ตอนที่ 214 ฟู่เสี่ยวกวนเลื่อนขั้น

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 214 ฟู่เสี่ยวกวนเลื่อนขั้น

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนนำมือประสานกันแล้วก้มหน้าลง มิมีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่

น่าสงสารยิ่งนักเจ้าหนุ่ม อายุยังน้อยแต่กลับถูกข้าบีบบังคับเสียจนเป็นเช่นนี้ เขามิได้มีเพื่อนฝูงอื่นใดที่เมืองหลวง ช่างโดดเดี่ยวเสียจริง

แต่นี่คือชายหนุ่มที่ราชวงศ์หยูต้องการ !

ไม่ข้องเกี่ยวสิ่งยั่วยุ รู้จักที่ต่ำที่สูง รู้ผิดรู้ถูก เข้าใจถึงหลักการอย่างถ่องแท้

อีกทั้งที่สำคัญ เขามีความรู้อยู่มากมาย !

มิต้องเอ่ยถึงนโยบายแก้ไขอุทกภัย เพียงแค่เรื่องสุราที่นำส่งให้วังหลวงหลวงก็สร้างรายได้แก่จวนฟู่มากโข เวิ่นหวินกล่าวว่าสุรานี้เขาเป็นผู้คิดค้นเอง ยอดสุราซีซานนั้นรสเลิศกว่าสุราเทียนเซียงมากนัก เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาเขาก็ได้ผลิตสบู่หอมขึ้น หลังจากใช้สิ่งนี้อาบน้ำช่างทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นยิ่ง หากพรมน้ำหอมเพิ่มขึ้นสักหน่อยก็จะยิ่งสดชื่นขึ้น ข้าจำได้ว่าในคืนนั้นพระสนมซั่งใช้สบู่ชำระร่างกายแล้ว วรกายนางนุ่มลื่นกว่าทุกครา…

นี่คือความสามารถอย่างแท้จริง เดิมทีฮ่องเต้มิได้คิดว่าเขาพิเศษแต่อย่างใด แต่บัดนี้ชี้ชัดแล้วว่าเขาผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก ! เนื่องจากหลายสิ่งนี้คนอื่น ๆ กลับคิดไม่ถึง หรือคิดได้แต่ก็มิสามารถลงมือทำได้สำเร็จ

ฮ่องเต้หวนนึกถึงประโยคที่เวิ่นหวินเอ่ยกับพระสนมซั่งหลังกลับมาจากซีซาน

คล้ายกับมีประโยคหนึ่งที่ว่า ‘ หากประเทศใดให้ความสำคัญกับการค้า และยกตำแหน่งพ่อค้าให้สูงขึ้นได้ ประเทศนั้นจะรุ่งเรืองยิ่ง ’

แน่นอนว่านี่มิใช่ความคิดของหยูเวิ่นหวิน เห็นได้ชัดว่าความคิดนี้มาจากฟู่เสี่ยวกวนอย่างแน่แท้

เขาได้กล่าวสิ่งใดกับเวิ่นหวินอีกบ้าง ?

อืม เรื่องนี้ต้องไปสอบถามเวิ่นหวินให้รู้ความเสียแล้ว มองดูแล้วเขาผู้นี้ฉลาดพอควร

หากเขามีวิธีจัดการกับเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาที่ราชวงศ์หยูได้พบเจอคงจะจัดการได้เสียที อีกทั้งนโยบายยี่สิบคำของข้าอาจจะทำให้เป็นจริงได้

เมื่อทรงคิดได้ดังนั้น ฮ่องเต้ก็ตรัสออกมาว่า “เรื่องการแก้ไขปัญหาที่แม่น้ำหวงเหอ ค่อยตัดสินในภายหลัง”

เมื่อได้ยินดังนั้น ปี้ตงและต่งคังผิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หากฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยยืนยันความคิดของพระองค์ เกรงว่าจะจัดการได้ยาก ราชวงศ์หยูมิอาจขึ้นภาษีได้อีกแล้ว สิ่งนี้ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ในแต่ละปีภาษีของราชวงศ์หยูมีตัวเลขคงที่ อีกทั้งยังต้องดูว่าปีนั้นผลผลิตดีหรือไม่

เสนาบดีทั้งสองกลับสู่ที่นั่งตน ฮ่องเต้เองก็ทรงกลับไปประทับ ณ เก้าอี้มังกร ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะตรัสว่า “เทศกาลฤดูหนาว ณ ราชวงศ์อู่ ในเมื่อเหวินตี้เอ่ยนามเชิญฟู่เสี่ยวกวน… ฟู่เสี่ยวกวน…”

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังก้มหัวครุ่นคิดเรื่องที่ซูเจวี๋ยรื้อวัดฟูจื่อเมื่อวาน จู่ ๆ ก็ได้ยินฮ่องเต้ขานชื่อตนจึงได้รีบเงยหน้าขึ้นตอบรับว่า “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”

เขาเหม่อลอยอะไรกัน ? ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว คณะขุนนางมองไปยังเขา ฮ่องเต้มิทรงชื่นชอบเขาจริง ๆ ด้วย หรือฮ่องเต้จะรอให้เขาเดินทางกลับมาแล้วจึงลงโทษกัน ?

