จิ้งจอกหางสั้นขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งในรถม้า มันลืมตาขึ้นมามองฉีเฟยอวิ๋นเป็นครั้งคราว ราวกับว่าเข้าใจฉีเฟยอวิ๋น
ทังเหอและพ่อบ้านอาวุโสขับรถม้าอยู่ข้างนอก อาซิวถูกส่งตัวไปแล้ว และในเวลานี้ก็ดึกมากแล้ว
ก่อนที่จะเข้าเมือง พ่อบ้านอาวุโสที่อยู่ข้างนอกแจ้งฉีเฟยอวิ๋นว่าพวกเขาต้องไปก่อน ฉีเฟยอวิ๋นส่งเสียงอืมออกมา พ่อบ้านอาวุโสและทังเหอจึงลงมาจากรถม้า พวกเขาทิ้งฉีเฟยอวิ๋นไว้ที่นอกประตูเมืองและจากไป
จิ้งจอกหางสั้นลุกขึ้นและยืดตัวอย่างเกียจคร้าน จากนั้นมันก็มาตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น แล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง
ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น:“คนสมัยโบราณเหล่านี้ กล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับเจ้า
ขี้ขลาดและไม่กล้าพูด จนส่งผลเสียต่อผู้อื่น”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและออกมาจากรถม้า นางรู้สึกหมดหนทางจึงขับรถม้าเข้าไปในเมือง
แต่เมื่อนางเข้าไปในเมือง บนประตูเมืองมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่นาง นางรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองมาที่นาง นางจึงมองขึ้นไปบนประตูเมืองอย่างไม่ได้ตั้งใจ และเห็นคนในชุดแดงยืนอยู่ใต้แสงไฟและกำลังมองลงมา และเห็นเขาเดินลงมาจากหอคอย
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าไปต่อไม่ได้ นางจึงจอดรถม้าไว้ด้านข้าง
ในตอนกลางคืนบนถนนไม่มีผู้คน เฉินอวิ๋นเจี๋ยเดินมาตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น เขาขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“แต่งกายเช่นนี้ พวกเขาคงทอดทิ้งเจ้าแล้วล่ะสิ ไม่รู้ว่าจิตใจของเจ้าทำด้วยอะไร ถึงได้ใจร้ายเช่นนี้ ?
เดิมทีข้าเห็นว่าเจ้าโตขึ้นมาก แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้โตขึ้นเลยสักนิด”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ เขาดึงเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำออก แล้วโยนมันใส่ร่างของฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า:“ใส่ซะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกซาบซึ้งใจ แม้ว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยจะเป็นคนของตระกูลเฉิน แต่เขาก็ดีกับเจ้าของร่างเดิมมาก
ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ในตอนแรกที่เฉินอวิ๋นเจี๋ยเป็นเช่นนั้น เจ้าของร่างเดิมสมองกลวงหรือไม่ถึงได้ไม่ชอบเขา
เมื่อมองไปที่เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำที่อยู่บนร่างของนาง ฉีเฟยอวิ๋นก็หยิบมันขึ้นมาวางไว้ข้าง ๆ
“ข้าใกล้จะถึงจวนแล้ว คงไม่ต้องรบกวนท่านแม่ทัพ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าใช้ของของเฉินอวิ๋นเจี๋ย
นางเป็นพระชายาเย่ มืดค่ำไม่กลับบ้าน แถมยังอยู่กับชายหนุ่มตามลำพัง นางหน้าไม่รักษาหน้า แต่ท่านพ่อของนางยังต้องรักษาหน้า
เฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่สนใจ เขากระโดดลงมาข้าง ๆ ฉีเฟยอวิ๋นและนั่งลงข้าง ๆ นาง จากนั้นก็ใช้แส้ม้าตีไปที่ก้นม้า และม้าก็เดินไปที่จวนท่านแม่ทัพอย่างเชื่อฟัง
จิ้งจอกหางสั้นมุดเข้าไปในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋นและขดตัวอย่างสบาย
เฉินอวิ๋นเจี๋ยมองดูมันและเลิกคิ้ว:“จิ้งจอกหางสั้นเป็นของดี เจ้าช่างโชคดีจริง ๆ ”
“ก็พอใช้ได้” ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไรมากนัก แล้วเดินกลับไป
เฉินอวิ๋นเจี๋ยมักจะมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นตลอดทาง ฉีเฟยอวิ๋นปิดเสื้อผ้าไว้อย่างมิดชิด ราวกับกลัวว่าจะมันเผยให้เห็นอะไรบางอย่าง
“มีอะไรน่ากลัว ไม่ใช่ว่าไม่เคย” เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าวเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกแปลก ๆ เขาเคยเห็นงั้นหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ถาม และคิดว่ามันไม่มีความหมายอะไร
มันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
เฉินอวิ๋นเจี๋ยจึงถามว่า:“เจ้าออกไปทำอะไรกลางดึกเช่นนี้ ?”
