“ดูนั่นสิ มีรอยเท้าอยู่ข้างหน้า”
จู่ ๆ เนี่ยหรูเฟิงที่เดินนำหน้ากลุ่มก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจพลางชี้ไปบนพื้นเบื้องหน้าในจุดที่ห่างออกไปไม่มากนัก
เมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองตามทิศทางที่สหายร่วมกลุ่มชี้ก็มองเห็นรอยเท้าขนาดเล็กอยู่บนพื้น
“เหมือนจะเป็นรอยเท้าของมนุษย์ แต่รอยเท้าก็ดูเล็กมาก ข้าว่าคงเป็นของสตรีที่ตัวเล็กมากแน่ ๆ”
ขณะทุกคนกำลังพิจารณารอยเท้านั้น หลินซิวหยาก็แสดงความเห็นออกมา
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักหน้า ขณะที่เจียงหลิวเยว่เอ่ยขึ้น “ถ้าอยากรู้ให้แน่ชัดก็ตามรอยเท้านี่ไปกันเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นพ้องก่อนจะออกเดินตามรอยเท้าปริศนานั้นไปอย่างช้า ๆ
ไม่แปลกเลยที่หลินซิวหยากล่าวว่าเป็นรอยเท้าสตรี เพราะรอยเท้าเล็ก ๆ นี้ย่ำผ่านผืนหิมะไปอย่างเป็นระเบียบ เห็นชัดว่าผู้เป็นเจ้าของรอยเท้าเดินมุ่งลงใต้อย่างต่อเนื่อง รอยเท้าดังกล่าวทอดยาวไปจนสุดสายตา ไม่ว่าจะเดินตามมานานเท่าใดก็ยังไม่อาจหาจุดสิ้นสุดได้
สมาชิกทั้งห้าของกลุ่มฉินอวี้โม่เดินทางตามรอยเท้าที่มุ่งลงใต้นี้มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้พบว่าสภาพแวดล้อมรอบข้างเริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว
แน่นอนว่าพวกเขาก็ยังคงอยู่ในป่าเหมันต์ แต่ในตอนนี้ต้นไม้กลับเริ่มเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเดินมาไกลพอสมควรคนทั้งห้าก็พบว่ากำลังเดินขึ้นพื้นที่ลาดเอียงราวกับกำลังไต่ขึ้นเขาลูกย่อม ๆ อยู่
“แปลกจริง ๆ ข้ารู้สึกว่าพวกเรากำลังขึ้นเขาอยู่นะ”
เดินมาได้อีกไม่นานนัก ความแปลกประหลาดก็ทำให้ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกตัว แน่นอนว่าคนอื่น ๆ เองก็รู้สึกได้เช่นกัน ทุกคนต่างก็หันมองรอบทิศทางเพื่อประเมินสถานที่ที่กำลังอยู่ในขณะนี้
“พวกเรากำลังขึ้นเขาอยู่จริง ๆ แต่คงเป็นเพราะทุกที่มีแต่หิมะหนาทำให้ช่วงแรกเราไม่รู้สึกตัว และข้าว่าอีกส่วนหนึ่งก็เพราะเนินเขานี่ไม่ค่อยสูงมากนักด้วย”
หลี่จิ้ง บุรุษผู้ช่ำชองการผจญภัยมากที่สุดในคณะกล่าวอธิบายสถานการณ์เพื่อช่วยคลายความสงสัยของสหายร่วมกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ก็ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัยขึ้น หลังจากเดินกันมาทั้งวันก็ยังไม่พบสิ่งใดน่าสนใจ ทว่าตอนนี้กลับได้พบเจอเนินเขาเข้าให้แล้ว ไม่แน่ว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่ก็เป็นได้
