บทที่ 312 เมืองแห่งแสงสี

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

หานเจี๋ย เย่เทียนเฉินยังไม่ลืมผู้หญิงคนนี้ ในตอนที่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ ผู้หญิงคนแรกที่เขาได้พบเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็คือหานเจี๋ย

ความจริงแล้วความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อหานเจี๋ยไม่เลวนัก ถึงแม้ตอนแรกทั้งสองคนจะมีปากเสียงกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เย่เทียนเฉินลืมเลือนความดีที่หานเจี๋ยมีต่อตน นี่เป็นผู้หญิงที่มีความแน่วแน่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และมีกลิ่นอายของวีรสตรี ในตอนที่เย่เทียนเฉินเพิ่งจะเข้าร่วมกองทัพก็ให้ความดูแลเย่เทียนเฉินอยู่มาก พูดไปแล้วหานเจี๋ยก็เป็นผู้มีพระคุณต่อเย่เทียนเฉิน ดังนั้นเขาจึงรีบตัดสินใจไปที่ชายแดนทันที ผู้หญิงคนนี้ไม่อาจไม่ช่วย

“ไปเถอะ ผมจะออกเดินทางตอนนี้เลย!” เย่เทียนเฉินหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป

“หึ ทำไมไอ้หนูอย่างนายถึงได้ร้อนรนขนาดนี้ล่ะ?” หยางอี้จงใจถามด้วยรอยยิ้ม

“ท่านหยาง คุณทำแบบนี้จะเป็นการดูถูกผมเย่เทียนเฉินเกินไปแล้ว ผมคือสุดหล่อแห่งศตวรรษใหม่ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความยุติธรรมมากนะครับ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

“เอาล่ะ ในเมื่อนายตอบรับแล้ว เรื่องนี้ก็มอบหมายให้นายไปทำแล้วกัน หวังว่านายจะทำภารกิจให้สำเร็จได้อย่างโดดเด่น!” ท่านผู้นำสูงสุดพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“วางใจเถอะครับ ผมกับหานเจี๋ยเป็นเพื่อนกัน เธอเกิดเรื่อง ผมคงไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจได้!” เย่เทียนเฉินตบหน้าอกตัวเองแล้วพูดขึ้น

“หาได้ยากจริงๆ ที่ไอ้หนูอย่างนายจะไม่พูดถึงเงื่อนไขกับพวกเรา เดิมทีคิดจะบอกว่า ถ้านายทำภารกิจนี้ได้สำเร็จก็จะเลื่อนขั้นให้พ่อของนายอีกขั้น…”

คำพูดของหยางอี้ยังไม่ทันจบ เย่เทียนเฉินก็ก้าวไปหน้าเขาก้าวหนึ่ง หัวเราะฮี่ๆ แล้วพูดขึ้นว่าขึ้น

“ถ้างั้นก็เอาตามนี้นะครับ ดีล!”

ใครๆ ก็คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วขนาดนี้ เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ ทำให้ท่านผู้นำ หยางอี้ และชางหลางหน้าเขียวคล้ำ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่เห็นรอยยิ้มอัปลักษณ์ของไอ้หนูนี่

“ไม่ได้ นายจะไปไม่ไป!” หยางอี้ได้สติกลับมาก็พูดขึ้นอย่างกลับกลอก

“ท่านหยาง คุณทำแบบนี้ไม่ถูกต้องเลยนะครับ ในฐานะที่เป็นผู้นำระดับประเทศ จะพูดจาไม่เป็นคำพูดแบบนี้ไม่ได้นะครับ” เย่เทียนเฉินรีบทำท่าทางโกรธเคืองออกมา

“ครั้งนี้ฉันจะไปเป็นเพื่อนนาย จะใช้เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพโดยตรง…”

ในตอนนี้เอง ชางหลางก็พูดขึ้นพลางเดินไปนอกประตู ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกอับจนคำพูด ตอนนี้เขาเพิ่งจะค้นพบว่าท่านผู้นำและท่านหยางซึ่งเป็นพวกผู้นำระดับประเทศเหล่านี้เป็นขิงแก่จริงๆ เล่นด้วยไม่ง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นพอจะพลิกลิ้นขึ้นมาก็เก่งกาจกว่าตนนับสิบเท่า ไม่อาจไม่นับถือ

ในตอนที่เย่เทียนเฉินเดินไปถึงด้านนอกตึกสำนักงานแห่งทะเลจงหนานไห่ เฮลิคอปเตอร์ทางการทหารลำหนึ่งก็จอดอยู่ด้านนอกแล้ว ชางหลางนั่งอยู่ในตำแหน่งข้างคนขับ รอแค่เขา。