“กลางดึกเช่นนี้เจ้าไม่หลับไม่นอน แล้วขึ้นวิ่งไปทำอะไรอยู่บนหอคอย ?”
ถามไปถามกลับ แล้วทั้งสองก็ไม่พูดอะไร
เมื่อรถม้ามาถึงหน้าจวนท่านแม่ทัพ เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็วางแส้ลง เขากระโดดลงจากรถม้าแล้วหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น:“อย่าออกไปไหนมาไหนกลางดึก”
หลังจากที่พูดจบแล้ว เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็หันหลังเดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นลงมาจากรถม้า และมองดูเฉินอวิ๋นเจี๋ยเดินจากไป
การเดินของเฉินอวิ๋นเจี๋ยนั้นธรรมดามาก แต่ถึงอย่างไรเขาไม่ควรปรากฏตัวขึ้น ในเมื่อไร้ซึ่งวาสนาต่อกันก็ไร้ประโยชน์ที่จะพูดอะไรในเวลานี้ แต่เขาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่ออะไร ?
ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยน่าสงสาร แต่นางไม่สามารถรักเขาได้ และในตอนนี้ก็ยากที่จะจากไป
เมื่อเห็นว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยเดินจากไปไกลแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็หันหลังกลับไปและกำลังจะเข้าไปในจวนท่านแม่ทัพ แต่ในทันทีที่หันหลังกลับมา นางก็เห็นหนานกงเย่ยืนอยู่ตรงหน้า
เขาสวมชุดดำและสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์สีเทา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกไม่ดี
“ท่านอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นถอนสายบัว
หนานกงเย่ไม่ได้สนใจนาง และเดินตรงไปที่รถม้า เขายื่นมือไปหยิบเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำบนรถม้ามาให้ฉีเฟยอวิ๋นดู
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำที่อยู่ตรงหน้า และค่อย ๆ มองไปที่หนานกงเย่:“ข้าไม่มีอะไรจะพูด”
หนานกงเย่จับเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำไว้แน่นแล้วโยนทิ้งไป
จิ้งจอกหางสั้นตกใจกลัวและมุดเข้าไปในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋นทันที มันรู้สึกว่าในอ้อมแขนนี้ก็ไม่ปลอดภัย มันจึงวิ่งออกไปไปหลบที่หน้าจวนท่านแม่ทัพ
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองจิ้งจอกหางสั้นที่วิ่งหนีไป แม้แต่จิ้งจอกหางสั้นก็ยังวิ่งหนี แสดงให้เห็นได้ว่าหนานกงเย่โกรธมากแค่ไหน
สัญชาตญาณของสัตว์ย่อมดีกว่ามนุษย์ สัตว์เลี้ยงกลัวมากจนแม้แต่เจ้าของก็ไม่เอาแล้วแสดงให้เห็นได้ว่ามันน่ากลัวมากแค่ไหน
“นี่คือคำอธิบายที่เจ้ามอบให้ข้างั้นหรือ ?” สีหน้าของหนานกงเย่ไม่น่ามากเป็นอย่างมาก ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ซูมู่หรงเคยพูด เขาถูกคนเข้าใจผิด และเขาไม่ได้อธิบาย เขาบอกว่าถ้าหากเชื่อก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่ถ้าหากไม่เชื่ออธิบายไปมันก็ไร้ประโยชน์