หลังจากติดตามหลายชั่วยาม รอยเท้าปริศนาก็ยังคงมุ่งหน้าลงใต้อย่างต่อเนื่องราวกับไร้จุดสิ้นสุดดังเดิม ทว่ารอยเท้านั้นกลับตื้นขึ้น อีกทั้งระยะห่างระหว่างแต่ละก้าวก็กว้างมากกว่าก่อนหน้านี้ราวกับว่าหญิงสาวเท้าเล็กผู้นั้นเริ่มเร่งความเร็วให้สูงขึ้นในบริเวณนี้
“เดินทางต่อกันเถอะ ข้าว่าเราน่าจะใกล้พบอะไรสักอย่างแล้ว ลองเร่งฝีเท้ากันหน่อยดีกว่า”
หลิวซิวหยากล่าว ก่อนจะเดินนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มของอวี้โม่ยังคงเดินตามรอยเท้านั้นต่อไป ทว่าในขณะนี้พวกเขาเพิ่มความเร็วมากขึ้นแล้ว
ป่าเหมันต์นี้ดูแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย แม้ว่ามันจะถูกปกคลุมด้วยกองหิมะหนาแต่กลับไม่มีหิมะตกลงมาให้เห็นเลย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมานั้นค่อนข้างเบาบางจึงทำให้หิมะบนพื้นไม่ละลายไปเลยแม้แต่น้อย
หลังจากตามรอยเท้าเดิมโดยใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยาม สมาชิกทั้งห้าของกลุ่มฉินอวี้โม่ก็พบร่างร่างหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า อีกฝ่ายกำลังหันหลังให้พวกเขาราวกับว่าไม่รู้สึกถึงการมาถึงของคณะอวี้โม่
ฉินอวี้โม่และสหายร่วมกลุ่มมองหน้ากันอย่างฉงนก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้าหาร่างนั้นอย่างช้า ๆ ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ไหลเวียนพลังมายาพร้อมกับเร่งเร้าประสาทสัมผัสทั้งหมดให้ตื่นตัว ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ในสถานที่อันตรายเช่นนี้ ประมาทเพียงหนึ่งก้าวอาจเท่ากับความตายในพริบตา
เมื่อเข้ามาใกล้ได้ระดับหนึ่ง ในที่สุดทุกคนก็มองเห็นรูปลักษณ์ของเจ้าของร่างนั้น
อีกฝ่ายเป็นสตรีในชุดสีขาวราวหิมะ ผิวนวลเนียนของนางนั้นก็ขาวมากเสียจนกลมกลืนกับชุดที่สวมใส่ สตรีผู้นี้มีผมสีดำยาวเรียบลื่นดูพลิ้วสลวย และมีรูปร่างที่บอบบางแต่กลับสูงโปร่ง
แม้ว่าสตรีปริศนาจะหันหลังให้ ทว่าเพียงแค่มองจากด้านหลังเช่นนี้ คนทั้งห้าก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่านางจะต้องเป็นหญิงสาวที่งดงามมากผู้หนึ่งเป็นแน่
“สวัสดีแม่นาง พอดีว่าพวกเรากำลังหลงทาง แม่นางพอจะทราบหรือไม่ว่าตอนนี้เราอยู่จุดใดของป่าเหมันต์ ?”
เนี่ยหรูเฟิงบุรุษที่ดูจะเก่งด้านเจรจาที่สุดในกลุ่มเอ่ยถามหญิงสาวผู้นั้นอย่างสุภาพ เขาเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังที่สุด
จู่ ๆ ก็มีสตรีลึกลับปรากฏตัวขึ้นในป่าเหมันต์แห่งนี้ หากว่านางไม่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อก็อาจจะไม่ใช่มนุษย์ เช่นนั้นแล้วระวังตัวไว้ก่อนก็จะเป็นการดี
“เจ้ากำลังเรียกข้าอย่างนั้นหรือ ?”
