ตอนที่ 398 วิชาลับของเฉิงเจ็ด

พันธกานต์ปราณอัคคี

“สหายเต๋าเฉิงมีอะไรกำชับหรือ” มั่วชิงเฉินพอจะรับรู้ว่าเฉิงหรูยวนมีเรื่องขอร้อง แต่ยังคงอมยิ้มถามขึ้นมา 

 

 

เป็นไปตามที่คาดไว้คำพูดต่อมาของเฉิงหรูยวนพิสูจน์การคาดเดาของนาง “ตัวข้าสกุลเฉิงเห็นแม่นางมั่วดูเหมือนจะลอยตัวกลางอากาศได้” 

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มแย้มมองเขา แต่ไม่ได้ปฏิเสธ 

 

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้นางไม่ได้จงใจปิดบังเรื่องที่ตนสามารถลอยตัวกลางอากาศแม้แต่น้อย เฉิงหรูยวนจะเห็นก็ไม่ถือว่าแปลก 

 

 

“ไอแห่งวิญญาณเซียนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ยามที่ใช้ลูกคิดพิฆาตฟ้าจัดการไออากาศแล้วนั้น หากว่ามีสมบัติวิเศษชนิดอื่นสร้างคลื่นพลังวิญญาณเกรงว่าจะก่อให้เกิดการรบกวน อาจถึงขั้นเรือล่มเมื่อจอด กัดกลืนร่างกายตนเอง ฉะนั้นตัวข้าสกุลเฉิงขอให้แม่นางมั่วพาข้าขึ้นไป” เฉิงหรูยวนพูดไปพลางพิจารณาท่าทีของมั่วชิงเฉินไปพลาง 

 

 

อย่างไรซะหากต้องให้มั่วชิงเฉินพาเขาขึ้นไป ทั้งสองคนย่อมต้องมีการสัมผัสทางผิวหนังเป็นแน่ ไม่รู้ว่านางที่เป็นสตรีจะยินยอมหรือไม่ 

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มแย้มด้วยจิตใจที่เปิดเผย ยื่นมือออกมาอย่างใจกว้าง “ไม่มีปัญหา สหายเต๋าเฉิงจำต้องปล่อยมือว่างทั้งสองข้างหรือไม่” 

 

 

ใจเฉิงหรูยวนอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มแย้ม “มือข้างเดียวก็พอแล้ว” 

 

 

มั่วชิงเฉินลอบคิดว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากเขาต้องการให้มือว่างทั้งสองข้างตนเองทำได้เพียงอุ้มเขาขึ้นไป ทำเช่นนี้เพียงแค่จับมือเขาไว้ก็พอแล้ว 

 

 

สายตาของเฉิงหรูยวนทอดมองลงที่มือขาวดุจหยกแสนอ่อนโยนข้างนั้น อดนึกตื่นเต้นอย่างไร้เหตุผล ลอบสูดลมหายใจลึกแล้วถึงยื่นมือออกไปจับช้าๆ  

 

 

นิ้วมือเย็นเล็กน้อยทำให้มือซ้ายของเขาสั่น แต่กลับถูกมั่วชิงเฉินจับไว้แน่น “สหายเต๋าเฉิง ข้าจะพาท่านขึ้นไปแล้ว ท่านเตรียมตัวให้ดี” 

 

 

เห็นเฉิงหรูยวนพยักหน้า มั่วชิงเฉินสะกิดปลายเท้าพาเขาค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า 

 

 

หลังจากที่ลอยขึ้นไปกว่าสิบจั้งแล้วนั้นก็พอจะสัมผัสได้ถึงไอแห่งวิญญาณเซียนที่ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ 

 

 

“แม่นางมั่ว อีกครู่ท่านเพียงทำให้ร่างของข้ามั่นคงก็พอ อย่าได้เคลื่อนที่เป็นเด็ดขาด และไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องอื่น” เฉิงหรูยวนเอ่ยกำชับเสียงทุ้ม 

 

 

“สหายเต๋าเฉิงโปรดวางใจ ข้าน้อยรับทราบ” มั่วชิงเฉินพูดขึ้นเรียบๆ 

 

 

เฉิงหรูยวนรู้สึกเบาใจ จากที่เริ่มเข้าใกล้ไอแห่งวิญญาณเซียนมากยิ่งขึ้นโยนลูกคิดพิฆาตฟ้าขึ้นไปกลางท้องฟ้า ลูกคิดไข่มุกสีแดงอมชมพูยิงแสงสีแดงอมทองออกมาในทันใด 

