“พระอาจารย์นี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” หมิงเวยมองเขา “ข้าถอยให้ท่านแล้ว พระอาจารย์ยังไม่พอใจอีกหรือ”
พระอาจารย์ช่างจื้อถอนหายใจดวงตาของเขามีประกายอันแรงกล้า “พิธีกรรมเทียนเสินกำลังจะมาถึงยอดฝีมือที่จับตัวหาได้ยากเช่นแม่นางมาที่เมืองหยุนไฉ ข้าจะสงบใจได้อย่างไร”
หมิงเวยพยายามมากขึ้น “ข้าไม่คิดที่จะทำให้เผ่าฉีหูตกที่นั่งลำบากหรอกเจ้าค่ะ”
น่าเสียดายที่พระอาจารย์ช่างจื้อไม่ถอยให้ “ท่านบอกไม่อยาก ไม่อยากจริงๆ หรือ”
“….” หมิงเวยถอนหายใจ “ถ้าเช่นนั้นพระอาจารย์จะให้ทำอย่างไรเจ้าคะ”
“ออกไปจากหยุนไฉซะ!” พระอาจารย์ช่างจื้อพูดเสียงเด็ดขาด “ขอเพียงแม่นางออกจากเมืองหยุนไฉในทันทีพวกเราจะถือว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
รอยยิ้มของหมิงเวยหายไป “แล้วถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ”
“เช่นนั้นจะมาโทษพระอาจารย์ไม่ได้!” สิ่งที่พระอาจารย์ช่างจื้อรอคอยคือคำพูดนี้ของนาง กล่าวจบเขาก็ลอยตัวขึ้นแล้วโยนบาตรสีทองออกไป
หมิงเวยเตรียมพร้อมที่จะโต้กลับอยู่แล้ว แต่กลับได้ยินเสียง ‘ฉึก’ ตามด้วยเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นลูกธนูที่พุ่งเข้าชนกับบาตรสีทอง พระอาจารย์ช่างจื้อยกมือขึ้นรับบาตรสีทองแล้วมองผู้มาใหม่
“องค์ชายซูถู”
ซูถูกระโดดลงจากหลังคาเบาๆ แล้วพยักหน้าให้พระอาจารย์ช่างจื้อ “พระอาจารย์ ข้าบอกท่านแล้วว่านางเป็นแขกของพวกเราเผ่าหมาป่าหิมะ”
พระอาจารย์ช่างจื้อมองเขาแล้วมองหมิงเวยแล้วเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
“เป็นเช่นนี้นี่เอง นี่เป็นวิธีที่พวกท่านเผ่าหมาป่าหิมะจะจัดการกับข้างั้นหรือ”
หมิงเวยได้ยินเช่นนั้นแม้จะไม่มีทางเลือก แต่ก็ยิ้มรับ
นางอยากยืนอยู่ข้างฝ่ายเผ่าฉีหู ทำไมจึงไม่ให้โอกาสนางบ้างเล่า พูดเช่นนี้เท่ากับว่านางอยู่ฝั่งซูถูอย่างเป็นทางการแล้ว หากไม่ใช่เพราะนางรู้ประวัติศาสตร์อยู่แล้ว การที่พระอาจารย์ช่างจื้อมองนางเป็นศัตรูเช่นนี้นางคงยินดีช่วยซูถูต่อกรกับเขาจริงๆ
ซูถูกลับพูดว่า “พระอาจารย์พูดอะไรกัน ท่านเป็นหูเซิงผู้มีคุณธรรม และบารมีสูงส่ง พวกเราจะไปต่อกรกับท่านได้อย่างไรต้องเป็นการเข้าใจผิดกันแน่”
พระอาจารย์ช่างจื้อไม่เชื่อเลยสักนิดเขาพูดเสียงเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญแม่นางผู้นี้ออกจากเมืองหยุนไฉซะ ตราบใดที่นางไม่ก้าวเข้าไปในเมืองหยุนไฉเรื่องในวันนี้จะถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด!”