ฝ่ายที่ถูกถามตอบกลับมา เสียงของสตรีปริศนาฟังดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก แต่ทว่ากลับไพเราะเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเอง สตรีชุดขาวผู้นั้นก็ค่อย ๆ หันมาอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าอันมีเอกลักษณ์ของนาง
ต้องบอกเลยว่าสตรีผู้นี้งดงามเหลือเกิน ผิวขาวดุจหิมะ สัดส่วนสมบูรณ์แบบ บรรยากาศรอบกายเย้ายวนชวนหลงใหลและก็คงจะดึงดูดใจเหล่าบุรุษได้ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ส่วนที่สะดุดตาที่สุดก็คือดวงตาของนาง มันเป็นดวงตาที่ดูไร้ชีวิตชีวาและไม่มีประกายให้เห็น ดวงตาคู่นั้นทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกอย่างประหลาด
‘แม้จะถูกมองก็เหมือนไม่ถูกมอง’ ความรู้สึกดังกล่าวบังเกิดขึ้นในใจของทุกคนอย่างชัดเจนในขณะที่ถูกสตรีลึกลับผู้นี้จับจ้อง มันเป็นความรู้สึกที่แปลกพิกลจนชวนหวาดหวั่น
ในตอนนั้นเอง สตรีลึกลับในชุดขาวเผยก็รอยยิ้มงดงามก่อนจะเดินตรงมาที่กลุ่มอวี้โม่อย่างช้า ๆ
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่จู่ ๆ นางก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
ในสถานที่อันหนาวเหน็บแบบที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถอาศัยอยู่ได้เลยเช่นนี้ กลับมีหญิงสาวแสนงดงามปรากฏตัว นางอยู่คนเดียวท่ามกลางผืนหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาในป่ากว้างใหญ่ที่มีเพียงต้นไม้ไร้ใบ ไม่ว่ามองไปแห่งใดก็ไม่เห็นสถานที่ที่จะให้ความอบอุ่นได้เลย ทว่าเหนือสิ่งอื่นคือบรรยากาศจากร่างกายบอบบางนั้น เพราะมันไร้ชีวิตชีวาจนชวนให้ผู้คนรู้สึกหมองหม่นอย่างแปลกประหลาดราวกับว่าความหวังในการมีชีวิตต่อไปของพวกเขาจบสิ้นแล้ว ราวกับสตรีตรงหน้าเป็นสิ่งไร้ชีวิตที่กำลังจะนำพาเอาชีวิตของพวกเขาจากไป
“ทุกคนระวังตัวด้วย นางไม่ใช่มนุษย์ !”
ทันใดนั้นฉินอวี้โม่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ คุณหนูตระกูลฉินเคยรู้จักบางสิ่งบางอย่างที่ถูกบรรยายรูปลักษณะเอาไว้ตรงกับสตรีเลอโฉมผู้อยู่ต่อหน้า มันถูกระบุอยู่ในตำราที่เคยได้รับจากอาจารย์ผู้เฒ่าลึกลับเจ้าของชั้นเรียนข่ายอาคม
สิ่งนี้เหมือนจะมีนามเรียกขานกันว่า*‘มารยา’*แม้ว่ามันจะสามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้ แต่มันก็จัดเป็นอสูรประเภทหนึ่ง ทักษะที่เป็นจุดเด่นของมารยาคือการเปลี่ยนร่างเป็นหญิงสาวรูปโฉมงดงามเพื่อล่อลวงเหล่ามนุษย์ โดยเฉพาะบุรุษเพศทั้งหลายที่จะหลงใหลในความงามและทรงเสน่ห์ของมารยาได้ง่าย ซึ่งในทันทีที่เหยื่อตายใจอสูรจอมสาไถยก็จะพุ่งเข้าจู่โจมอย่างฉับพลัน
นอกจากนี้ในตำรายังบันทึกถึงเรื่องน่าสะพรึงกลัวซึ่งเป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมาในหมู่ผู้คนที่เคยพบเห็นมัน กล่าวกันว่าการโจมตีมนุษย์ของมารยานั้น กว่าเก้าในสิบของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อไม่อาจมีชีวิตรอด !