 

 

ริมฝีปากของเฉิงหรูยวนกระตุกเล็กน้อย ปากพูดพึมพำติดต่อกัน มือข้างขวาที่ว่างกรีดเส้นโค้งหลากหลายองศาขึ้นกลางอากาศ เกิดเป็นแสงวิญญาณหลายสายจมหายเข้าไปในลูกคิด 

 

 

จากนั้นเขาใช้มือเดียวขยับเม็ดลูกคิด การกระทำเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว หลังจากที่ขยับกว่าสิบครั้งเม็ดลูกคิดจู่ๆ ส่องแสงวิญญาณออกมาสายหนึ่ง รวมกันเป็นมือขนาดใหญ่กลางอากาศ รวบไอแห่งวิญญาณเซียนเข้ามาไว้ข้างบนแล้วค่อยๆ กลายเป็นอุโมงค์สายหนึ่ง 

 

 

“แม่นางมั่ว ลอยขึ้นข้างบนอีกหนึ่งจั้งครึ่ง” เฉิงหรูยวนพูด 

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อย พาเฉิงหรูยวนค่อยๆ ลอยขึ้นไปข้างบนอีกหนึ่งจั้งครึ่ง 

 

 

เฉิงหรูยวนหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วเริ่มการกระทำเหมือนก่อนนี้อีกครั้ง 

 

 

ทั้งสองคนลอยๆ หยุดๆ มีบางครั้งที่ต้องลอยขึ้นไปสูงกว่าสองสามจั้ง มีบางครั้งที่เคลื่อนที่แนวระนาบอีกสองสามจั้ง แล้วมีบางครั้งที่จะต้องลอยขึ้นไปอีกสองสามจั้งตามระยะที่กำหนดเป็นพิเศษ ไม่ได้เป็นรูปแบบเดียวเท่านั้น 

 

 

แต่มั่วชิงเฉินพบว่าทุกครั้งที่เฉิงหรูยวนหยุดอยู่นิ่งยิ่งนานขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสุดท้ายยังต้องรวบรวมสมาธิขมวดคิ้วใช้เวลาครุ่นคิดนานกว่าจะขยับเม็ดลูกคิด และท่าทางการจะขยับเม็ดลูกคิดก็ยิ่งช้าลงเรื่อยๆ  

 

 

เหมือนว่าจะเม็ดลูกคิดเหล่านั้นมีน้ำหนักกว่าร้อยกิโล ทุกครั้งที่ขยับต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี 

 

 

โดยเฉพาะยามที่อยู่ห่างจากดอกสำลีตกสวรรค์ไม่ถึงคืบ เฉิงหรูยวนหยุดนิ่งกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว 

 

 

เขามีท่าทีเคร่งเครียด ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น สายตาจ้องเขม็งไม่ขยับไปยังลูกคิดที่ลอยอยู่กลางอากาศ ปากพึมพำร่ายบริบทอยู่นานถึงได้ขยับเม็ดลูกคิดสักครั้งหนึ่ง เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผาก ตกลงมาบนมือมั่วชิงเฉินอย่างพอดิบพอดี 

 

 

มั่วชิงเฉินรวบรวมตั้งสมาธิ ไม่กล้ามีการกระทำอะไรที่จะทำให้เขาเสียสมาธิ 

 

 

ในที่สุดหลังจากที่เฉิงหรูยวนครุ่นคิดนานกว่าครึ่งชั่วยามเขาถึงจะขยับเม็ดลูกคิด ครั้งนี้ที่เม็ดลูกคิดถูกขยับทั่วทั้งแผงลูกคิดจู่ๆ ก็ประกายแสงจัดจ้าออกมา จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ค่อยๆ รวมตัวกันกลางอากาศ ด้วยทิศทางมือที่ขยับไปมาทำให้เกิดแสงวิญญาณลอยตามไป ไอแห่งวิญญาณเซียนที่หนาแน่นเหล่านั้นค่อยๆ ถูกผลักไปอีกทาง 

 

 

“แม่นางมั่ว เร็วเข้า พาข้าขึ้นไป!” เฉิงหรูยวนพูดอย่างเร่งรีบ 

 

 

เลือดสดแดงแสบตาสายหนึ่งไหลลงมาจากมุมปากเฉิงหรูยวน สายตาของมั่วชิงเฉินทอดมองไปตรงนั้นประกายแสงเล็กน้อย แต่กลับพาเข้าขึ้นไปข้างบนอย่างไม่ลังเล 

 

 

