เขาหัวเราะหยันไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “แรกเริ่มที่องค์ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ เดิมทีก็มีพระราชปณิธานอันยิ่งใหญ่ ทว่าในเวลาต่อมาบ้านเมืองไม่สงบ ข่าวสารที่นำมากราบทูลจากทุกแห่งหนโดยมากแล้วล้วนเป็นเรื่องไม่ดี ฮ่องเต้ทรงฟังมากเข้าก็กลัดกลุ้มพระทัย จึงไม่คิดอยากฟังอีกไปเสียเลย …และแบ่งราชกิจต่างๆ ให้แก่ตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ไปดูแล ส่วนพระองค์เองก็ทรงขลุกอยู่แต่ในตำหนักหลังร่ำสุราจัดงานเลี้ยงอยู่ทุกวี่วัน ความจริงแล้วก็เพราะทรงต้องการอาศัยฤทธิ์สุราบรรเทาความกลัดกลุ้มนั่นเอง เจ้าน่าจะสัมผัสได้ว่าทุกครั้งที่มีรายงานเรื่องชัยชนะ ฮ่องเต้ล้วนทรงยินดีปรีดาเสียอย่างยิ่ง? ฮ่องเต้โปรดจะฟังข่าวดี รังเกียจข่าวร้าย …เห็นได้ว่าฮ่องเต้ทรง…”
เสียงเขาพลันต่ำลง “ไม่มีปณิธานที่แน่วแน่อีกแล้ว! ฉะนั้นแรกเริ่มที่ขึ้นครองราชย์ แม้จะทรงมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ ทว่าเมื่อแต่ละหนแห่งรายงานเรื่องพวกโจรออกอาละวาด ชายแดนไม่สงบติดต่อกันหลายคราก็ทรงรับไม่ได้แล้ว ยังมิทันได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่อง ก็ทรงเตลิดไปบนหนทางของกษัตริย์จอมโฉดเสียแล้ว! เจ้านึกว่าฮ่องเต้ที่เป็นดังนี้จะยังทรงกล้ามาต่อกรชนิดเจ้าม้วยข้ารอดกับพวกเราตระกูลสูงศักดิ์อีกรึ? หากฮ่องเต้ทรงกล้าหาญทำดังว่า ปีนั้นก็จะไม่ทรงถอยเข้าไปหมกตัวอยู่แต่ในตำหนักหลังและคอยยุยงปลุกปั่นให้ตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ขัดแย้งกันเอง อย่างไม่จบไม่สิ้น เพื่อรับประกันว่าพระราชอำนาจยังคงมั่นคงอยู่หรอก!”
เสิ่นจั้งเฟิงไม่ปิดบังความรู้สึกไม่ยินดียินร้ายที่ตนมีต่อฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย “และนี้ก็คือสาเหตุสำคัญที่ท่านพ่อท่านแม่และท่านอาล้วนเห็นชอบให้เจ้ามาส่ง พี่สะใภ้สามมาที่นี่ ประการแรกก็เพื่อให้มาจัดระเบียบหมิงเพ่ยถังทั้งหมดแทนคนในสายหลักของพวกเรา ประการที่สองก็คือสร้างความขัดแย้งระดับหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ ฮ่องเต้ทรงพอพระทัย และพักวางพระประสงค์จะจัดการตระกูลของเราเอาไว้ชั่วขณะ!”
เสิ่นจั้งฮุยนิ่งตะลึงไปพักใหญ่ จึงบอกว่า “ทว่า ยามนี้แม้แต่ผู้อาวุโสและบ่าวชรา พี่สะใภ้สามก็ยังไม่ละเว้นนะขอรับ นี่มันมากเกินไปหรือไม่?”