ฉินอวี้โม่คิดอยู่เสมอว่าอสูรน่าหวาดหวั่นดังกล่าวมีอยู่แต่เพียงในตำนาน ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอมันด้วยตนเองภายในป่าเหมันต์แห่งนี้ และเมื่อได้พบตัวจริงของมารยาแล้ว บอกได้เต็มปากเลยว่ามันไม่ได้ต่างจากคำอธิบายในตำราเลยแม้แต่น้อย นี่จะต้องเป็นมารยาไม่ผิดแน่
สมาชิกกลุ่มฉินอวี้โม่อีกสี่คนที่เหลือล้วนแต่เป็นนักเรียนหัวกะทิของโรงเรียน ทันทีที่ได้ยินเสียงของฉินอวี้โม่พวกเขาก็ขยับร่างกายถอยหลังออกไปและเตรียมตั้งท่าป้องกัน
“ฮิ ๆ ๆ ถ้าข้าไม่ใช่มนุษย์แล้วข้าจะเป็นอะไรได้เล่า พวกเจ้าเคยเห็นอสูรที่งดงามเหมือนข้าอย่างนั้นหรือ ?”
อสูรสาวเผยรอยยิ้มและกะพริบตาให้หลินซิวหยา หากไม่ใช่เพราะบุรุษบ้าพลังเป็นพวกคลั่งไคล้การต่อสู้โดยไม่สนใจสิ่งใดอื่นอีกทั้งยังมีความดื้อรั้นอันน่าปวดหัวเฉพาะตัวแล้ว เขาก็คงไม่ต่างจากบุรุษทั่ว ๆ ไปที่จะถูกสายตาและน้ำเสียงของมารยาสะกดใจให้ลุ่มหลง และเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงร่างกายแต่วิญญาณของเหยื่อก็จะเชื่อฟังนางอสูรตนนี้ทุกประการ
“มารยาตัวน้อย เลิกแสดงมารยาสาไถยเสียจะดีกว่า เจ้าคิดหรือว่าพวกเราจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นตัวอะไร ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาเสียดแทงสตรีลึกลับ
ในตอนนี้นางมั่นใจเต็มสิบส่วนแล้วว่าสตรีเลอโฉมตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์และจะต้องเป็นสิ่งที่รู้จักกันในนามว่ามารยา อสูรประหลาดแสนเร้นลับและหายากยิ่งกว่ายากจนเสมือนมีตัวตนอยู่แต่เพียงในตำนานเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำเรียกของฉินอวี้โม่ สีหน้าของสตรีลึกลับก็เปลี่ยนไปทันที
“ฮิ ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีมนุษย์ที่รู้จักตัวตนของข้าหลงเหลืออยู่อีก ดูเหมือนว่าบนแผ่นดินใหญ่นั่นจะมีคนที่แข็งแกร่งและมีความรู้อยู่ไม่น้อยเลยนะ ฮิ ๆ ๆ”
เมื่อทราบว่ามนุษย์สตรีหนึ่งในกลุ่มมนุษย์ที่นางหลอกล่อล่วงรู้ตัวจริงของตนได้ อสูรสาวก็ไม่คิดปกปิดอีกต่อไป มันยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
“แต่ว่า ข้าไม่ได้*‘ตัวน้อย’* อย่างที่พวกเจ้าคิด เพราะในป่าเหมันต์แห่งนี้ไม่มีอสูรตัวใดทั้งนั้นที่ข้าเกรงกลัว เป็นพวกมันต่างหากที่สมควรจะต้องยำเกรงในตัวข้า แม้แต่เจ้ามังกรเหมันต์ที่อาศัยอยู่ใจกลางป่านั่น ข้าก็ไม่เคยนึกกลัวสักนิด !”