มีความเป็นไปได้มากทีเดียว เนื่องจากหากบัดนี้ฝ่าบาทสั่งประหารเขา จะเอ่ยกับเหวินตี้เยี่ยงไร คงจะส่งผลต่อมิตรภาพของทั้งสองประเทศเป็นแน่

“งานชุมนุมวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู่ในครั้งนี้มีเจ้าเป็นผู้นำ ประเดี๋ยวข้าจะมอบหมายอำนาจแก่เจ้า จงคัดสรรนักเรียนจำนวน 100 คน งานชุมนุมครั้งนี้เกี่ยวกับวรรณกรรม แท้จริงแล้วถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษาของไทเฮา ดังนั้น…กรมพิธีการจงส่งขุนนางติดตามไปด้วย เป็นตัวแทนราชวงศ์หยูเข้าร่วมยินดี เรื่องนี้ขอมอบหมายให้เสนาบดีชือเป็นผู้จัดการ จงเขียนรายการของกำนัลให้ข้าดูเสียก่อน”

เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้มาก่อนแล้วจึงมิได้ตกใจอะไร ในขณะที่เขากำลังแทรกตัวเข้าไปรับราชโองการนั้นก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสต่อไปว่า “หลังจากข้าครุ่นคิดอยู่นาน ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นตัวแทนราชวงศ์หยูและได้เดินทางไปในครานี้ ตำแหน่งฉาวซ่านต้าฟูดูต่ำต้อยเสียเกินไป…”

เมื่อฝ่าบาทตรัสคำนี้ออกมา ขุนนางทั้งหลายก็พากันแตกตื่น และคอยฟังฮ่องเต้ว่าจะตรัสสิ่งใดออกมาต่อ

เหตุผลนี้ดูไปก็สมเหตุสมผล…เพียงแต่ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่เดินทางไปร่วมงานเท่านั้น เดิมทีเขาก็มีความสามารถอยู่แล้ว นี่ก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ ? เหตุใดจึงต้องเลื่อนขั้นให้แก่เขาด้วย ?

หรือฝ่าบาทจะทรงยกเขาขึ้นไปให้สูงก่อนที่จะปล่อยให้ตกสู่ดิน ?

ทรงต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนผ่อนคลายความกังวล และทำหน้าที่ทูตให้ดีที่สุด และเมื่อเดินทางกลับมาแล้วค่อยเชือดเขางั้นรึ ?

ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็ดีใจขึ้นมาทันที นี่เขาจะได้เลื่อนขั้นงั้นรึ ?

“ดังนั้น ข้าตัดสินใจว่าจะมอบตำแหน่งหยินชิงกวงลวี่ต้าฟูแก่ฟู่เสี่ยวกวน พวกท่านคิดว่าเยี่ยงไร ?”

เมื่อฝ่าบาทตรัสจบ เสียงจากด้านล่างก็เริ่มดังขึ้น

ตำแหน่งหยินชิงกวงลวี่ต้าเทียบเท่ากับขุนนางขั้นสามทีเดียว !

แม้จะเป็นเหวินซ่านกวน แต่ก็เป็นขั้นสาม !

เจ้าหนุ่มนี่เลื่อนขั้นทีเดียวสามขั้น…ฮ่องเต้ยกเขาขึ้นสูงเกินไปหรือไม่ ?

อีกทั้งเขายังมิได้ทำคุณงามความดีใด ๆ ยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเอาชนะนักกวีแห่งราชวงศ์อู่ได้หรือไม่ !

“กระหม่อม…ขอคัดค้านพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เยี่ยนเป่ยซีก้าวขึ้นมา

ฮ่องเต้จ้องไปที่เขาตาเขม็ง ตาเฒ่านี่เรื่องมากเสียจริง !

เพียงแค่ตำแหน่งเหวินซ่านกวนขั้นสามเท่านั้นมิใช่หรือ ? ฟู่เสี่ยวกวนช่วยข้าจัดการเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เพียงแต่ขุนนางคนอื่น ๆ มิรู้เท่านั้น ! เยี่ยนเป่ยซี เจ้ารู้อยู่แก่ใจ เหตุใดยังลุกขึ้นมาขัดขวางข้ากัน !