นางไม่ได้ยืนกรานให้หนานกงเย่เชื่อนาง แต่ถ้าหากเขายืนกรานที่จะเข้าใจผิดก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบาย
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังและเตรียมที่จะจากไป แต่หนานกงเย่ก็เรียกนาง:“หยุดนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุด หนานกงเย่ไม่ขยับและไม่พูดอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง นางหันกลับไปมองหนานกงเย่และครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่:“ข้าปล่อยอาซิวไปแล้ว ถ้ามีอะไรก็มาลงที่ข้าเพียงผู้เดียว เรื่องนี้ข้าเคยบอกท่านแล้ว แต่ท่านไม่เห็นด้วย ข้าจึงทำได้เพียงเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคน
อาซิวกำลังจะตาย หากไม่ไปเขาจะต้องตายแน่!”
“ข้าดูถูกเจ้าเกินไปจริง ๆ แม้แต่คุกใต้ดินเจ้าก็กล้าบุกเข้าไป” หนานกงเย่เดินไปที่ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น เขากัดฟันและจ้องด้วยความโกรธ:“อย่าคิดว่าเจ้ามีความดีความชอบให้กับข้าแล้ว ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้านะ !”
ฉีเฟยอวิ๋นเงียบไปชั่วครู่:“ต้องการจะลงโทษอย่างไรก็รับสั่งมาเถอะเพคะ เรื่องอาซิวเป็นความผิดของข้าจริง ๆ ”
“งั้นหรือ ?” สีหน้าของหนานกงเย่ดูอึมครึม
ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไร และหนานกงเย่ก็ยิ่งโกรธ ไม่มีแม้แต่คำพูดที่นุ่มนวล จริงใจใช่หรือไม่ ?
“ขึ้นรถมากับข้า”
หลังจากที่พูดจบ หนานกงเย่ก็ตรงไปที่รถม้า ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปที่เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำบนพื้น จากนั้นก็หันกลับไปมองจิ้งจอกหางสั้นที่หลบอยู่ที่หน้าประตู จิ้งจอกหางสั้นเหลือบมองที่เสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำ คืนนี้คงยากที่จะหลับ หากมันไม่เข้าไป ประตูของจวนแม่ทัพก็จะปิดลง มันเป็นจิ้งจอกที่หยิ่งผยอง และคงจะไม่ร้องเรียกอยู่นอกประตู
นางรู้สึกว่าจิ้งจอกหางสั้นเข้าใจสิ่งที่นางคิด ฉีเฟยอวิ๋นจึงขึ้นไปบนรถม้า
ไม่มีคนขับรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงหยิบแส้และขับรถกลับไปที่จวนอ๋องเย่
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว จิ้งจอกหางสั้นก็ออกมาจากประตู และเดินไปข้างหน้าเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำ มัดกัดแขนเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำตัวนั้น และลากไปที่ประตูจวนแม่ทัพ
ประตูจวนแม่ทัพปิดแล้ว จิ้งจอกหางสั้นจึงมุดเข้าไปอยู่ในเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกดำทั้งคืนคืน
ฉีเฟยอวิ๋นขับรถม้ากลับมาถึงจวนอ๋องเย่ หลังจากที่ลงจากรถม้าแล้ว หนานกงเย่ก็เดินตรงเข้าไป และมอบรถม้าให้กับคนรับใช้ หนานกงเย่เหลือบไปมองฉีเฟยอวิ๋น และยิ่งมองก็ยิ่งโกรธ
“เข้ามาสิ!”