มารยากล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งผู้เหนือกว่าและใบหน้าเปี่ยมความภาคภูมิใจ ซึ่งสิ่งที่อสูรลึกลับว่ามานี้ก็ทำให้มนุษย์ทั้งห้าตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
ต้องทราบก่อนว่ามังกรเหมันต์เป็นอสูรเผ่าพันธุ์มังกรที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่ามันจะอยู่อาศัยภายในป่าหิมะที่พวกนางกำลังยืนอยู่นี้
“ฮี ๆ ๆ ไหน ๆ พวกเจ้าก็มาถึงที่นี่แล้ว ทำไมไม่อยู่เล่นเป็นเพื่อนข้าก่อนละ หลายปีมาแล้วที่ไม่มีผู้ใดผ่านทางมาบ้างเลย ตอนนี้ข้าทั้งเบื่อทั้งเหงาอยากจะได้เพื่อนเล่นคลายเหงาเสียหน่อย”
มารยาแย้มรอยยิ้มเย้ายวนอีกครั้ง ทั้งเสียงหัวเราะและวาจาของมันในประโยคดังกล่าวสั่นคลอนจิตใจของคนทั้งหมดในกลุ่มอวี้โม่ได้ ดูเหมือนว่า หากอสูรสาวต้องการแล้ว การเจรจาหรือสนทนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ กับมันจะสามารถส่งผลรบกวนจิตวิญญาณของมนุษย์ได้ด้วย
“ฝันไปเถอะ ! พวกเรามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่มีเวลามาเล่นกับอสูรอย่างเจ้าหรอก”
หลินซิวหยาตวาดลั่นอย่างเย็นชา อสูรสาวนามมารยาตนนี้นับเป็นอสูรที่น่ากลัวโดยแท้จริง หากไม่ใช่เพราะคำเตือนของฉินอวี้โม่ เกรงว่าพวกเขาคงได้กลายเป็นศพไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เพราะกว่าจะรู้ตัวว่าอสูรในร่างสตรีงดงามบอบบางไม่ใช่มนุษย์ก็คงสายเกินแก้เป็นแน่
“โธ่เอ๋ย อย่าใจดำนักสิ แม้ว่าข้าจะเป็นมารยา แต่ก็เป็นมารยาแสนสวย ในชีวิตนี้มีหรือที่พวกเจ้าจะได้พบเจออสูรตนใดที่เทียบเทียมข้าได้อีก ได้เล่นกับข้า พวกเจ้าควรจะรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำ”
มารยาตอบโต้บุรุษตัวโตด้วยรอยยิ้มกว้าง ฉับพลันนั้นเองอสูรสาวก็โบกมือบาง พริบตาถัดมาแสงสีขาวก็พุ่งเข้าใส่หลิวซิวหยา
“ทุกคงลงมือได้ จัดการมารยาตัวนี้ซะ !”