“นี่นับว่ามากเกินไปอันใด?” เสิ่นจั้งเฟิงทอดถอนใจอยู่ในใจ แม้เสิ่นจั้งฮุยจะเป็นบุตรชายคนโตของเสิ่นโจ้ว ทว่าเพราะเสิ่นโจ้วทุ่มเทอย่างมากมายให้แก่บ้านใหญ่ พี่น้องทั้งชายหญิงที่อยู่ในรุ่นเดียวกันจึงยอมให้เสิ่นจั้งฮุย พากันปกป้องเขาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ กอปรกับหลังจากภรรยาเสียไปแล้วเสิ่นโจ้วก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ เสิ่นจั้งฮุยจึงได้ฮูหยินซูเลี้ยงดูมาจนโต ฮูหยินซูรักใคร่เขาปานนั้น …เรียกได้ว่าปล่อยตามอกตามใจ จึงทำให้เขาเป็นคนไร้เดียงสาอย่างที่พบเห็นได้ยากยิ่งในบรรดาบุตรหลาน ตระกูลสูงศักดิ์ กระทั่งค่อนข้างมีนิสัยเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำไป
เสิ่นจั้งเฟิงเข้าใจอุปนิสัยของเสิ่นจั้งฮุยอย่างถ่องแท้ไปกว่านี้ไม่มีแล้ว ลูกผู้น้องผู้นี้ความจริงแล้วเป็นคนหูเบา ก่อนนี้เขาออกโรงปกป้องนางเผย ประการแรกเพราะเพิ่งแต่งงานข้าวใหม่ปลามัน ยิ่งไปกว่านั้นนางเผยก็มีรูปโฉมงดงามนัก ประการที่สองก็เพราะนางเผยคอยพูดกรอกหูเขาอยู่ตลอดเวลา …และเขาก็เชื่อเสียแล้ว
ที่ครานี้ถูกท่านอาหกพ่อลูกยุยงก็ด้วยสาเหตุนี้ …ท่านอาหกมาหาเขาก่อน พูดกับเขาสองสามคำ เขาก็เชื่อคำท่านอาหกแล้ว และคิดว่าเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งทำนั้นเกินเลยเกินไป แต่หากเป็นเว่ยฉางอิ๋งเรียกน้องชายสามีผู้นี้มาตรงหน้าและคร่ำครวญทั้งน้ำตากับเขาก่อนสักหน ก็ไม่แน่ว่าป่านนี้เสิ่นจั้งฮุยก็จะม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วไปเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่พี่สะใภ้เสียจนทั่วแล้ว
ครานี้ ตระกูลเสิ่นส่งเว่ยฉางอิ๋งมาเยี่ยมสามี และเลือกเสิ่นจั้งฮุยจากพี่น้องทั้งหมดคุ้มกันพี่สะใภ้เดินทางมาก นอกจากเพราะเสิ่นจั้งลี่และเสิ่นเหลี่ยนคุนทั้งสองคนจะเริ่มมีอายุแล้ว แต่ละคนก็มีลูกเล็กๆ ปลีกตัวออกมาไม่สะดวก ส่วนเสิ่นจั้งจีสามคนก็ไปเฟิ่งโจวแล้ว ส่วนเสิ่นเหลี่ยนเหิงคนเล็กที่สุดที่เหลืออยู่จะอายุน้อยเกินไปแล้ว ก็เพราะเจตนาจะอาศัยโอกาสนี้ให้เสิ่นจั้งฮุยได้มาขัดเกลาตนเองที่ซีเหลียงสักหนด้วย อย่างน้อยก็ให้สามารถขจัดความไร้เดียงสาและนิสัยเช่นสตรีของเขาออกไปบ้าง
อย่างไรก็ดี แม้เสิ่นจั้งฮุยไม่จำเป็นต้องสืบทอดตำแหน่งประมุขคนต่อไป แต่เขาก็เป็นบุตรชายคนโตของทางสายของเสิ่นโจ้ว ไม่อาจไม่รับภาระและไม่มีความสามารถที่บุตรชายคนโตพึงมี
ส่วนเรื่องเจตนาของญาติผู้ใหญ่เหล่านี้เสิ่นจั้งเฟิงย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เวลานี้จึงเอ่ยเสียงหนักไปว่า “ลำพังแค่ผู้อาวุโสผู้หนึ่ง ท่านอาผู้หนึ่ง อาสะใภ้ผู้หนึ่ง และบ่าวชราอีกผู้หนึ่ง สำหรับตระกูลเสิ่นของเราแล้ว แม้จะเป็นขนหนึ่งเส้นของวัวเก้าตัว[1]ก็ยังนับไม่ได้ด้วยซ้ำ เพียงแค่นี้ก็ผ่านไปแล้ว เจ้าว่าการจัดการทั้งหมิงเพ่ยถังใหม่ทั้งหมดเป็นละครเด็กเล่นหรืออย่างไร?!”