หนานกงเย่เดินไปที่สวนดอกกล้วยไม้ด้วยความโกรธ ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขาเข้าใจผิด จึงเดินตามเขาไปที่สวนดอกกล้วยไม้
ในเวลานี้อาอวี่นั่งคุกเข่าอยู่ในสวนกล้วยไม้ ฉีเฟยอวิ๋นไม่แปลกใจที่เห็นอาอวี่ เขาเป็นคนเดียวที่สามารถขโมยป้ายแขวนเอวของหนานกงเย่ได้ ต้องมีคนออกมายอมรับผิดในเรื่องนี้ และแน่นอนว่าอาอวี่หลบหนีความสงสัยนี้ไม่พ้น หนานกงเย่ต้องไม่ปล่อยอาอวี่ไปอย่างแน่นอน
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่อาอวี่ด้วยความเศร้าใจ ไม่ใช่เพื่ออาอวี่ แต่เพื่อหนานกงเย่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่สง่างาม โกรธเป็นฟืนเป็นไฟตลอดทั้งวัน จะไประบายใส่ใครก็เกรงว่าจะไม่สบายใจ
อาอวี่เงยหน้าขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋น:“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เกิดจากข้าเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับพระชายา พระชายาไม่จำเป็นต้องร้องขอพระเมตตาให้ข้า”
“เจ้าจะบอกข้าว่าน้องสาวของเจ้าตายแล้ว และเจ้าใช้ชีวิตเพียงพอแล้วงั้นหรือ ?” ฉีเฟยอวิ๋นถามอย่างโกรธเคือง
นางเห็นว่าอาอวี่เป็นคนที่ซื่อตรง แต่สิ่งที่อาอวี่ทำนั้นไม่เที่ยงตรง ถ้าเขาอยากตายก็ไปตายไกล ๆ นางจะได้ไม่ต้องเห็นและไม่ต้องเสียใจ
ในตอนนี้เขาคุกเข่าอยู่สวนดอกกล้วยไม้และไม่ยอมลุก นางไม่ได้ตาบอด และแน่นอนว่านางเห็น ?
เดิมทีนางวางแผนที่จะเดินไป แต่ในตอนนี้นางรู้สึกเสียใจที่กลับมากับหนานกงเย่
อย่าว่าแต่นางจะช่วยคนอื่นเลย แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด แล้วนางยังคิดที่จะช่วยอาอวี่อีก
ไม่มีเหตุผล!
อาอวี่เงียบสงบ
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ที่อยู่ในห้อง เพื่ออาวี่ นางจึงจำใจต้องเดินไปเคาะประตู:“ท่านอ๋อง”
“ว่ามา”
หนานกงเย่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
อาอวี่ดูกังวล และมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นในทันที และเกรงว่าจะทำให้ฉีเฟยอวิ๋นต้องเดือดร้อน
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันรับปากอาอวี่ว่าจะไปช่วยคน แต่เรื่องเขื่อนตู้ฟางจุนทำให้ท่านอ๋องทรงหนักใจมาโดยตลอด หม่อมฉันไม่สะดวกที่จะพูดถึงเรื่องอาซิวกับท่านอ๋องเพคะ
เรื่องตู้ฟางจุนสำคัญกว่า เมื่อคืนหม่อมฉันพูดถึงเรื่องนี้กับท่านอ๋องแล้ว แต่ท่านอ๋องรีบร้อนจากไป หม่อมฉันก็ไม่ได้ใส่ใจ
เพียงแต่ในช่วงอาหารเช้าไม่เจอพ่อบ้านอาวุโส หม่อมฉันลองถามดูจึงรู้ว่าเขาร้องไห้อยู่ที่หน้าประตู ที่แท้ก็มีคนปล่อยข่าวว่าอาซิวกำลังจะตาย