ฉินอวี้โม่เปล่งเสียงแหลมดังลั่นเพื่อเรียกสติสหายร่วมคณะและกระตุ้นให้สมาชิกที่เหลือลงมือ ขณะเดียวกันกับที่หลิวซิวหยาพุ่งตัวหลบการโจมตีของอสูรลึกลับได้อย่างฉิวเฉียด
หากว่ายังมัวแต่ยืนลังเลกันอยู่ คนในกลุ่มก็คงจะถูกมารยาเล่นงานจนหมดเป็นแน่
อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าไปใกล้ร่างอสูรสาว ฉินอวี้โม่กลับพบว่าสภาพแวดล้อมรอบกายเปลี่ยนแปลงไปเฉียบพลัน เมื่อรู้ตัวอีกครั้งนางก็อยู่ในที่มืดมิดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใดเสียแล้ว
ทางด้านหลินซิวหยาและคนอื่น ๆ เองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับฉินอวี้โม่ พวกเขารู้สึกว่าจู่ ๆ สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนเป็นมืดมิด
มารยาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าเหยื่อทั้งหมดหยุดชะงักลง และในตอนที่เตรียมจะลงมือขั้นต่อไปนั้น…
“พอแค่นั้นแหละ”
เสียงอันสงบนิ่งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น สตรีมนุษย์ผู้รู้ตัวตนของมันที่ตอนนี้ควรจะมึนงงและตกอยู่ในภวังค์ลวงตากลับมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ตกอยู่ในมนต์ของข่ายอาคมที่ข้าสร้าง ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ไม่ได้รับผลกระทบสิ่งใดจากพลังของมันเลย มารยาก็เริ่มตกใจกลัวขึ้นบ้างแล้ว ทว่าใบหน้างดงามก็ยังไร้แววแห่งความตื่นตระหนกปรากฏให้เห็น อสูรสาวเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“ฮ่า ๆ ๆ มันก็แค่ข่ายอาคมเล็ก ๆ คิดว่าข้าจะติดกับมันได้ง่าย ๆ อย่างนั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ต้องบอกเลยว่าหากก่อนหน้านี้นางไม่เคยเรียนรู้วิชาข่ายอาคมมาก่อน ตอนนี้นางก็คงจะตกอยู่ในมนต์สะกดของมายาและสถานการณ์ก็คงจะเลวร้ายมากกว่านี้
ทันทีที่ตกอยู่ในความมืดมิด อดีตนักฆ่าสาวก็หลับตาลงและตั้งสมาธิส่งพลังวิญญาณออกไปทำลายภาพลวงตาทั้งหมด
“เจ้าคือผู้วางข่ายอาคมสินะ !”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ มารยาเข้าใจในทันที มันมั่นใจมากว่าสตรีตรงหน้าต้องมีความรู้เรื่องข่ายอาคมเป็นอย่างดีแน่นอน
“เจ้าจะถอนข่ายอาคมของตัวเองกลับมาได้หรือไม่ ?!”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชาและมองไปทางด้านสหายทั้งสี่ที่กำลังตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดแห่งข่ายอาคมของอสูรสาว
“ฮี ๆ ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากวางข่ายอาคมไปแล้วไม่ใช่ธุระของข้า ในเมื่อพวกมันอยากจะออกจากมนต์สะกดนั้นให้ได้ ก็ต้องพยายามเอาเอง พึ่งพาความสามารถและความแข็งแกร่งของตัวเอง แบบนั้นมนุษย์อย่างพวกเจ้าถนัดกันนักไม่ใช่รึ ?”
มารยายิ้ม คำกล่าวของฉินอวี้โม่ไม่ได้มีผลใด ๆ ต่อมันแม้แต่น้อย
“เช่นนั้น งั้นข้าคงต้องจัดการเจ้าก่อนแล้วไปช่วยพวกเขาทีหลัง”
เมื่อได้ยินถ้อยคำของมารยา ฉินอวี้โม่ก็เผยยิ้มบางแสนอำมหิต นางตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะจัดการกับอสูรหายากตนนี้ !