“ไอ้หนู เดินให้มันเร็วๆ หน่อย หรือแกอยากจะวิ่งตามเฮลิคอปเตอร์ไป?” ชางหลางพูดหยอกล้อเย่เทียนเฉินอย่างหาได้ยากยิ่ง ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง นับว่าตั้งแต่เริ่มต้นก็เป็นความสัมพันธ์แบบไม่ต่อยตีไม่รู้จักกันและกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

“ชิ พี่ชายทำแต่เรื่องขัดจรวดมาตลอด เรื่องไล่ตามเฮลิคอปเตอร์คุณก็ทำไปเองเถอะ” เย่เทียนเฉินกรอกตาใส่ชางหลางแล้วพูดขึ้น

ชางหลางอับจนคำพูดกับเย่เทียนเฉินโดยสิ้นเชิง หลายครั้งที่เขาสามารถพูดคำพูดที่ไม่เพียงแต่ทำให้คุณเกิดความรู้สึกแปลกๆ ออกมา แต่ยังทำให้คุณหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อีกด้วย เขาทำเพียงมองเย่เทียนเฉินอย่างจนใจแล้วพูดกับคนขับเฮลิคอปเตอร์ว่า “ไปป่าหมอกดำที่ชายแดน!”

“ครับ!” ทหารขับเฮลิคอปเตอร์พยักหน้าแล้วตอบรับ

“หือ? ป่าหมอกดำ เกิดเรื่องที่นั่นอีกแล้วเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น

“ที่นั่นเป็นเขตชายแดนของยูนนาน เรียกได้ว่าพ่อค้ายารายใหญ่และพวกค้าของเถื่อนจำนวนมากต่างก็เลือกสถานที่แบบนั้น เนื่องจากที่นั่นมีป่าโบราณอยู่แห่งหนึ่ง มีลักษณะภูมิประเทศขรุขระมาก ยากที่จะควบคุม ดังนั้นทางรัฐบาลจึงส่งทหารหน่วยรบพิเศษที่มีฝีมือยอดเยี่ยมไปคุ้มครองอยู่ที่นั่นหลายปี และทำการโจมตีโจรที่ต้องการข้ามชายแดนเข้ามาในประเทศของพวกเราหรือต้องการข้ามเส้นเขตแดนเข้ามาค้าอาวุธเถื่อน!” ชางหลางพูดแนะนำให้เย่เทียนเฉิน

เส้นเขตแดนของป่าหมอกดำอยู่ที่ยูนนานและก็ไม่ได้อยู่ที่ยูนนาน เนื่องจากมันอยู่ห่างจากยูนนานไกลมาก และเนื่องด้วยสภาพพื้นที่ของเส้นแบ่งเขตแดนนี้จึงไม่สามารถควบคุมได้ และกลายเป็นเส้นทางที่โจรค้าของเถื่อนจำนวนมากเลือกใช้ อีกทั้งยังกลายช่องทางสำคัญที่ใช้ออกนอกประเทศเพื่อทำภารกิจที่เป็นความลับของประเทศจีนอีกด้วย ดังนั้นที่นั่นจึงมีทหารเฝ้าอยู่หลายปี ทุกคนต่างก็เป็นทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอด

“มิน่าล่ะ ตอนนั้นที่พวกเรากลับมาถึงต้องใช้เส้นทางป่าหมอกดำ ดูท่าทางคงจะมีหลายเรื่องที่โลกภายนอกไม่รู้!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมา

“การต่อสู้ระหว่างประเทศต่างๆ ไม่เคยหยุดยั้งและหยุดไม่ได้ด้วย ทำเรื่องมากมายเพื่อประเทศชาติและประชาชน แต่กลับไม่สามารถให้คนธรรมดาส่วนใหญ่รับรู้ได้ไปตลอดกาล!” ชางหลางพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น

เป็นเช่นนี้จริงๆ ในสังคมปัจจุบันนี้มีหลายคนที่ถูกข่าวสารและความคิดอื่นๆ ชักจูงได้ง่ายจนกลายเป็นเป้าหมายที่อาจชญากรรมจำนวนหนึ่งหลอกใช้ ประเทศใดก็ตามล้วนมีด้านมืดและด้านที่คิดไม่ถึงอยู่ทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจสมบูรณ์แบบได้

“ไม่ต้องพูดเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนั้นหรอก บอกสถานการณ์ของเรื่องราวในครั้งนี้กับผมมาคร่าวๆ เถอะครับ แล้วก็ข้อมูลทั้งหมดที่พวกคุณมีอยู่ในมือด้วย ขอข้อมูลทั้งหมด!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างจริงจัง