แต่หม่อมฉันคิดว่ามันไม่น่าเชื่อถือ หม่อมฉันจึงไปขอร้องคุณชายทังให้พาไปหาอาอวี่
คุณชายทังสงสารพ่อบ้านอาวุโส จึงไปที่คุกใต้ดิน
หลังจากที่ช่วยอาอวี่ซิว พวกเราก็กลับมาด้วยกัน แต่เมื่อมาถึงประตูเมือง หม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่สามารถทำให้ท่านอ๋องทรงตำหนิคุณชายทังและพ่อบ้านอาวุโสได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องยอมรับ และหม่อมฉันอยากจะแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
จึงให้พ่อบ้านอาวุโสและคุณชายทังกลับมาก่อน
ดังนั้นพวกเขาจึงกลับมาถึงจวนอ๋องเย่ก่อน และหม่อมฉันก็กลับมาตามลำพัง
หลังจากข้ามาในเมืองแล้ว หม่อมฉันก็พบกับเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่มาขวางรถม้าของหม่อมฉันไว้ และยังกล่าวว่าหม่อมฉันกับเขาเป็นคู่รักที่มีใจให้กันมาตั้งแต่เด็ก และยังกล่าวอีกว่าหม่อมฉันเคยรับปากว่าจะแต่งงานและเป็นภรรยาของเขา
หม่อมฉันตื่นตระหนกและตกใจกลัว
หม่อมฉันกล่าวอย่างไม่ปิดบัง ในคืนวันอภิเษกสมรสก่อนหน้านี้หม่อมฉันกินยาเข้าไปมาก หลังจากนั้นก็ตายไปแล้ว และหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้เลย
ส่วนเฉินอวิ๋นเจี๋ย หม่อมฉันจำเขาไม่ได้จริง ๆ เพคะ
แต่หลายครั้งคำพูดของเขาทำให้หม่อมฉันตระหนักตกใจ และหม่อมฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
เรื่องที่หม่อมฉันเคยรับปากว่าจะแต่งงานและเป็นภรรยาของเขา หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าเหตุใดก่อนที่จะแต่งงาน หม่อมฉันจึงลุ่มหลงอยู่แต่กับท่านอ๋อง แต่ถ้าหากในหัวใจของหม่อมฉันมีท่านอ๋องเพียงผู้เดียว เช่นนั้นสิ่งที่เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าวก็สมเหตุสมผล
หม่อมฉันนั้นช่างเหลือเชื่อ
เขาหยิบแส้และขับรถม้ามาส่งหม่อมฉันที่จวน และยังบอกว่าไม่ยอมให้หม่อมฉันกลับไปที่จวนอ๋องเย่ เขานำเสื้อผ้ามาให้หม่อมฉันสวม เขาบอกว่าเขาเห็นคนของจวนอ๋องเย่ทอดทิ้งหม่อมฉันไว้กลางทาง โดยไม่สนใจว่าหม่อมฉันจะสวมเสื้อผ้ามาน้อย ไม่สนใจว่ามืดค่ำแล้วหม่อมฉันจะยังไม่กลับ และบอกว่าหม่อมฉันยังโง่เขลาเหมือนที่ผ่านมา ขอเพียงแค่ได้เอาใจท่านอ๋องก็ไม่สนใจสิ่งใด
เขาบอกว่าถ้ามีโจรมาปล้นจี้หม่อมฉันกลางดึก ต่อให้หม่อมฉันร้องไห้จนตายก็ไม่มีใครสนใจ”
“เข้ามาหาข้า” จู่ ๆ หนานกงเย่ก็ตะโกนเสียงดังจนทำให้อาอวี่สั่นสะท้านด้วยความตกใจ แสดงให้เห็นได้ว่าหนานกงเย่โกรธมาก
แต่ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นเฉยเมยมาก สิ่งที่นางกล่าวไปเมื่อครู่สงบนิ่งราวกับว่ามันเป็นการบรรเลงเพลง