บทที่ 26 สละชีพ

ท่องภพสยบหล้า

หมอกหนาไม่อาจบดบังประกายแสงสีแดงงดงามเช่นนี้ได้ ตอนนี้เจ้าหรู่เฉิงกำลังลุกขึ้นมาจากพื้น วิญญาณเร่ร่อนที่รุมเข้ามาแทบจะกลบเขาจนมิด

และตู้เหยี่ยหู่ก็มาถึงแล้ว!

เขาไม่ต้องขยับด้วยซ้ำ เมื่อพลังเลือดลมที่รุนแรงพุ่งซัด วิญญาณเร่ร่อนที่อยู่ใกล้ก็แหลกสลายไปสิ้น

ตู้เหยี่ยหู่ไม่โอ้เอ้ จัดการคว้าคอเสื้อของเจ้าหรู่เฉิงแล้วหิ้วไปยังข้างกายหลิงเหอ

ศิษย์น้องถูกวิญญาณแค้นซัดเข้าไปเต็มแรง ใจของคนเป็นพี่ชายทั้งหลายก็ร้อนดั่งไฟเผา มีเพียงเจ้าหรู่เฉิงที่ไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บเลยร้องโวยวายอย่างโมโหว่า “นี่ๆๆ ข้าเดินเองได้!”

ตู้เหยี่ยหูไม่สนใจไยดี วิ่งไปได้ครึ่งทางก็โยนเจ้าหรู่เฉิงที่ร้องโหวกเหวกไม่หยุดไปทางหลิงเหอ ในขณะเดียวกันก็หมุนตัวกลับ หมัดที่หุ้มด้วยพลังเลือดลมเข้มข้นชกไปยังวิญญาณแค้นเต็มแรง

ยังไม่ต้องพูดถึงหลิงเหอที่กระโดดรับเจ้าหรู่เฉิงไว้ได้กลางอากาศ กล่าวถึงหมัดของตู้เหยี่ยหู่ก่อน

เทียบกับกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาแล้ว วิชาหมัดที่เขาฝึกฝนไม่สูงส่งพอ ต่อให้อยู่สำนักเต๋าสายนอกก็ยังถูกมองข้าม แต่เมื่อเขาใช้ออกมากลับทรงพลังยิ่งนัก

หมัดนี้มุ่งไปโดยไม่หลบเลี่ยง ต้านรับกับกรงเล็บมหึมาของวิญญาณแค้น ใช้ความแข็งแกร่งปะทะความแข็งแกร่ง ใช้การโจมตีปะทะการโจมตี แข็งแกร่งหาผู้ใดเทียม!

หมัดเหล็กที่มีพลังเลือดลมราววัตถุจริงห่อหุ้มอยู่ปะทะกับกรงเล็บยักษ์สีดำนั้น ต้านทานกันอยู่ครู่หนึ่ง

ในตอนนี้เอง เจียงวั่งโฉบผ่านมาอีกครั้ง แสงกระบี่กะพริบวาบ ฟันทำลายตาอีกข้างของวิญญาณแค้น

“ถอย!”

เจียงวั่งได้ทีก็ถอยหนีไปไกล ตู้เหยี่ยหู่ก็ดีดตัวถอยไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ส่วนวิญญาณแค้นที่เสียการมองเห็นอยู่ที่เดิมก็ยิ่งเดือดดาล กรงเล็บมหึมากวัดแกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง จนเกิดลมแรงพัดโหมไปทั่วทิศ

รอจนการโจมตีของมันอ่อนแรงลง เจียงวั่งก็ฟันร่างมันอีกครั้ง กระบี่ยาววาดเป็นเส้นโค้งงดงามเส้นหนึ่ง ตกกระทบบนกรงเล็บข้างขวาของวิญญาณแค้นอย่างแผ่วเบาราวกับใบไม้ที่ปลิดปลิว และแทบจะไม่มีเสียง แต่ขณะเดียวกับที่มันสัมผัสโดนกรงเล็บคมสีดำ กลับส่งเสียงแหลมดังสนั่นออกมา!