ชางหลางเห็นว่าเย่เทียนเฉินใส่ใจอย่างหาได้ยากจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรอีก จะอย่างไรเขาก็รู้ว่าสถานการณ์เคร่งเครียดและร้ายแรงเป็นอย่างมาก ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดยี่สิบกว่าคนไม่เพียงแต่แต่ละคนจะมีฝีมือไม่ธรรมดา อีกทั้งยังใช้อาวุธที่ทันสมัยที่สุดอีกด้วย แต่กลับหายไปทั้งหมด ความจริงนี้ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงจริงๆ

“ครั้งนี้ทหารหน่วยรบพิเศษบริเวณชายแดนตรวจสอบพบว่า โจรต่างชาติกลุ่มหนึ่งต้องการขนส่งของบางอย่างผ่านทางป่าหมอกดำ คาดว่าเป็นสารที่อันตรายร้ายแรงเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องการให้เบื้องบนส่งสมาชิกหน่วยวิจัยมาคนหนึ่งเพื่อตามไปวินิจฉัยดูด้วยกัน สุดท้ายจึงตัดสินใจส่งหานเจี๋ยไป ไหนเลยจะรู้ว่าก่อนหน้านี้สองชั่วโมงจะได้รับข่าวมาว่า ทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดทั้งยี่สิบกว่าคนและหานเจี๋ยต่างหายตัวไปจากป่าหมอกดำด้วยกันทั้งหมด แม้แต่เฮลิคอปเตอร์และเรดาร์ก็หาข่าวของพวกเขาไม่พบ คงจะเป็นเพราะเครื่องมือสื่อสารถูกทำลายไปหมดแล้ว!”

ชางหลางพูดพลางขมวดคิ้ว เขารับรู้ได้ว่าเรื่องในครั้งนี้รับมือได้ยากมาก จินตนาการได้เลยว่า กลุ่มคนที่สามารถทำให้กองกำลังที่ติดตั้งอุปกรณ์ติดตามอยู่บนร่างกายอีกทั้งยังมีฝีมือไม่ธรรมดาและใช้อาวุธที่ทันสมัยหายไปทั้งหมดในเวลาเพียงชั่วพริบตาได้ คิดดูแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ และทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวมาก อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่? ทำไมมีความสามารถที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้?

“การเคลื่อนไหวในครั้งนี้มีผมกับคุณสองคนหรอครับ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างจริงจัง

“มันไม่ได้อ่อนแอแบบที่แกคิดหรอก ที่ชายแดนมีกองทหารหน่วยรบพิเศษชั้นยอดตั้งมันอยู่ตลอดเวลา มีประมาณร้อยคนได้ หายตัวไปยี่สิบกว่าคนก็ยังมีอีกแปดสิบคนที่รอพวกเราอยู่ และคอยฟังคำสั่งจากฉันกับนาย!” ชางหลางเอ่ยปากพูด

“ไม่ต้องแล้ว ให้มือหนึ่งของทหารหน่วยนี้นำทางก็พอ มีคนมากไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร กลับจะเป็นการเผยจุดประสงค์ด้วยซ้ำ และยังทำให้ผมกับคุณพะว้าพะวงด้วย!” เย่เทียนเฉินส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น

“ได้!”

ชางหลางต้องเปลี่ยนมุมมองความคิดที่มีต่อเย่เทียนเฉินจริงๆ เมื่อมาถึงคนระดับเขาแล้วย่อมเข้าใจหลักการในการปฏิบัติงานและการต่อสู้ภาคสนามหลายอย่าง ในป่าทึบแบบนี้ และยิ่งหากต่อสู้กันในป่าทึบที่มีลักษณะไม่ดีเป็นอย่างมาก ไม่เหมาะสมที่จะให้คนจำนวนมากเข้าร่วม บางทีเพียงแค่ส่งยอดฝีมือระดับสูงไปแค่ไม่กี่คนก็อาจจะแก้ปัญหาได้แล้ว

ถ้ามีคนมากกลับจะทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นด้วยซ้ำ ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย และทำให้คนอื่นต้องคอยดูแล ไม่ใช่มาตรการที่ดี

ในฐานะที่เย่เทียนเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีขอบเขตพลังพิเศษระดับพระเจ้า ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินเป็นเด็กกำพร้า พัฒนามาทีละก้าวจนมาถึงขอบเขตนี้ได้ ความสามารถและประสบการณ์ในการต่อสู้จริงย่อมมีมาก เรื่องการต่อสู้ในป่าดึกดำบรรพ์แบบนี้เขายอมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนั้นเมื่อได้ยินชางหลางอธิบายถึงสถานการณ์จึงทำการตัดสินใจแบบนี้ออกมาทันที

