ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 7-2 อย่ายั่วโมโหนาง

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

คำพูดนี้ย่อมแสดงออกถึงความไม่พอใจว่าเว่ยฉางอิ๋งเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสะใภ้ที่ออกมาบงการนั่นนี่อย่างน่าชิงชังด้วย

ผลปรากฏว่าในวันเดียวกัน เว่ยฉางอิ๋งก็บอกให้เสิ่นจั้งฮุยไปหาผู้อาวุโสท่านนั้นที่บ้านด้วยตัวเองเพื่อเชิญให้มาที่หมิงเพ่ยถัง แล้วนำบัญชีจำนวนหนึ่งที่ตนเองและนางหวงตรวจสอบมาหลายคืนติดต่อกันมาให้เขาดู …ประเด็นสำคัญก็คือบัญชีที่ตรวจสอบออกมาพิสูจน์ให้เห็นว่า เสิ่นฉู่สามีภรรยาและคนในตระกูลจำนวนหนึ่งยักยอกเงินค่าซ่อมแซมคฤหาสน์ดั้งเดิมไปสามส่วน จากนั้นก็ยิ้มหยันพลางว่า “ทุกปีตระกูลจัดสรรเงินไว้ซ่อมแซมคฤหาสน์ดั้งเดิม ประการแรกด้วยไม่กล้าเพิกเฉยต่อมรดกที่ตกทอดมาของบรรพบุรุษ ประการที่สองวิญญาณของบรรพบุรุษล้วนอยู่ภายในศาลบรรพชนนี้จึงไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ แต่ปรากฏว่าผู้คนเหล่านี้กลับโลภโมโทสันถึงเพียงนี้ แม้แต่ค่าใช้จ่ายที่เดิมทีควรนำมาใช้ในการซ่อมแซมคฤหาสน์ดั้งเดิมก็ยังกล้านำมาแบ่งสรรปันส่วนกัน! ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นดังนี้มาหลายปีแล้ว หากไม่จัดการคนที่ไร้คุณธรรมอกตัญญูเช่นนี้ ที่ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของข้าไม่มีกฏระเบียบดังนี้แน่นอน …ที่แท้ในตระกูลเสิ่นนี้สามารถเห็นวิญญาณของบรรพชนและทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษว่าไม่เป็นเรื่องสลักสำคัญได้เพียงนี้หรือ?! หากทุกท่านคิดว่าเรื่องนี้สามารถปล่อยวางลงได้อย่างง่ายดาย ทว่าข้ากลับไม่กล้ายอมรับได้ ทุกท่านล้วนเป็นผู้อาวุโส ยามอยู่ต่อหน้าทุกท่านข้าล้วนไม่มีที่ให้พูดจา ฉะนั้นข้าจะเขียนจดหมายไปขอความคิดเห็นจากท่านพ่อท่านแม่ที่เมืองหลวง!”

บรรดาผู้อาวุโสต่างปวดเศียรเวียนเกล้ากันยิ่งนัก แอบด่าเสิ่นฉู่สามีภรรยาว่าไม่ได้ความอยู่ในใจ สองสามีภรรยานี้ดูแลหมิงเพ่ยถังมานานปี ว่ากันโดยพื้นฐานแล้วหากจะไม่ตักตวงผลประโยชน์ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เจ้าก็ต้องจัดการบัญชีให้สมดุลสิ! ยามนี้พอฮูหยินน้อยสามจากตระกูลสายหลักมาถึงเพียงไม่กี่วันก็จับผิดเรื่องนี้ได้แล้ว เวลานี้นางยกเอาวิญญาณของบรรพบุรุษและมรดกตกทอดมาอ้างก็ยังเกี่ยงว่าไม่พอ แล้วยังขู่ว่าจะเขียนจดหมายไปฟ้องที่เมืองหลวงอีก!

หนำซ้ำก็ยังรู้สึกอีกว่าผู้อาวุโสที่ออกมาพูดจาผู้นั้นอยู่ดีๆ ก็มาหาเรื่องเสียงจริง ก็รู้อยู่แล้วว่าท่านผู้นี้เป็นหลานสาวแท้ๆ ของแม่เฒ่าซ่ง ซึ่งนางก็เป็นคนอบรมสั่งสอนมาเองจนโต เสิ่นเซวียนสามีภรรยาก็ยังไม่จัดการนาง แล้วเจ้าออกมาเป็นกังวลเรื่องใด?! ดีชั่วตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงก็มีสายของเสิ่นเซวียนเป็นสายหลัก! เสิ่นเซวียนและซูซิ่วม่านยังไม่เอ่ยปาก เห็นชัดว่ายอมรับโดยปริยายแล้ว …นางเว่ยผู้นี้พอมาถึงซีเหลียงก็ลงไม้ลงมือใหญ่โต ไม่แน่ว่าอาจได้รับคำชี้แนะมาจากทั้งสองท่านนั้นด้วย!