ท่าสังหารกระบวนที่สามของเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพา เน้นที่ความคม!

เพียงกระบี่เดียว กรงเล็บขวาของวิญญาณแค้นก็ถูกตัดขาด

เจียงวั่งไม่อยู่สู้ต่อ กระทั่งว่าเริ่มถอยหนีในขณะเดียวกับที่ลงกระบี่แล้ว

วิญญาณแค้นสูญเสียการมองเห็น จึงทำได้เพียงระบายอารมณ์กับอากาศตรงหน้าอย่างไม่คิดชีวิต และในตอนนี้ ตู้เหยี่ยหู่ที่ร่างอาบด้วยเลือดลมลุกโชนวกกลับมายังด้านหลังมัน เขากระโดดขึ้นสูง มือซ้ายกุมมือขวา สองมือทำท่าเหมือนค้อน ทุบลงไปที่หัวของวิญญาณแค้นอย่างเหี้ยมเกรียม

ตูม!

เลือดลมพวยพุ่งเดิมทีก็ข่มพวกภูตผีอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการโจมตีนี้ของตู้เหยี่ยหู่ดุดันเพียงใด หมัดที่ห่อหุ้มด้วยพลังเลือดลมเป็นชั้นๆ ระเบิดหัวของวิญญาณแค้นทันที!

ตู้เหยี่ยหู่หลบไม่ทัน ถูกเลือดสีดำสาดใส่ทั้งร่าง แต่พลังเลือดลมก็เผามันมอดไหม้ไปสิ้นอย่างรวดเร็ว

จวบจนร่างไร้หัวของวิญญาณแค้นล้มลง แสงสีแดงบนร่างตู้เหยี่ยหู่จึงค่อยหายไป สีหน้าของเขาซีดเผือดทันใด

เจียงวั่งกระโดดมาข้างกายเขา ประคองเขาเอาไว้ “พี่หู่ นี่ท่าน…”

เลือดลมคือรากฐานของมนุษย์ ในตอนนี้เจียงวั่งรวมรากพลังเต๋าก็ต้องเริ่มจากการถ่ายเลือดลม ความแข็งแกร่งก่อนหน้านี้ของตู้เหยี่ยหู่ ทุกเวลาล้วนเผาไหม้ตัวเอง เขาไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ฝึกวิถียุทธ์โดยเฉพาะ ไม่สามารถกักเก็บเลือดลมได้มากขนาดนั้นอยู่แล้ว ศึกนี้อย่างน้อยเขาก็ต้องพักอย่างน้อยห้าปีถึงจะฟื้นตัวกลับมาได้

เวลาห้าปีของการฝึกบำเพ็ญยาวนานปานใดกัน! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปัญหาที่ว่าเมื่ออายุถึงระดับหนึ่งเลือดลมก็จะเริ่มถดถอยเลย ก้าวหนึ่งช้าทุกก้าวก็ช้า นี่อาจหมายถึงว่านับจากนี้เขาสิ้นวาสนากับระดับเหนือมนุษย์แล้ว

แต่เมื่อครู่นี้ตู้เหยี่ยหู่กลับไม่ชักช้าหรือลังเลแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายคิดอะไรไม่ได้มากขนาดนั้น และยิ่งเป็นการตัดสินใจตามจิตใต้สำนึกเช่นนี้ ก็ยิ่งพิสูจน์ถึงน้ำใจของเขาได้

“เรื่องเล็กน้อย” ตู้เหยี่ยหู่แอบปรับลมหายใจ พอฟื้นกำลังกลับมาได้เล็กน้อยก็ผลักเจียงวั่งออก “ข้ายังไม่ถึงขั้นเดินไม่ไหว ไปเถอะ สถานการณ์ที่ทิศกลางต้องอันตรายกว่าแน่นอน”