เสิ่นจั้งฮุยพึมพำว่า “จะอย่างไรทั้งสามท่านก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นครั้งก่อนเก่าก็ยังเคยสร้างคุณงามความชอบแก่ตระกูลเสิ่นของเรามานานปี”
“ญาติผู้ใหญ่?” เสิ่นจั้งเฟิงแย้มยิ้ม …หากนางหลิวอยู่ที่นี่จะต้องตอกกลับเสิ่นจั้งฮุยไปว่าครั้งเขาไม่เคารพเชื่อฟังฮูหยินซูด้วยเรื่องของเผยเหม่ยเหนียง ไยไม่คิดบ้างว่าฮูหยินซูไม่เพียงเป็นญาติผู้ใหญ่ ยิ่งเป็นกว่านั้นยังมองเขาประหนึ่งลูกในไส้? ทว่า เสิ่นจั้งเฟิงไม่ต้องการตำหนิลูกผู้น้องในเรื่องที่ผ่านไปแล้วอีกครั้ง โดยเฉพาะที่เขาเป็นคนพูดเรื่องนี้ออกไปเอง ก็ไม่แน่ว่าอาจทำให้เสิ่นจั้งฮุยคิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงเห็นว่าตนเองเป็นบุตรชายแท้ๆ ของฮูหยินซูจึงคอยเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเรื่องนี้ไม่ปล่อยเสียที ย่อมทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างลูกพี่ลูกน้อง ฉะนั้นเขาจึงเพียงเอ่ยไปอย่างสงบว่า “พวกเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ ทว่าเวลานี้หมิงเพ่ยถังเป็นสายของพวกเราปกครองดูแล ตามกฎระเบียบของบ้านเราแล้ว ต่อให้ลำดับอาวุโสจะสูงอีกเพียงใด ก็ไม่อาจทัดเทียมประมุขตระกูลได้!”
เจ้านี่มันโง่เง่า! ท่านอากำลังยุยงให้พวกเราสองบ้านแตกคอกันแล้ว แต่เจ้ากลับยังไร้เดียงสาเอาความสัมพันธ์ในตระกูลมาช่วยพวกเขาพูดอีก!
ไม่รู้หรือไรว่าการประคับประคองปกป้องฐานะของผู้ปกครองสูงสุดของตระกูลในสายของเราจึงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด! ถ้าจะมองเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ก็ต่อเมื่อพวกเขาล้วนยอมสยบให้แก่สายของประมุขตระกูลเท่านั้น หาไม่แล้ว …ญาติผู้ใหญ่ในตระกูลเสิ่นที่จู่ๆ ก็มาตายลงก็มิได้มีเพียงคนสองคนเท่านั้น!
สักพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งฮุยไม่มีคำจะพูดต่อ เสิ่นจั้งเฟิงจึงเอ่ยไปอย่างราบเรียบว่า “ส่วนบ่าวผู้นั้น ประการแรก พี่สะใภ้สามของเจ้าก็เพียงปลดเขาจากตำแหน่งพ่อบ้านแล้วให้เขากลับบ้านไปพักยามชรา คนผู้นั้นก็แก่เฒ่ามากแล้ว ต่อให้พี่สะใภ้สามของเจ้าไม่ปลดเขา เขาก็ทำงานต่อได้อีกไม่กี่ปีแล้ว ประการที่สอง นั่นก็เพราะเขารนหาที่เอง! ยามนั้นพี่สะใภ้สามของเจ้ากำลังสร้างฐานอำนาจ คนที่มีตาล้วนมองออกทั้งนั้น แล้วเขากลับกระโจนออกมา หากเป็นเจ้าหรือข้าก็ต้องปลดเขาเช่นกัน!”