“แค่เจ้าคนเดียวน่ะหรือ ? ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
มารยาหัวเราะพลางมองสตรีมนุษย์ตรงหน้าด้วยสายตาดูแคลน มันไม่คิดว่าสตรีผู้นี้จะทำอันตรายต่อมันได้ แม้ว่าจะมีความรู้เรื่องข่ายอาคมอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฝีมือจะสูงส่ง เพียงแค่มนุษย์ผู้หนึ่งอสูรสาวอย่างมันไม่เห็นอยู่ในสายตา
“ฮ่า ๆ ๆ มารยาตัวน้อย ปกติแล้วอสูรอย่างเจ้าจะปรากฏตัวในสถานที่ที่มีสภาพอากาศหนาวเหน็บ เกิดมาก็มีความสามารถด้านข่ายอาคมและการลวงตา ยิ่งไปกว่านั้นทักษะด้านการต่อสู้ก็สูงส่งหาผู้ใดเปรียบ แต่ทว่าก็มีจุดอ่อนที่ร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ*‘กลัวไฟ’*โดยเฉพาะไฟระดับสูงจะทำให้เจ้าสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหลายส่วน”
ฉินอวี้โม่เอื้อนเอ่ยความจริงด้วยใบหน้าแห่งผู้ชนะ เมื่อกล่าวจบมนุษย์โฉมงามก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ในตอนนั้นเองเปลวเพลิงสีแดงขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วของนาง
เมื่อได้ฟังวาจาของมนุษย์ตรงหน้า ร่องรอยแห่งความกังวลก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอสูรสาว ยิ่งได้ฟังประโยคที่พรั่งพรูออกมามันก็ยิ่งหวาดหวั่น และเมื่อเห็นเปลวเพลิงบนนิ้วของฉินอวี้โม่ มันก็ตื่นตระหนกจนก้าวถอยหลังออกไปอย่างไม่รู้ตัว
อสูรสาวจอมมารยาสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวจากเปลวเพลิงบนนิ้วของสตรีมนุษย์ ยิ่งรวมกับใบหน้าที่ไม่มีความเกรงกลัวของฝ่ายนั้น มันก็ยิ่งกลัวจนร่างบางเปลี่ยนเป็นสั่นเทิ่ม
ไฟคือศัตรูโดยธรรมชาติของมารยา ถึงแม้จะเป็นไฟระดับต่ำ มารยาก็ยังมีความกลัวอยู่ระดับหนึ่ง ดังนั้นหากเป็นเพลิงระดับสูงของซิวที่ฉินอวี้โม่ครอบครองอยู่นี้ก็คงไม่ต้องกล่าวถึง และต่อให้มารยาตนนั้น ๆ จะแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับไฟที่แม้แต่อสูรมายาธาตุไฟยังยำเกรงเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่จะไม่หวาดหวั่นจนสั่นสะท้าน
“จะยอมแพ้หรือยอมตาย เจ้าเลือกได้เลย”
ฉินอวี้โม่ถามอสูรลึกลับด้วยเสียงราบเรียบ ขณะที่เปลวเพลิงบนนิ้วมือของนางค่อย ๆ ขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ
ก่อนหน้านี้ซิวได้สอนวิธีการควบคุมเปลวเพลิงให้ฉินอวี้โม่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าซิวจะเก็บตัวอยู่นางก็ยังดึงเอาเปลวเพลิงบางส่วนของมันมาใช้ได้ และถึงแม้ว่าเพลิงนี้จะไม่ทรงพลังเท่ากับที่เวลาที่ซิวใช้ด้วยตัวเอง แต่ก็เพียงพอจะให้สตรีผู้ครอบครองกายเทพมายาใช้ป้องกันตัวเองได้อย่างสบาย
ทันทีที่มารยาหันหลังเตรียมจะหนี ฉินอวี้โม่ที่คาดเดาความคิดของอสูรสาวตนนี้ออกแต่แรกก็ขยับนิ้ว ฉับพลันกำแพงเปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นมาขวางหน้ามารยาเอาไว้
“อ้าาา~ อย่า อย่าเผาข้า”
มารยาส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนเพราะความกลัวที่มีต่อเปลวเพลิง
“ยอม หรือ ตาย ! รีบเลือก”
ฉินอวี้โม่ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาอสูรสาวจอมมารยาอย่างช้า ๆ พลางเอ่ยถามน้ำเสียงกดดัน
มารยามองสตรีมนุษย์ผู้ใช้ไฟด้วยความกลัวสุดชีวิต ในที่สุดใบหน้าแสนดื้อรั้นและศีรษะที่เคยเชิดขึ้นสูงก็ก้มลงต่ำอย่างยอมจำนน
.