หลิงเหอก็เต็มไปด้วยความกังวลเช่นกัน ทว่าเวลาแบบนี้ไม่สะดวกพูดอะไรมาก เขาแบกเจ้าหรู่เฉิงไว้ จากนั้นเดินไปเก็บกระบี่คู่กายของตัวเองที่ซากร่างวิญญาณแค้น คุ้มกันอยู่ข้างกายตู้เหยี่ยหู่เงียบๆ

ก่อนหน้านี้เขาก็แผดเผาเลือดลม แต่แค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ส่งผลถึงรากฐาน ด้วยเหตุนี้จึงยังเหลือพลังสู้

เจียงวั่งในฐานะที่เป็นคนมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งสมบูรณ์ที่สุดในสี่คน ย่อมต้องรักษาความคล่องแคล่วเอาไว้เพื่อให้สะดวกลงมือทุกเวลา เขาจึงแค่ถือกระบี่เดินอยู่ข้างหน้า ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไปประคอง

มีเพียงเจ้าหรู่เฉิงคนเดียวที่ยังบ่นงึมงำไม่หยุด “ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่ละเอียดอ่อนเหมือนเคย เหล่าหู่ซุ่มซ่ามเงอะงะ จริงๆ เลย หิ้วข้าเหมือนลูกไก่ สภาพจะเป็นอย่างไรกัน หากแม่นางเมี่ยวอวี้รู้เข้า ภาพลักษณ์องอาจของข้าไม่พังหมดหรือ”

เมี่ยวอวี้เป็นคนดังของหอสามจรุงในตอนนี้ และเป็นแม่นางที่โด่งดังที่สุดในบรรดาหอคณิกาทั้งเมืองเฟิงหลิน เจ้าหรู่เฉิงพยายามเข้าหานาง ทุ่มหลายพันตำลึงเงินให้กับหอสามจรุง แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จ

ตู้เหยี่ยหู่ไม่พูดจา ไม่ใช่ว่าไม่อยากทุบเขาสักครั้ง หรือไม่อยากด่าสักยก แต่ไม่มีแรงแล้วจริงๆ

“พอเถอะๆ” เจียงวั่งรำคาญ “ที่นี่นอกจากวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีสติปัญญา ก็เป็นวิญญาณแค้นที่สติฟั่นเฟือน เจ้าจะเอาความองอาจให้ใครดู”

“แน่นอนเสียที่ไหน” เจ้าหรู่เฉิงกลับมามีเรี่ยวแรง เขาซบอยู่บนหลังหลิงเหอพลางชี้มือชี้ไม้ “หากมีผีสาวสวยซ่อนตัวกำลังแอบมองข้าอยู่ที่ไหนเล่า วาสนาที่จะได้พบหญิงงามต้องมาสูญเปล่าเช่นนี้ ความเสียหายนี้เหล่าหู่แบกรับไหวหรือ”

ตู้เหยี่ยหู่แทบจะลุกพรวดขึ้นมาจากอาการร่อแร่ แล้วปะทุพลังที่เหลือเพียงน้อยนิดหวดเจ้าคนกวนประสาทคนนี้

ก่อนที่เขาจะระเบิดอารมณ์ หลิงเหอพลิกมือใช้ด้ามกระบี่กันเอาไว้เรียบร้อย

“เฮือก…” เจ้าหรู่เฉิงสูดลมหายใจเย็น เพลิงโทสะหายวับไปทันที

……

กล่าวถึงด้านหลังหมอกหนาบริเวณใจกลางตำบลเสี่ยวหลิน ซึ่งก็คือในทิศกลางของค่ายกลเก้าทิศ

คลื่นวนมหึมาวงหนึ่งกำลังหมุนวนช้าๆ แต่เดิมที่นี่เป็นอะไรก็มองไม่ออกแล้ว ทุกอย่างหายไปในคลื่นวนอันเงียบงัน นอกจากคลื่นวนวงนี้แล้วไม่มีอะไรอื่นอีก ใจกลางคลื่นวนเป็นความมืดสนิท เหมือนสามารถดึงดูดสายตาของทุกคน ใครก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้