“พระอาจารย์!” ซูถูเลิกคิ้วเขาพยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย
พระอาจารย์ช่างจื้อมองดูพวกเขาแล้วยิ้มเยาะราวกับจะบอกว่าข้าจะดูว่าพวกเจ้าจะใช้ลูกไม้อะไรอีก
ซูถูหันไปมองหมิงเวยแล้วพูดว่า “ขออภัยด้วย พระอาจารย์พวกเราเผ่าหมาป่าหิมะไม่มีนิสัยชอบขับไล่แขก หากแม่นางหมิงบอกไม่ไปพวกเราก็จะให้นางอยู่ต่อ”
พระอาจารย์ช่างจื้อบังคับให้อีกฝ่ายพูดประโยคนี้ออกมาเขายกบาตรสีทองขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รับโทษซะเถอะ!”
เขาเขย่งปลายเท้าเล็กน้อยจากนั้นก็พุ่งเข้าหาหมิงเวยอย่างรวดเร็วราวกับอินทรีสยายปีก หมิงเวยเองก็เตรียมใจไว้แล้วจึงบินขึ้น และกระโดดขึ้นไปบนหลังคาหลังอื่น นางไม่ต้องการให้เป็นไปตามแผนของซูถูจึงสู้ไปหนีไป
พระอาจารย์ช่างจื้อไล่ตามนาง ซูถูไม่ได้เฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายเขายิงธนูมาจากด้านหลังเป็นครั้งคราว
ทั้งสามคนสู้กันจนไปถึงประตูเมืองทหารของพวกเขาต้องการไล่ตาม แต่ช่องว่างก็เริ่มห่างมากขึ้นเรื่อยๆ
หมิงเวยลงจากกำแพงเมืองแล้วหันไปมองพระอาจารย์ช่างจื้อแล้วถอนหายใจ “พระอาจารย์ข้าอยากให้โอกาสสุดท้ายแก่ท่าน หยุดเสียตอนนี้ข้าจะคิดว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
พระอาจารย์ช่างจื้อยิ้มเยาะ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนจากจงหยวนหยิ่งผยองเช่นนี้”
“ไม่จริงๆ หรือ” พระอาจารย์ช่างจื้อเคลื่อนไหวแทนคำตอบ
หมิงเวยถอนหายใจหลังจากความอดทนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมหยุด นางจึงทำได้เพียงตอบโต้กลับ
“ล่วงเกินท่านแล้ว”
สิ้นเสียงของนางเสียงขลุ่ยก็ดังเข้ามาในหูคลื่นเสียงซุ่มโจมตีพระอาจารย์ช่างจื้ออย่างมีเจตนาสังหาร เสียงขลุ่ยดังเข้ามาในหูพระอาจารย์ช่างจื้อรู้สึกปวดแก้วหูอย่างรุนแรงจิตใจของเขาก็ผันผวนตามไปด้วย
พลังคลื่นเสียง!
ในสถานการณ์เช่นนี้หากเขาฝืนเคลื่อนไหวต่ออาจถูกพลังเสียงของคู่ต่อสู้ก่อกวนกำลังภายในไม่แน่ว่าร่างกายเขาอาจระเบิดออกก็เป็นได้
เมื่อบังคับไม่ได้เขาทำได้เพียงหยุดการโจมตีชั่วคราวแล้วเรียกกำลังภายในเพื่อต้านทาน
“วิ้ง…” เสียงขลุ่ยทำให้บาตรสีทองสั่น หมิงเวยยังคงนิ่งและเปาขลุ่ยต่อไป
“วู…” เสียงขลุ่ยที่ฟังดูแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยเจตนาสังหารได้ระเบิดขึ้นต่อหน้าพระอาจารย์ช่างจื้อ การโจมตีด้วยคลื่นเสียงไม่ได้แยกศัตรูกับคนของตนเองได้ ซูถูที่กำลังไล่ตามจึงจำเป็นต้องหยุดแล้วป้องกันตนเอง
เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าสตรีนางนี้เป็นยอดฝีมือ แต่เขาก็ยังประเมินกำลังของนางต่ำเกินไป เสวียนชื่อจากจงหยวนแข็งแกร่งเพียงนี้เชียวหรือ
ในกรณีนี้หากในอนาคตเดินทางไปจงหยวนเขาต้องเผชิญหน้ากับแรงต้านที่มีอานุภาพเช่นนี้หรือไม่ เสียงขลุ่ยสามารถแทรกซึมไปได้ทั่วทุกที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวตาม
เสียงอันแสนเศร้าทำให้เขานึกถึงวัยเด็ก…
“อาเหนียง เหตุใดซูถูถึงแตกต่างจากพวกเราล่ะ”
“เพราะแม่ของเขาเป็นคนจงหยวน”
“เขาไม่มีความกล้าหาญเหมือนพวกเราชาวหูเหรินหรือ”
“แน่นอน อูต๋าของพวกเรากล้าหาญที่สุด” ซูถูลืมตาขึ้นทันที
คนจงหยวน…สามคำนี้เป็นคำสาปของเขาเพราะหน้าตาเช่นนี้เขาถึงถูกมองว่าเป็นคนนอกคอก! แต่คนที่เหมือนกับเขาอยู่ที่ไหนล่ะ คนจงหยวนในเผ่าของเขาอันที่จริงมีอีกหนึ่งคน แต่นางมีสถานะที่สูงส่ง
นั่นก็คือท่านย่าของเขาองค์หญิงจากจงหยวน
ชาวหูเหรินมีความขัดแย้งกันมากด้านหนึ่งพวกเขาดูถูกชาวจงหยวนรู้สึกว่าพวกเขาอ่อนแอ และมีเล่ห์เหลี่ยม ในทางกลับกันก็ปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองและอารยธรรมที่ชาวจงหยวนสร้างขึ้น ดังนั้นในขณะที่ชาวหูเหรินรังแกทาสหญิงจากจงหยวน แต่พวกเขาก็เคารพองค์หญิงจากจงหยวนด้วยเช่นกัน
แม้ว่าราชวงศ์ขององค์หญิงจะถูกล้มล้างไปแล้วก็ตาม
บิดาของเขาหัวหน้าเผ่าหมาป่าหิมะก็เป็นเช่นนี้ไม่ชอบสายเลือดจงหยวนของตนเอง แต่ก็ภูมิใจในสายเลือดอันสูงส่งที่ได้จากมารดา
ซูถูเคยอยากได้คำตอบ
คนจงหยวนกับชาวหูเหรินต่างกันตรงไหนหรือ เขาดูไม่เหมือนชาวหูเหริน แล้วเขาจะปฏิบัติต่อตัวเองในฐานะชาวจงหยวนได้หรือไม่
ดังนั้นเขาจึงอยากไปถามองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ท่านย่าของเขา
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้พบท่านย่าองค์หญิงจากจงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า “หูเหรินก็คือหูเหรินคิดว่ามีใบหน้าเหมือนคนจงหยวนแล้วจะสามารถเป็นคนจงหยวนได้หรือ”
ซูถูเข้าใจแล้วไม่มีผู้ใดเป็นพวกเดียวกันกับเขาเลย ต่อมาเขาจึงคิดว่าในเมื่อไม่มีผู้ใดมองว่าเขาเป็นคนพวกเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นเขาจะเปลี่ยนทุกคนให้กลายเป็นทาสที่อยู่ใต้เท้าเขา!
เขาไม่ต้องการที่จะมองย้อนกลับไปว่ามันยากแค่ไหนกว่าจะก้าวไปได้แต่ละก้าว
ในตอนแรกเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อยากได้รับการยอมรับก็เท่านั้น…
“วิ้ง…” ซูถูถูกคลื่นเสียงเรียกสติ
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองหมิงเวยก็หยุดลงแล้ว สองมือของพระอาจารย์ช่างจื้อสั่นเทาแทบจะจับบาตรสีทองไว้ไม่อยู่ที่หน้าอกของอีกฝ่ายมีเลือดเปื้อนเล็กน้อย
“เรื่องในวันนี้ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น” หมิงเวยพูด
พระอาจารย์ช่างจื้อยังมีพื้นที่ให้โต้กลับได้อีกหรือหลังจากหายใจคงที่แล้วเขาก็เดินจากไป หมิงเวยมองสร้อยลูกประคำที่ตกลงบนพื้นแล้วนึกถึงคำบอกใบ้
ในตอนนั้นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และมองพระอาจารย์ช่างจื้อด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ตรงอกของนาง สัญลักษณ์ยืนยันตัวตนของซูรื่อฉู่และคนอื่นๆ เกิดปฏิกิริยา