หากยามนี้แสดงท่าทีว่ามองนางขัดตานัก ก็ไม่เท่ากับว่าตนเองเป็นคนออกมาช่วยนางเว่ยผู้นี้สร้างฐานอำนาจหรอกรึ! สตรีผู้นี้อายุยังน้อย ทว่าเบื้องหลังของนางมีรุ่ยอวี่ถังทั้งสายและบุตรชายคนโตของเสิ่นจั้งเฟิงเป็นที่แรงหนุน นอกเสียจากว่าเสิ่นเซวียนสามีภรรยาหรือเสิ่นจั้งเฟิงจะไม่โปรดปรานนาง หาไม่แล้วพวกเขาที่เรียกขานตนเองว่าเป็นผู้ใหญ่จะสั่นคลอนตำแหน่งที่มั่นคงของนางได้ที่ใด?

ผู้อาวุโสทุกท่านช่วยกันโอ้โลมปฏิโลมไกล่เกลี่ยและเห็นพ้องต้องกันว่าหลักฐานเช่นนี้ชัดเจนนัก ฉะนั้นการที่เว่ยฉางอิ๋งตัดสินใจจัดการคนเหล่านี้ไปก่อนหน้านี้จึงไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย!

เว่ยฉางอิ๋งยังคงพูดกับผู้อาวุโสที่ก่อนหน้านี้ออกมาต่อว่าตน แต่ยามนี้กลับไม่ได้เอ่ยปากอย่างใดว่า “ข้ารู้ว่าท่านผู้อาวุโสเป็นผู้ที่ยึดถือในกฎระเบียบเป็นที่สุด นับแต่ข้าได้ฟังคำสั่งสอนของท่านเมื่อคราก่อนก็ไม่กล้าเพิกเฉย จึงเชิญผู้อาวุโสทุกท่านมาหารือกัน ตามที่ข้าได้รับการอบรมสั่งสอนมาครั้งอยู่ที่บ้านมารดา ข้าคิดว่าสิ่งที่ข้าทำไปถูกต้องแล้ว เพียงแต่ท่านผู้อาวุโสไม่เห็นดีด้วย ข้าจึงคิดว่าท่านผู้อาวุโสก็สูงวัยเพียงนี้ ทั้งลำดับอาวุโสในตระกูลก็สูง ย่อมมีประสบการณ์และสติปัญญามากกว่าข้าซึ่งเป็นคนรุ่นหลัง ทั้งยังเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งไม่รู้กี่มากน้อย …ยามนี้สมุดบัญชีล้วนอยู่ที่นี่แล้ว ผู้ตรวจสอบบัญชีก็อยู่ที่นี่ด้วย ต้องขอเชิญท่านดูให้ละเอียดว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรจึงจะดีเจ้าค่ะ?”

คำพูดนี้ทำเอาผู้อาวุโสผู้นั้นเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง และมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด คนอื่นๆ มาช่วยไกล่เกลี่ยให้เขา บอกว่าสองสามวันมานี้ท่านผู้อาวุโสผู้นี้สุขภาพไม่ใคร่ดี เกรงว่าจะดูสมุดบัญชีได้ไม่ชัดเจนครบถ้วนเช่นนั้นเช่นนี้ เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งหาได้สนใจที่พวกเขาพูดและยังคงยืนกรานว่า “ข้ายังเด็ก ทั้งยังเป็นสตรี ถัดขึ้นไปก็ยังมีท่านแม่และบรรดาพี่สะใภ้ แม้พวกนางจะอยู่ไกลถึงเมืองหลวง ทว่าในคฤหาสน์ดั้งเดิมแห่งนี้ก็ยังมีผู้อาวุโสทุกท่านอยู่ เดิมทีจึงไม่ใช่หน้าที่ที่ข้าต้องมาตรวจสอบเรื่องนี้ แต่ด้วยยามนี้ท่านพี่บาดเจ็บนอนซมอยู่ น้องชายสี่ก็เป็นคนทำการใหญ่ รำคาญจะมาร่ำไรกับรายละเอียดเล็กน้อยเช่นนี้ ข้ากลัวว่าในขณะท่านพี่พักฟื้นแล้วยังต้องมาตรากตรำทำงานอีก จึงได้ดูแลแทนเขา”