เสิ่นจั้งฮุยอดพูดไม่ได้ว่า “ยามนั้นพี่สะใภ้สามก็ให้องครักษ์ติดตามของนางคุมตัวท่านอาและท่านอาสะใภ้ออกไปแล้ว ก็สร้างฐานอำนาจได้แล้วนี่ขอรับ!”
“แต่พ่อบ้านผู้นั้นออกมาพูดแทนท่านอาและท่านอาสะใภ้นี่!” เสิ่นจั้งเฟิงจ้องเขาอย่างเคร่งขรึม เอ่ยเย็นชาไปว่า “ยามนั้นก็มิใช่มีเพียงพ่อบ้านซึ่งเป็นบ่าวเพียงผู้เดียวอยู่! บ่าวของหมิงเพ่ยถังล้วนรุมล้อมกันอยู่ในโถง พี่สะใภ้สามของเจ้าเพิ่งจะมาถึง ทั้งยังเป็นสตรีผู้หนึ่ง เพียงนางแสดงท่าที่อ่อนแอสักน้อย บรรดาบ่าวที่เกิดในบ้านเรามารุ่นต่อรุ่นย่อมต้องกรูกันเขามาแน่! ถึงยามนั้นเจ้าลองคิดดูว่านั่นจะเป็นสถานการณ์เช่นใด! เป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่งกลับคิดจะมาท้าทายฮูหยินน้อยตระกูลเสิ่นของเราที่แต่งเข้ามาอย่างถูกต้องออกหน้าออกตา นี่เจ้ากลับโง่เง่าจนถึงขั้นออกมาพูดแทนบ่าวผู้หนึ่ง?! ท่านอาหกเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงกี่คราจึงกล่อมเจ้าได้ถึงเพียงนี้?”
เพราะเขารู้จักนิสัยใจคอของเสิ่นจั้งฮุย เดิมทีจึงไม่คิดจะด่าทอเขา แต่ยิ่งเห็นว่า ลูกผู้น้องช่างไร้เดียงสาเพียงนี้ก็อดไม่ไหวจนต้องออกปากตำหนิขึ้นมา
เสิ่นจั้งฮุยสะดุ้ง โพล่งเอ่ยออกไปว่า “เรื่องนี้ ….พี่สะใภ้สามมิได้ทำผิด…”
“เรื่องของพี่สะใภ้สามของเจ้า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยกมือขึ้นกดที่หว่างคิ้ว เพราะเขายังไม่หายดี สอนสั่งลูกผู้น้องอยู่เป็นนานเขาเองก็รู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาแล้ว คร้านจะอภิปรายกับเขาถึงเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งทำในหลายวันมานี้ว่าผิดหรือถูกเช่นใด จึงเอ่ยไปตรงๆ ว่า “เรื่องของผู้อาวุโสนั้น …เดิมทีพี่สะใภ้สามของเจ้าส่งของกำนัลไปชิ้นหนึ่งก็นับว่าเห็นแก่หน้าของทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่ในเมื่อท่านอาหกยังไม่ยอมเลิกรา …เจ้าก็จงไปทำการหนึ่ง”
“พี่ชายสามโปรดสั่งความ” เดิมทีเขาคิดว่าสิ่งที่พี่สะใภ้สามทำในหลายวันมานี้จะส่งผลร้ายต่อผลประโยชน์ของตระกูลเสิ่น จึงได้วิ่งมาเตือนพี่ชายสามด้วยความกังวลใจ ไม่คิดว่ากลับถูกพี่ชายสามต่อว่าเอายกหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นตามคำพูดของพี่ชายสามแล้ว พี่สะใภ้สามก็มิได้ทำผิดอันใดด้วย เสิ่นจั้งฮุยจึงอดทำตัวลำบากไม่ได้
ยามนี้ได้ยินว่าพี่ชายสามมีเรื่องเรียกใช้ เสิ่นจั้งฮุยจึงรีบคว้าโอกาสหาทางลง พลันรับคำอย่างกระตือรือร้น
________________________________
[1] ขนหนึ่งเส้นของวัวเก้าตัว หมายถึง เรื่องเล็กน้อยจนไม่ส่งผลใดๆ เลย