ในขณะที่พาขึ้นไปข้างบนนั้นจู่ๆ เฉิงหรูยวนก็นำของสิ่งหนึ่งออกมา ไม่รอให้มั่วชิงเฉินเห็นชัดว่าคืออะไร ของสิ่งนั้นก็ประกายแสงวิญญาณสายหนึ่งออกมาและวิ่งวนรอบต้นไม้ จากนั้นก็ตกเข้ามาในมือเขาอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

เมื่อมั่วชิงเฉินมองไป ในมือเฉิงหรูยวนก็มือกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา บนนั้นมีดอกสำลีตกสวรรค์สีแดงขนาดเท่าปากถ้วยอยู่ดอกหนึ่ง ของสิ่งนั้นหายลับไปไม่เห็นเงา 

 

 

ในเวลานี้นี่เองแสงวิญญาณสีรุ่งสายหนึ่งพุ่งขึ้นท้องฟ้า ส่องแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้า 

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึงไปเล็กน้อยแสงวิญญาณที่น่าตะลึงเช่นนี้คาดว่าคนทั่วทั้งพื้นคงจะเห็นกันหมดแล้ว นี่คือปรากฏการณ์ประหลาดที่เฉิงหรูยวนพูดตอนแรกเช่นนั้นหรือ 

 

 

“แม่นางมั่ว รีบลงไป!” 

 

 

ดอกสำลีตกสวรรค์ที่ถูกเด็ดลงมาด้วยสมบัติวิเศษได้ทำลายอุโมงค์ที่ถูกจัดเรียงเมื่อครู่นี้จนหมดสิ้น ภายในนั้นถูกไอแห่งวิญญาณเซียนเข้าไปครอบคลุมใหม่อีกครั้งโดยเร็ว และเขาก็ไม่มีกำลังที่จะขับเคลื่อนลูกคิดพิฆาตฟ้าเพื่อการคำนวณอีกแล้ว 

 

 

มั่วชิงเฉินจับมือของเฉิงหรูยวนแน่นรีบพาเขาลงไป ด้วยความเร็วในการลงของพวกเราทำให้รู้สึกได้ถึงไอแห่งวิญญาณเซียนด้านบนที่รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เกือบจะพุ่งเข้ามาโดนร่างกายเขา 

 

 

ร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรหรือมนุษย์ธรรมดา หากถูกไอแห่งวิญญาณเซียนรอบล้อมย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความอันตรายที่จะตัวระเบิดตาย 

 

 

เฉิงหรูยวนหน้าซีดเผือดแต่ท่าทียังคงใจเย็นอย่างผิดปกติ มือทั้งสองข้างรวบกอดมั่วชิงเฉินไว้ในทันใด พูดเบาๆ ว่าขออภัย ร่างกายประกายแสงสว่างขึ้นมา 

 

 

จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่าร่างกายเหมือนหนักขึ้นกว่าร้อยกิโล ความเร็วที่ร่อนตัวลงกลายเป็นเร็วมากยิ่งขึ้น แทบจะภายในเสี้ยวพริบตาเดียวก็ตกลงมาถึงบนพื้น 

 

 

“สหายเต๋าเฉิง เจ้า?” มั่วชิงเฉินหอบหายใจน้อย  

 

 

เฉิงหรูยวนกลับเข้าใจความหมายของมั่วชิงเฉินผิด พูดอย่างแฝงความเขินอายออกมา “แม่นางมั่ว ขออภัยด้วย เมื่อครู่นี้จำต้องกระทำเพราะการณ์ด่วน ตัวข้าสกุลเฉิงแสดงวิชาลับ ขออภัยที่ล่วงเกินแล้ว” 

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึงไปเล็กน้อยถึงพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่แปลกใจเหตุใดเมื่อครู่นี้ถึงได้รู้สึกเหมือนมีภูเขาใหญ่กดทับ กำลังมหาศาลเช่นนั้นดึงให้ข้าตกลงไป ที่แท้เป็นวิชาลับของสหายเต๋าเฉิงนี่เอง” 

 

 

เฉิงหรูยวนยิ้ม “ขอบคุณแม่นางมั่วที่เข้าใจ” 

 

 

พูดจบสายตาก็ทอดมองไปยังดอกสำลีตกสวรรค์บนมือ มืออีกข้างพลิกปรากฏเป็นกล่องหยกสีฟ้าอ่อน เขาเด็ดดอกสำลีตกสวรรค์บนกิ่งไม้ออกอย่างระมัดระวัง แล้วนำไปเก็บในกล่องหยก 

