช่วยให้เขากลับไป แต่เขาหัวแข็งและปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ถ้าหากไม่คอยดูแลเช่นนี้ ชีวิตของผู้คนก็จะแขวนอยู่ใต้ตู้ฟางจุน เขาคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับอีกครั้ง
สำหรับเรื่องนี้ อันที่จริงไม่ช้าก็เร็วก็ต้องกลับไปอีก แต่เขาแค่โกรธ เขาดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมโยธาธิการมายี่สิบกว่าปี ทำงานหนักโดยที่ไม่ได้อะไรเลย เรื่องของตู้ฟางจุน ฝ่าบาทอาศัยเขาทั้งนั้น”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงักไปนิดหนึ่ง นางมองไปรอบๆ และโบกไม้โบกมือให้บอกให้หงเถาและลี่ว์หลิ่วออกไปก่อน เสี่ยวซือก็เข้าใจเหมือนกันว่าเรื่องนี้ไม่ควรให้คนอื่นรับรู้ ดังนั้นเขาจึงรีบออกไปด้วย
เมื่อประตูปิดลง ฉีเฟยอวิ๋นจึงทิ้งตัวลงนั่งเพื่อพูดคุยกับฮูหยินซือคง
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปหลังจากรับประทานอาหารเย็น และตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นบอกพ่อบ้านไว้แล้วว่านางจะไปจวนซื่อคงตอนที่ออกไปจากจวนอ๋องเย่ เมื่อท่านอ๋องกลับมาจึงรายงานให้เขาทราบ
พอลงมาจากรถม้าฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นว่าหนานกงเย่รออยู่ที่ประตู เขาสวมอาภรณ์แขนกว้างสีดำสนิท ด้านบนมีลวดลายมังกรปักเอาไว้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา วันนี้ชุดที่สวมดูเต็มยศมาก!
แต่การเห็นเขาอยู่ตรงนั้นเป็นเรื่องที่น่าซาบซึ้งใจ
การที่คนคนหนึ่งกำลังรอใครสักคนคือความสุข การรอและได้พบคือความสุข แต่รอและไม่ได้พบนั้นคือความทุกข์
ฉีเฟยอวิ๋นโค้งคำนับเมื่อเดินไปอยู่ตรงหน้าหนานกงเย่ “หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง”
หนานกงเย่มองอย่างพินิจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในจวนอ๋องเย่โดยมีฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไป
คิดๆ ดูแล้วท่าทีของเขาดูเคร่งขรึมมาก เป็นไปได้ไหมว่าซือคงเซียงจะพบเจอกับปัญหาในราชสำนักอีกแล้ว
หลังจากเข้าไปในจวน หนานกงเย่จึงถามฉีเฟยอวิ๋นเกี่ยวกับเรื่องที่ไปจวนซือคง ฉีเฟยอวิ๋นจึงเล่าให้เขาฟัง
“สรุปก็คือฮูหยินซือคงรู้มานานแล้วว่าพวกเรากำลังแสดงละคร?” หนานกงเย่ถาม
“นางบอกว่าตอนแรกนางก็คิดนิดหนึ่ง ทว่าต่อมาก็เริ่มสงสัย แต่เมื่อเห็นท่านอ๋องอุ้มหม่อมฉันที่ตกใจจนหน้าเสีย นางจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูมีเลศนัยบางอย่าง ที่ไม่ได้เปิดโปงก็เพราะจะต้องมีหนทางให้ซือคงเซียงได้กลับไปมีเกียรติในราชสำนัก
และท่าทีที่ท่านอ๋องปฏิบัติต่อหม่อมฉันทำให้ความคิดของฮูหยินคงซือหนักแน่น” ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยอย่างน่าฟัง
หนานกงเย่เข้าไปหยุดอยู่ในสวนดอกกล้วยไม้และหันกลับมามองฉีเฟยอวิ๋น “ที่พูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรรึ”
“ฮูหยินซือคงรู้จักกับซือคงเซียงตั้งแต่ยังเด็ก นางบอกว่านางกับเขาตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น แต่ฮูหยินซือคงมาจากตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง มีอำนาจ ทว่าตอนนั้นซือคงเซียงเป็นแค่ช่างไม้เท่านั้น
ฐานะเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ฮูหยินซือคงบอกว่านางไม่เคยยอมแพ้ จนกระทั่งซือคงเซียงเข้ารับราชการในราชสำนักตอนอายุสามสิบ นางจึงได้แต่งงานกับซือคงเซียง ในเวลานั้นอายุนางก็มากแล้ว คนในครอบครัวจึงรู้สึกว่าการส่งนางออกไปจะช่วยแก้ปัญหาใหญ่ได้
ทว่าหลังจากแต่งงานนางกลับไม่มีลูก เดิมทีซือคงเซียงจะมีอนุภรรยาก็ได้ ทว่าเขากลับปฏิเสธเพื่อนาง
พวกเขาสองสามีภรรยาเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับความรัก ทั้งยังประทับใจชายหญิงที่มีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง
ฮูหยินซือคงบอกว่านางประทับใจมากที่ท่านอ๋องดูแลหม่อมฉันอย่างดี ดังนั้นจึงคิดว่าท่านอ๋องมีความน่าเชื่อถือ แล้วทั้งสองคนจึงหารือกันเรื่องกลับไปในราชสำนัก”