เวลาสองทุ่มกว่า เฮลิคอปเตอร์ทางการทหารลำหนึ่งแล่นลงมาในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งบริเวณชายแดนของยูนนาน ตอนนี้อยู่ภายใต้สถานการณ์อันมืดมิดจึงไม่สามารถเดินทางไปยังป่าหมอกดำได้

“คืนนี้พวกเราอยู่ที่เมืองนี้คืนหนึ่ง พรุ่งนี้จะมีคนมารับพวกเรา ถึงตอนนั้นพวกเราก็ค่อยไปป่าหมอกดำ!” ชางหลางมองเฮลิคอปเตอร์ที่บินออกไปแล้วค่อยมองมาที่เย่เทียนเฉินก่อนจะพูดขึ้น

เย่เทียนเฉินมองไปยังเส้นทางเล็กๆ ของเมือง สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ เมืองเล็กๆ บริเวณชายแดนของยูนนานนี้มีด้านที่เต็มไปด้วยแสงสีแบบนี้ด้วย รู้สึกไม่เลวเลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านคาราโอเกะและบาร์ทั้งหลาย รวมกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างถนนพวกนั้นเป็นทิวทัศน์ที่ไม่เลวเลยจริงๆ ”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้พวกเราก็ไปเที่ยวเล่นกันสักหน่อยเถอะ!” เย่เทียนเฉินพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ชางหลางชะงักไป อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วพูดว่า “ไอ้หนู แกยังมีอารมณ์ไปเที่ยวอีกรึไง พักผ่อนให้ดีๆ ไปซะ พรุ่งนี้จะเข้าป่าหมอกดำแล้ว อาจจะมีการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายที่คิดไม่ถึงก็ได้!”

“ก่อนการต่อสู้ใหญ่ก็ต้องผ่อนคลายให้ดีถึงจะมีอารมณ์ไปสู้ ถ้าหากว่าคุณไม่ไปก็ไปหาโรงแรมนอนหลับพักผ่อนซะหน่อยเถอะ ส่งชื่อโรงแรมมาให้ผมทางข้อความก็พอแล้ว ผมจะไปดูสาวงามในเมืองเล็กๆ พวกนี้สักหน่อย!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

ในตอนที่ชางหลางยังไม่มีปฏิกิริยากลับมา เย่เทียนเฉินก็เดินไปยังบาร์แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ทำให้ชางหลางอับจนคำพูดจริงๆ ทำได้แต่สาปแช่งอยู่ในใจอย่างดุดันประโยคหนึ่งว่า “ไอ้หนูนี่ต้องติดโรคซิฟิลิสแน่!”

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า ชางหลางที่ดูมีมาดและเคร่งขรึมจะมีด้านที่ชั่วร้ายแบบนี้อยู่ด้วย ถ้าหากเย่เทียนเฉินรู้คำสาปแชงในใจของชางหลางจะต้องโกรธมากแน่นอน

เย่เทียนเฉินเข้าไปในบาร์แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า “ค่ำคืนไม่หวนกลับ” พื้นที่ว่างด้านในมีไม่มาก ประมาณสามสี่ร้อยตารางเมตรเท่านั้น ทุกที่เต็มไปด้วยโต๊ะกระจกเล็กๆ นอกจากเคาน์เตอร์บาร์ที่ยาวเหยียด ตรงกลางบาร์ยังมีฟลอร์เต้นรำขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่งด้วย มีหญิงชายผู้บ้าบิ่นจำนวนมากกำลังเต้นอยู่บนนั้น แน่นอนว่าย่อมมีเรื่องลูบคลำเกิดขึ้นด้วย นี่เป็นเรื่องที่ปกติเป็นอย่างมาก

“สวัสดีค่ะ คุณผู้ชายมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหรอคะ? อยากให้ฉันดื่มเป็นเพื่อนคนสักแก้วหรือเปล่า!” ผู้หญิงคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเปิดเผย และนับว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีและเซ็กซี่คนหนึ่งเดินเข้ามาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน ริมฝีปากแดงดูเย้ายวนเอ่ยปากขึ้น

“ต้องการแน่นอนอยู่แล้วครับ ผมมาก็เพื่อคุณเลย หวังว่าคุณจะมอบค่ำคืนที่ไม่เลวให้แก่ผม!” เย่เทียนเฉินยิ้ม ใช้มือขวาพาดวางลงไปบนไหล่ของผู้หญิงเซ็กซี่คนนี้