 

 

มองดูกิ่งไม้ที่ว่างเปล่ามั่วชิงเฉินเกิดฉุกคิด ใช้น้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจพูดขึ้นว่า “สหายเต๋าเฉิง ท่านเด็ดดอกไม้แล้ว หากกิ่งไม้นี้ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้ว่ามอบให้ข้าได้หรือไม่” 

 

 

ในเวลานี้คนอื่นก็เข้ามาล้อมรอบ ได้ยินคำขอของมั่วชิงเฉินก็อดขำออกมาไม่ได้ 

 

 

แม่นางจอมพิษหัวเราะเสียงหวาน “คุณชายเฉิง สหายเต๋ามั่วช่วยเหลือท่านมากมายเช่นนี้ ท่านให้เพียงกิ่งไม้ว่างเปล่ากิ่งเดียวจะสมฐานะได้อย่างไร มิเช่นนั้นไปเด็ดดอกไม้อีกสักดอก ข้าเห็นว่าบนนั้นยังมีดอกสำลีตกสวรรค์สีแดงอีกหลายดอก ท่านไปเด็ดมาอีกสักสองสามดอก ถึงเวลานั้นคู่แข่งจะได้น้อยลง” 

 

 

มือข้างที่ยื่นกิ่งไม้ออกไปของเฉิงหรูยวนชะงักค้างกลางอากาศ เห็นมุมปากมั่วชิงเฉินประดับยิ้มบางก็ไม่ได้มีอาการขุ่นเคืองอะไร ถึงได้พูดด้วยท่าทีจริงใจ “แม่นางมั่วช่วยเหลือตัวข้าสกุลเฉิงมากเช่นนี้ ตัวข้าสกุลเฉิงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก แต่ลูกคิดพิฆาตฟ้านี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวข้าที่อยู่ในระดับนี้สามารถบังคับได้ วันนี้ใช้พลังใจทั้งหมดขับเคลื่อนไปครั้งหนึ่งก็สาหัสปราณดั้งเดิมมากแล้ว เกรงว่าสิบวันถึงครึ่งเดือนจะสามารถใช้ใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่หากพวกเราอยู่ที่นี่ต่อไปก็จะเกิดวิตกตามมาไม่ขาดในภายหลัง” 

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “สหายเต๋าเฉิงไม่จำเป็นต้องใส่ใจเช่นนี้ แม่นางจอมพิษเพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ข้าน้อยเพียงรู้สึกว่าดอกสำลีตกสวรรค์หายากมหัศจรรย์เกินไป คิดจะศึกษากิ่งก้านของมันว่ามีอะไรพิเศษเท่านั้นเอง พวกเราช่วยท่านให้ได้รับดอกสำลีตกสวรรค์แต่เดิมก็ถือเป็นเรื่องที่ตกลงกันมาก่อนแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีความต้องการที่ต่างกัน” 

 

 

หลังจากเรื่องสำเร็จ การที่ได้รับสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งบวกกับวิชาลับชนิดหนึ่งก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่ไม่เล็กแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นคือความรู้ที่มากขึ้น 

 

 

จะพูดว่าผู้บำเพ็ญเพียรอยากครอบครองทรัพยากรการฝึกบำเพ็ญตบะที่มากขึ้นก็ไม่ผิด แต่มีข้อห้ามคือคำว่าละโมบ ไม่ว่าเรื่องอะไรหากทำเกินไป เกิดละโมบ กำเนิดความอยาก จะสูญเสียซึ่งความตั้งใจเดิม นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความคิดสู่ทางเซียน ความคิดสู่ทางมาร 

 

 

มั่วชิงเฉินคิดอยากครอบครองให้มากขึ้น เดินให้ไกลมากขึ้น แต่ก็ระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองนั้นครอบครองเยอะมากพอแล้ว อีกทั้งมีแล้วต้องรักษา ไม่อาจปล่อยให้ความละโมบทำงาน กลับมากัดกลืนจิตใจเดิม 

 

 

ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉินริมฝีปากของเฉิงหรูยวนขยับเล็กน้อย สุดท้ายก็เพียงแต่ส่งกิ่งไม้ว่างเปล่านั้นไปให้ พูดกับทุกคนว่า “สหายเต๋าทุกท่าน พวกเรารีบออกไปโดยเร็วเถิด เมื่อครู่ตอนเด็ดดอกสำลีตกสวรรค์ ปรากฏการณ์ประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว กลุ่มที่เข้ามาในเขตพื้นที่นี้เกรงว่าคงเห็นกันหมด บนต้นไม้ยังมีดอกงิ้วสีแดงอีกสี่ดอก พวกเราออกไปตอนนี้พวกเขาก็ไม่อาจไล่ตามทัน” 