“โอ้?” หนานกงเย่อุทานออกมาอย่างขอไปทีและหันหลังกลับเข้าไปในห้อง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเข้าไป เมื่อประตูปิดลงหนานกงเย่จึงเดินเข้ามากอดนางจากทางด้านหลัง ฉีเฟยอวิ๋นจับมือของเขาไว้และพยายามจะแกะออก หนานกงเย่อุ้มนางขึ้นมาและหมุนตัวกลับมาจนทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ
“ท่านทำอะไรน่ะ”
“ข้าจะกินเจ้า”
เมื่อหนานกงเย่เห็นฉีเฟยอวิ๋น จิตใจของเขาก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้จะได้ยินสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
ทั้งหมดที่เขาต้องการคือการกิน
“หน้าไม่อาย” ฉีเฟยอวิ๋นถูกวางลง เสื้อผ้าของนางถูกฉีกขาด แววตาที่โฉบเฉี่ยวของหนานกงเย่เต็มไปด้วยความปรารถนา จากนั้นจึงซุกไซร้เข้าหานาง
ฉีเฟยอวิ๋นทั้งเตะทั้งถีบ เมื่อผลักไม่ออกจึงเลิกต่อสู้ดิ้นรน
อาอวี่ที่อยู่ข้างนอกเหลือบมองเข้ามาและโบกไม้โบกมือให้หงเถากับลี่ว์หลิ่วออกไป
เมื่อหงเถากับลี่ว์หลิ่วจากไป อาอวี่จึงเดินออกไปคอยเฝ้าอยู่คนเดียวในที่ไกลๆ อาซิวยังอยู่ในคุก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงจะไม่รอดแล้ว
หนานกงเย่ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมไปราชสำนัก ฉีเฟยอวิ๋นลากสังขารที่อ่อนล้าและง่วงเหงาลงมาจากเตียง สวมเสื้อคลุมสีขาวทับตู้โตวที่สวมไว้ด้านใน
แม้ว่าจะไม่ชอบสิ่งนี้ แต่ก็นางต้องสวม ถ้าไม่สวมมันจะโล่งมาก
หนานกงเย่จัดของพลางถามว่า “มีอะไรหรือ”
ฉีเฟยอวิ๋นง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ตอนแรกตั้งใจว่าจะพูดก่อนนอน แต่พอผล็อยหลับไปแล้วจึงนึกขึ้นมาได้และทำได้แค่รอตอนตื่น
เมื่อเดินไปอยู่ตรงหน้าหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงจัดเสื้อผ้าสำหรับไปที่ราชสำนักให้เขา “เรื่องของอาซิว ท่านอ๋องโปรดเมตตาด้วย ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันคงจะต้องคุกเข่าอ้อนวอนท่านอ๋อง”
ใบหน้าของหนานกงเย่เคร่งขรึมทันที “ข้าความจำไม่ค่อยดี!”
“…..” ฉีเฟยอวิ๋นใจคอเหี่ยวแห้ง นางมีความจำดีกว่าใครๆ เพราะคนบางคนไม่ยอมให้อภัย
“อา…”
ขณะที่หนานกงเย่กำลังจะเอ่ยปาก ฉีเฟยอวิ๋นก็เอามือมาปิดปากของเขาไว้ กันไม่ให้เขาพูดสิ่งที่อยากจะพูด
แววตาของหนานกงเย่เยียบเย็นขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตที่ริมฝีปากของเขา ขยับเข้าไปจนร่างกายแนบชิดกัน หนานกงเย่รวบฉีเฟยอวิ๋นมากอดไว้
เกี่ยวรัดไว้ด้วยแขนและกระชับแน่นในอ้อมกอด เสพสุขกับการยั่วเย้าเล็กๆ น้อยๆ ของฉีเฟยอวิ๋น
หลังจากจูบกันอยู่ครู่หนึ่งฉีเฟยอวิ๋นจึงผละตัวออก
คนผู้นี้ช่างน่าเบื่อ นางอุตส่าห์พยายามหลอกล่อแต่เขากลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด
“ท่านอ๋อง ถึงอย่างไรผู้หญิงของอาซิวก็ตายไปแล้ว ถ้าท่านอ๋องไม่มีหม่อมฉัน ท่านอ๋องจะเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นก้าวเข้าไปทีละก้าว หนานกงเย่ออกแรงและมีสีหน้าเย็นชา “ฮึ!”
หนานกงเย่ผลักฉีเฟยอวิ๋นออกจากตัวและหันหลังเดินออกไปจากห้อง
ฉีเฟยอวิ๋นกระชับเสื้อผ้าเตรียมจะเดินไปที่ประตู ขณะที่กำลังคิดจะตามไปดู หนานกงเย่ก็สะบัดแขนของเขาปิดประตูจนเกิดเสียงดัง ปิดกั้นฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ในห้อง
อาอวี่รีบตามหนานกงเย่ออกไปจากสวนดอกกล้วยไม้ ทางด้านฉีเฟยอวิ๋นเมื่อออกไปไม่ได้จึงหันหลังกลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ประตูหลังจากล้มตัวลงนอน ผู้ชายคนนี้ช่างใจแคบ เขากลัวว่าจะมีใครมาเห็นนางเข้าหรืออย่างไร นางแค่ขยับตัวก็ปิดประตูใส่เสียแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นพลิกตัวและพักผ่อนเพื่อเตรียมคุยเรื่องของอาซิวกับหนานกงเย่ในตอนบ่าย
แต่ยังไม่ทันที่นางจะตื่น พ่อบ้านก็มาเคาะประตูและรีบพังประตูเข้ามา
肚兜 ตู้โตว คือ เสื้อชั้นในที่เป็นผ้าทรงสี่เหลี่ยม มีสายคล้องคอและสายรัด