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ โปรดรับฟังความคิดเห็นของกระหม่อม”

ฮ่องเต้ทรงเอนพระวรกายไปที่เก้าอี้มังกรแล้วเสตามองมาทางเขา “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ลองกล่าวมา”

“กระหม่อมคิดเห็นว่า ฟู่เสี่ยวกวนยังอายุมิเต็มสิบเจ็ดปี เรื่องของอายุนั้น…อาจจะดูน้อยไปสักหน่อย แต่เขามีความสามารถสร้างคุณประโยชน์ไม่น้อย แน่นอนว่าควรได้รับการเลื่อนขั้น เพียงแต่มิควรเลื่อนทีละหลายขั้น เนื่องจากความสามารถของเขาบัดนี้ยังมิเพียงพอต่อการเลื่อนขั้นสามขั้น อีกทั้งฝ่าบาททรงลองไตรตรองดูว่า หากฟู่เสี่ยวกวนทำคุณงามความดีกลับมา พระองค์จะทรงประทานรางวัลแก่เขาเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ?”

อืม…นั่นสิ ตาเฒ่าผู้นี้กล่าวมีเหตุผล ข้ารีบร้อนไปเองจริง ๆ เขายังมีอนาคตอีกยาวไกล โอกาสในการเลื่อนขั้นมีอีกมากนัก หากต่อไปเขาทำคุณงามความดีอีก คงมิมีตำแหน่งจะเลื่อนให้แก่เขาแล้ว

“ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนกล่าวมามีเหตุผล เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าควรมอบตำแหน่งใดแก่เขา ?”

“กระหม่อมคิดเห็นว่า ควรให้ตำแหน่งเสมียนกลางเจี้ยนอี้ต้าฟู ! ”

เมื่อเยี่ยนเป่ยซีกล่าวจบ ขุนนางคนอื่น ๆ ก็ฮือฮากันขึ้นมาอีกครั้ง

ตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟูเป็นตำแหน่งขั้นสี่ แต่แตกต่างกันอย่างชัดเจน !

นั่นหมายความว่าเขาได้เข้ามาสู่ใจกลางและสามารถแตะต้องเรื่องราวต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังมีสิทธิ์ในการร่วมพัฒนาประเทศ คล้ายกับเลขาธิการของอัครมหาเสนาบดี มีหน้าที่ร่างนโยบายต่าง ๆ

ตำแหน่งนี้อาจไม่ใหญ่โต แต่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของประเทศยิ่งนัก และหากเขาเติบโตในหน้าที่นี้ ในอนาคตอาจจะได้เข้าร่วมอย่างเต็มตัวก็เป็นได้ และกลายเป็นหนึ่งในเสนาบดีทั้งหก อีกทั้งการมีส่วนร่วมในการเมือง

มองจากภายนอกแล้ว เยี่ยนเป่ยซีลดตำแหน่งของเขาลงถึงสองขั้น แต่ขุนนางทั้งหลาย ร้อนรนใจเช่นนี้เนื่องจากมองออกว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนต้องการฟู่เสี่ยวกวนมาร่วมทำงานด้วย !

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาเคยได้ยินเยี่ยนเป่ยซีเอ่ยกับเขาถึงเรื่องตำแหน่งนี้ที่จวนเยี่ยน คาดมิถึงว่าเขาจะเสนอความคิดเห็นนี้มาต่อหน้าฮ่องเต้

เขามองไปยังฮ่องเต้ที่กำลังนำมือลูบไปที่เคราและทรงขมวดคิ้ว

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ช่วงนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ศึกษาเกี่ยวกับตำแหน่งของขุนนางต่าง ๆ และเข้าใจถึงคำว่าเสมียนกลางดี หากเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวเกรงว่าจะไม่เป็นอิสระ

ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน ฝ่าบาทก็ทรงตรัสขึ้นมาว่า

“ข้าเห็นด้วย ! ตกลงตามนี้ ฟู่เสี่ยวกวนรับตำแหน่งเสมียนกลางเจี้ยนอี้ต้าฟู…เพียงแต่หากการเดินทางไปราชวงศ์อู่ในครานี้ไปในนามของเจี้ยนอี้ต้าฟูเกรงว่าจะมิเหมาะสมนัก อืม เช่นนั้นฟู่เสี่ยวกวนจงรับตำแหน่งไท่จงต้าฟู และใช้ตำแหน่งนี้ในการเป็นตัวแทนเดินทางไปร่วมงานวรรณกรรม ณ ราชวงศ์หยู ก่อนและหลังการเดินทางไปราชวงศ์อู่ ฟู่เสี่ยวกวนจงรอคำสั่งของเสมียนกลาง”

ขุนนางเหล่านั้นยิ่งส่งเสียงอึกทึกขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนได้รับสองตำแหน่งในคราเดียวงั้นรึ !

ตำแหน่งไท่จงต้าฟูเหมาะสมแก่การใช้เดินทางไปราชวงศ์อู่ แต่อีกตำแหน่งคือเจี้ยนอี้ต้าฟูนั้นก็ไม่ธรรมดา ! หรือฝ่าบาทจะไม่ทรงมีพระประสงค์ลงโทษเขากัน ?