 

 

ภารกิจสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว ใครจะยอมให้เกิดสิ่งไม่คาดฝันยามที่ปัญหาใกล้ลุล่วง รีบพูดเออออเห็นด้วย 

 

 

“เขตบริเวณที่มีดอกสำลีตกสวรรค์จะไม่มีวงแหวนสีขาว พวกเราเลือกวงแหวนสีเขียวใดก็ได้เข้าไปยังเขตพื้นที่อื่น แล้วค่อยกลับไป” เฉิงหรูยวนพูดพลางวิ่งไปยังช่องว่างหุบเขาตอนขามา 

 

 

ช่องว่างหุบเขาทั้งแคบและยาว รองรับได้เพียงหนึ่งคนเดินผ่านเท่านั้น ทุกคนกำหนดสมาธิตั้งมั่นเดินตรงไป ยิ่งเข้าใกล้ทางออกก็ยิ่งหวาดระแวง เพราะช่องเขาเส้นนี้สามารถพูดได้ว่าเป็นถนนแห่งความตายที่อันตรายมากที่สุด หากมีกลุ่มอื่นตามมา พวกเขาอาจจะเลือกตั้งป้อมด้านนอก รอลอบโจมตีกลุ่มคนที่ออกมาจากการเด็ดดอกสำลีตกสวรรค์จากข้างใน 

 

 

มั่วชิงเฉินเดินตรงกลาง ในใจแอบค่อนขอดว่าด้วยความฉลาดเฉลียวของเฉิงหรูยวนคงจะไม่พลาดในการคิดถึงเรื่องนี้ เหตุใดตัวเขาที่เป็นผู้นำกลุ่ม แล้วยังมีดอกสำลีตกสวรรค์อยู่ที่ตัวถึงได้เลือกเดินข้างหน้าสุด 

 

 

ยามที่เริ่มเข้าใกล้ทางออกจู่ๆ เฉิงหรูยวนก็หมุนตัวกลับมา ใช้มือแสดงท่าทีให้ทุกคนหยุด แล้วตนเองจึงเดินก้าวขึ้นไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง 

 

 

มั่วชิงเฉินและคนอื่นหยุดอยู่กับที่ นิ่งเงียบมองเขา 

 

 

เห็นเฉิงหรูยวนประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แสงวิญญาณบนร่างประกายเป็นวงรอบ หลังจากลมหายใจครั้งที่สิบมือทั้งสองข้างของเขาก็มีแสงวิญญาณเส้นบางที่รวมตัวกันเส้นหนึ่ง แล้วสะกิดไปยังหน้าผากในฉับพลัน แสงวิญญาณเส้นนั้นจมหายเข้าไปกลางหว่างคิ้ว 

 

 

จากนั้น สิ่งที่ทำให้ต้องตกตะลึงตาค้างก็บังเกิดขึ้น ข้างกายเฉิงหรูยวนนั่นเองจู่ๆ เกิดมีคลื่นสั่นไหวของแสงวิญญาณระลอกหนึ่ง และมีเฉิงหรูยวนอีกร่างปรากฏขึ้น 

 

 

เฉิงหรูยวนร่างใหม่ที่ปรากฏขึ้นหันมาส่งยิ้มบางๆ ให้ทุกคน รอยยิ้มที่แฝงความโอหังนั้นแทบไม่แตกต่างอะไรจากเฉิงหรูยวนในตอนแรก เหมือนกับเป็นร่างแยกในกระจกอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

มั่วชิงเฉินตื่นตะลึงอย่างมาก หรือนี่จะเป็นวิชาลับแยกร่าง 

 

 

คิดได้ถึงเรื่องนี้สายตาที่หันไปมองเฉิงหรูยวนก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในสิบทวีปบูรพาศิษย์คนสำคัญของตระกูลดังเช่นเขาล้วนถือครองวิชาลับคนละอย่างสองอย่างเช่นนั้นหรือ หากว่าใช่ก็ไม่อาจประเมินใครต่ำได้อีกต่อไป 

 

 

ในเสี้ยวนาทีที่ทุกคนตื่นตะลึงอยู่นั้นเองเฉิงหรูยวนที่ปรากฏตัวขึ้นมาส่งยิ้มให้น้อยๆ สืบเท้าก้าวเดินออกไป