เวลานี้สีหน้าของผู้อาวุโสผู้นั้นก็เขียวจนม่วงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็เอ่ยพลางถอนใจไปอีกว่า “ข้ารู้ว่าตนเองอายุน้อย ไม่มีประสบการณ์ใด ทั้งยังมาจัดการเรื่องเหล่านี้แทนท่านพี่อีก เกรงว่าจะทำได้ไม่ดี หากข้าทำให้ผู้คนเยาะเอาก็ยังแล้วไป แต่หากทำให้ท่านพี่เสียหน้าก็เท่ากับทำให้ตระกูลสายหลักเสียหน้าไปด้วย จึงทำทุกเรื่องอย่างระมัดระวัง และไม่กล้ามองข้ามความเห็นของผู้อาวุโสทุกท่าน ท่านผู้อาวุโสโปรดบอกกล่าวกับข้าให้ละเอียดด้วย เพื่อให้ข้าทราบว่าควรทำเช่นใดจึงจะดี เพราะอย่างไรเสีย แม้ข้าจะแต่งเข้ามาในตระกูลเสิ่นไม่ใช่แค่วันสองวัน และให้กำเนิดทายาทของตระกูลเสิ่นแล้ว ทว่าอย่างไรก็ไม่อาจทัดเทียบท่านผู้อาวุโสที่เกิดและเติบโตในตระกูลเสิ่นได้ ก่อนข้าจะมาซีเหลียง คนทั้งบ้านเอาแต่เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่านพี่ บรรดาผู้ใหญ่ในบ้านจึงไม่ทันได้เอ่ยเรื่องกฎระเบียบกับข้ามากนัก ข้าก็นึกมาตลอดว่ากฎระเบียบโดยมากของหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลล้วนไม่แตกต่างกันมากนัก! ยามนี้ได้ยินท่านผู้อาวุโสบอกกล่าวจึงเพิ่งรู้ว่าไม่เหมือนกัน ต้องขอให้ท่านผู้อาวุโส อย่าได้ถือโทษ และโปรดสอนสั่งเรื่องเหล่านี้แก่ข้าด้วยเจ้าค่ะ!”

แล้วคำนับและบอกว่า “ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันลืมพระคุณที่ท่านผู้อาวุโสสอนสั่งเลยเจ้าค่ะ!”

….เมื่อส่งผู้อาวุโสทุกท่านกลับไปแล้ว จูสือที่เป็นคนปากไวใจเร็วก็เอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าน้อยเดาเอาว่า เกรงว่าเมื่อผู้อาวุโสผู้นี้กลับไปก็คงต้องป่วยนอนซมแล้วเจ้าค่ะ”

“ป่วยจนไม่อาจทำการใดได้เป็นดี!” เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ ละเลียดจิบน้ำชา นางหวงเอ่ยต่อไป พลางยิ้มหยันว่า “ว่ากันว่าบุตรีที่แต่งออกจากบ้านไปก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกนอกประตู ฮูหยินน้อยออกเรือนมาไม่กี่ปี ทว่าแม้แต่คุณชายน้อยก็ยังมีแล้ว ยังไม่นับว่าเป็นคนบ้านเสิ่นอีกหรือ? อีกประการลำพังหนึ่ง แค่ผู้อาวุโสผู้นั้นผู้เดียว คู่ควรมาปฏิเสธฐานะของฮูหยินน้อยในตระกูลเสิ่นหรือ? เห็นว่าฮูหยินน้อยของเราอายุน้อยรังแกได้ง่ายดายเช่นนั้นรึ? หากท่านประมุขและฮูหยินอยู่ที่นี่ หรือฮูหยินผู้เฒ่าซ่งแห่งเฟิ่งโจวอยู่ที่นี่ ให้เขามีความกล้าอีกสิบเท่าแล้วยังจะกล้ามาล่วงเกินฮูหยินน้อยของพวกเรารึ! ผู้อาวุโสตั้งมากมายยังไม่พูดอันใด แต่เขาคนเดียวกลับออกมาคิดเองเออเอง เกิดมาเสียเปล่าไปครึ่งชีวิตจริง!”

เว่ยฉางอิ๋งวางถ้วยชาลง ยิ้มเรียบๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “ดีชั่วเขาก็เป็นคนแก่ที่เลอะเลือนเพียงคนเดียว ผู้อาวุโสท่านอื่นก็ยังเข้าใจเหตุผลดี และท่านผู้นี้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากใดขึ้นมา …วันพรุ่งหากทางนั้นขอลาป่วยขึ้นมา ท่านอาก็ส่งคนไปมอบของกำนัลปลอบใจสักหน่อย อย่าให้เสียมารยาทได้เล่า”

____________________