หรือฝ่าบาททรงลืมไปแล้วว่าน้องชายของตนยังสลบไสลอยู่ที่โรงหมอหลวง ?

แต่ตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟูนั้นเยี่ยนเป่ยซีเป็นผู้เสนอออกมา ขุนนางต่าง ๆ จึงมิกล้าคัดค้าน บัดนี้พวกเขาทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาซุบซิบกัน และสบถออกมาอย่างมิพอใจ

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หากเขาต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของราชวงศ์หยู ก็จำเป็นต้องรับตำแหน่งนี้ แม้เจี้ยนอี้ต้าฟูจะไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่ก็มีสิทธิ์ในการแนะนำ หากเขาสามารถชี้นำเยี่ยนเป่ยซีได้ เขาก็สามารถทำตามแผนที่ต้องการได้ ซึ่งการจะเปลี่ยนแปลงราชวงศ์หยูก็ทำได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงยิ้มขึ้นมา

“ทุกท่าน โปรดหลีกทางให้ข้าด้วย”

เขาเบียดกับผู้คนจนถึงด้านหน้า แล้วคุกเข่าลงไป “กระหม่อมฟู่เสี่ยวกวน ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หยูยิ่นมองดูฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ตรงหน้า เขายิ่งมองยิ่งถูกใจนัก แม้แต่เยี่ยนเป่ยซีเองก็รู้สึกเช่นกัน ในครั้งนี้ชายชราคนนี้ช่วยเขามากจริง ๆ คงจะคิดได้แล้วสินะ

“ข้าคาดหวังไว้กับเจ้ามาก หวังว่าต่อไปนี้เจ้าจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้แก่ราชวงศ์หยู ! อย่างสุดความสามารถ”

“กระหม่อมขอสละชีวิตเพื่อฝ่าบาท เพื่อราชวงศ์หยูพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ดูสิ ดูสิ ความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ ช่างเป็นชายหนุ่มที่ราชวงศ์หยูต้องการเสียจริง !

“ลุกขึ้นเถิด ! ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังกลับไปด้วยท่าทางมีความสุข เขามองไปยังสายตารอบข้างที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา

สวี่หวยซู่ภูมิใจยิ่งนัก ต่งคังผิงเองก็เช่นกัน ส่วนชือเฉาหยวนมิได้แสดงอาการใดออกมา หนิงหยู่ชุนมองดูเขาอย่างลังเลใจ…

สรุปแล้วคือฟู่เสี่ยวกวนได้รับเลื่อนขั้นจากขั้นสามเป็นขั้นสี่ อีกทั้งได้รับทีเดียวถึงสองตำแหน่ง สิ่งนี้ทำให้เหล่าบรรดาขุนนางล้วนไม่พอใจอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาเดินทางกลับจากราชวงศ์อู่แล้วหากฮ่องเต้มิได้ลงโทษเขา นั่นหมายความว่าเขาจะยืนหยัดอยู่ในราชวังนี้อย่างเต็มตัว อีกทั้งยังมีเยี่ยนเป่ยซีสนับสนุนเขาอีกด้วย !

มองดูแล้วฟู่เสี่ยวกวนคงเป็นคนของตระกูลเยี่ยน

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีอำนาจใดในเมืองหลวง เยี่ยนเป่ยซีกำลังปูทางแก่บุตรชายของเขานั่นเอง

หากเยี่ยนเป่ยซีเกษียณเมื่อใด และเยี่ยนซือเต้าขึ้นรับตำแหน่งแทนเขา ในฐานะอัครมหาเสนาบดีแน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนจะต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของเยี่ยนซือเต้า

ระยะเวลาที่เยี่ยนเป่ยซีจะเกษียณยังเหลืออีกหลายปี หลายปีนี้ภายใต้ความช่วยเหลือจากเยี่ยนเป่ยซี ฟู่เสี่ยวกวนคาดว่าคงจะได้เป็นจงซูลิ่งได้แน่ !

เมื่อถึงเวลาเยี่ยนซือเต้าขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดี ฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้ช่วยที่ดีของเขา

ชายชราผู้นี้มองการณ์ไกลนัก !

เช่นนั้น…ฟู่เสี่ยวกวนคงจะได้เป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ในเมืองหลวงนี้

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลาย ๆ คนก็เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาแสดงท่าทีอ่อนน้อมต่อฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาทันที ขุนนางที่ออกห่างจากฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่ บัดนี้ได้ส่งยิ้มให้แก่เขาและร่วมแสดงความยินดีกับเขาด้วย

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย

จงไปให้พ้น !

ข้าคือขุนนางผู้โดดเดี่ยว !