ข้างคลื่นวนมีผู้ฝึกตนที่กลิ่นอายลึกล้ำยืนอยู่สี่คน แต่ละคนรากพลังเต๋าเต็มเปี่ยม ทั้งหมดสวมชุดคลุมดำ ดวงตามองตรงไม่วอกแวก

และไม่ไกลจากหน้าคลื่นวน มีห้องที่ถูกทำลายจนเละเทะ ไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือเพียงกำแพงด้านหนึ่งเท่านั้น

สตรีชุดแดงยืนพิงกำแพงนี้อยู่ สีหน้าท่าทางเอื่อยเฉื่อย

นางสวมเสื้อผ้ามิดชิด แต่กลับให้ความรู้สึกเย้ายวนอย่างล้นเหลือกับผู้คน ในมือของนางถือกระจกทรงรีเล็กๆ บานหนึ่ง สิ่งที่ฉายอยู่ในนั้นกลับไม่ใช่ใบหน้าอันงดงามของนาง กลับเป็นร่างที่สู้กับวิญญาณแค้นในค่ายกลเก้าทิศเหล่านั้น

“ศิษย์สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินรุ่นนี้ไม่ค่อยเท่าไรเลย มีแค่วิชากระบี่สองสามกระบวนท่านั่นที่ไม่เลว” สตรีชุดแดงพึมพำพร้อมพลิกมือเก็บกระจกลงไป

“เอาละ ได้เวลาแล้ว ถ้ารู้แต่แรกว่าจะราบรื่นแบบนี้ ข้านอนกลางวันนานสักหน่อยแล้ว” สตรีชุดแดงหาวหวอด พลางเดินเยื้องย่างไปที่หน้าคลื่นวน “ง่วงจัง…”

ครั้นเดินไปถึงตรงหน้าคลื่นวนลึกลับ สีหน้าของนางถึงได้จริงจังขึ้นมาบ้าง ก่อนหันข้างโค้งคำนับอย่างเรียบร้อย “เชิญผู้อาวุโส”

ผู้ฝึกตนชุดคลุมดำทั้งสี่คนก็โค้งคารวะตามนาง

จากนั้นในหมอกหนามีชายชราผมขาวคนหนึ่งเดินออกมา คนผู้นี้ใบหน้าเหี่ยวย่นเหมือนเปลือกไม้เก่า ดวงตาก็ขุ่นมัว หลังโค้งค่อม อีกทั้งเดินกะโผลกกะเผลก

แต่เมื่อเขาเดินมาทีละก้าวๆ หลังก็เหยียดตรงขึ้นมาทีละชุ่นๆ รัศมีอำนาจทั้งตัวเพิ่มขึ้นไม่หยุด

เขาไม่สนใจพวกสตรีชุดแดง เอาแต่จ้องคลื่นวนนั้น เสมือนจ้องมองรักแท้ชั่วนิรันดร์ของตัวเอง สายตาศรัทธาบูชาเป็นอย่างยิ่ง

จนกระทั่งเขาเดินไปถึงหน้าคลื่นวน รัศมีอำนาจก็ลึกล้ำยิ่งใหญ่ กดดันจนคนหายใจไม่ออก

สตรีชุดแดงยิ่งก้มหัวต่ำลงไปอีก

ชายชราผมขาวงอปลายนิ้วนาง นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางทำเป็นสามเหลี่ยมที่ตำแหน่งหัวใจ เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ก้นแม่น้ำลืมเลือน เหวลึกแห่งปรโลก เทวะคืนสู่โลกา ส่องสว่างโลกมนุษย์”

จากนั้นก็ล้วงกริชกระดูกขาวเล่มหนึ่งออกมา แล้วแทงลงบนยอดศีรษะของตนอย่างเด็ดขาดแม่นยำ ก่อนที่ทั้งร่างจะดิ่งลงไปในคลื่นวน!

………………………………………………………