ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 171 ซ้อมมือสักหน่อยดีหรือไม่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

การสืบทอดวิชาวรยุทธ์ของเขาไร้พรมแดนและอัสนี ในอีกแง่หนึ่งออกจะสุดโต่งไปบ้าง

เรื่องหยกหิ่งห้อยสายฟ้าก่อนหน้านี้ ทำให้ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งสองฝ่ายต่างขัดหูขัดตาซึ่งกันและกัน

ตำหนักอัสนีสวรรค์เย้ยหยันเขาไร้พรมแดนว่าเป็นกระดองเต่า เขาไร้พรมแดนเองก็เย้ยหยันตำหนักอัสนีสวรรค์ว่ามีเพียงศีรษะสามขวานเท่านั้น

ปัจจุบันยิ่งเกิดเรื่องหยกหิ่งห้อยสายฟ้าอีก ทั้งสองฝ่ายผูกพยาบาทกันอย่างเป็นทางการแล้ว บรรยากาศระหว่างกันก็ยิ่งตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

ขณะนี้ทัพทั้งสองสำนักประจัญหน้ากันพอดี ถึงขนาดที่แม้แต่ทางด้านการประลองระหว่างสวีเฟยกับถังหย่งฮ่าวนั้น ก็ไม่ได้สนใจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

ศิษย์สืบทอดตำหนักอัสนีสวรรค์ที่มีเสียจื่ออี้เป็นผู้นำ กับศิษย์สืบทอดเขาไร้พรมแดนที่มีจี้ฮั่นหรูเป็นผู้นำ ต่างจ้องมองซึ่งกันและกัน ในอากาศราวกับว่าเกิดประกายเพลิงลุกโชนขึ้นมา

ทว่าคนของสายสำนักเขาไร้พรมแดนปราชัยเร็วยิ่งกว่า

ไม่มีหลิวเซิ่งเฟิงอยู่ ไม่มีผู้ใดสามารถช่วงชิงชัยชนะกับเสียจื่ออี้ได้

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าหลิวเซิ่งเฟิงจะอยู่ที่นี่ เกินกว่าครึ่งก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสียจื่ออี้เช่นกัน

มีเพียงแค่จ้าวฮ่าวเท่านั้นที่แววตาเย็นชาอีกทั้งยังแข็งกร้าว ไม่เห็นวี่แววว่าการถอยหลบแม้แต่น้อย

เสียจื่ออี้กวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง กระนั้นกลับไม่ได้กล่าวอันใด ก่อนที่เขาจะเคลื่อนสายตาหนี เห็นได้ชัดว่าไม่ควรค่าต่อการเอาจริงเอาจังกับคู่ต่อสู้ระดับขั้นจิตราชั้นในคนหนึ่ง

ด้านหลังเขามีชายหนุ่มอายุใกล้เคียงกับจ้าวฮ่าว เวลานี้ชายผู้นั้นยิ้มเย็นพลางลุกขึ้นมา “ศิษย์น้องของเขาไร้พรมแดนท่านนี้ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง เรามาประลองแลกเปลี่ยนกันสักรอบเถิด”

มุมปากจ้าวฮ่าวผุดรอยยิ้มเย็นออกมา เอ่ยด้วยความอย่างไรก็ได้ว่า “ได้สิ”

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูภาพฉากนี้ด้วยความสนอกสนใจยิ่ง สีหน้าอารมณ์คล้ายกับจะยิ้มทว่าก็ไม่ยิ้ม

ผลการประลองไม่ได้เหนือไปจากความคาดหมายของเยี่ยนจ้าวเกอทั้งสิ้น จ้าวฮ่าวชนะอย่างใสสะอาด

การแสดงออกของจ้าวฮ่าวดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ เช่นกัน ไม่เพียงแต่เป็นเพราะว่าเขาแสดงระดับพลังฝึกปรือของปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายเท่านั้น แต่เป็นเพราะวิธีการเอาชนะของเขามากกว่า ที่ดูแล้วง่ายและสบายเป็นอย่างยิ่ง

สายตาของซือคงจิงและจางเหยามองไปทางจ้าวฮ่าว จากอายุอานามแล้ว พวกเขาจัดอยู่ในช่วงอายุเดียวกัน

“ครึ่งปีกว่าๆ ก่อนหน้าข้าพบเขาที่เขาไร้พรมแดน เขายังคงเป็นเพียงแค่ระดับขั้นจิตราชั้นในระยะต้นเท่านั้น” ซืงคงจิงหันศีรษะกลับไปเอ่ยถามเยี่ยนจ้าวเกอว่า “ได้ยินมาว่าตอนที่พวกเราไปยังถังตะวันออก เขาเพิ่งมีพลังฝึกปรืออยู่ในดับหลอมกายขั้นที่แปดหรือเก้าไม่ใช่หรือ”

วาจานี้กล่าวออกไป จางเหยาและคนอื่นที่อยู่ข้างๆ ต่างก็ตกอกตกใจ “หมายถึงสงครามถังตะวันออกก่อนหน้านี้หรือ พลังฝึกปรือเขาพัฒนาจนถึงระดับนี้แล้วหรือนี่”

เยี่ยนจ้าวเกอทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “ความจริงแล้วช่วงก่อนหน้ามีระดับพลังฝึกปรือต่ำกว่านี้ อยู่ในระดับหลอมกายขั้นที่ห้าหรือหกไม่อาจกล่าวได้แน่ชัด เขาพัฒนาจนถึงระดับขั้นนี้ในช่วงระยะเวลาประมาณสองปี มีความเป็นไปได้ว่าจะสั้นกว่านี้”

จางเหยาพูดไม่ออกอยู่บ้าง หลี่จิ้งหว่านมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ระดับขั้นพัฒนารวดเร็วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยระดับเดียวกันนี้ กำลังสู้รบของเขาช่างแข็งแกร่งเสียจริง”

ชายหนุ่มยิ้มแต่ไม่เอ่ยพูด เพราะนี่เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์ของเขา และเพราะจังหวะโอกาสแต่ละคนไม่เหมือนกัน พลังความสามารถของผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันก็อาจจะมีสูงมีต่ำเช่นกัน

ถึงแม้ว่าจ้าวฮ่าวจะมีเป้าหมายสูงส่งแต่ความสามารถน้อยนิดก็ตาม กระนั้นฝีมือการสู้รบจริงในระดับพลังฝึกปรือขั้นเดียวกันแล้ว เขาแกร่งยิ่งกว่าหลินโจวและเยี่ยจิ่งอย่างแท้จริง

ระดับพลังฝึกปรือของทั้งสามยิ่งต่ำ ความได้เปรียบของจ้าวฮ่าวก็ยิ่งชัดเจนขึ้น อีกทั้งความได้เปรียบนี้ยังต่อเนื่องยาวนานอีกด้วย

ตำหนักอัสนีสวรรค์มีศิษย์เสียเปรียบด้วยน้ำมือของจ้าวฮ่าวแล้ว เสียจื่ออี้ยกยอฐานะตนเองจึงไม่อาจลงมือได้ คนที่อายุเท่ากันกับเขา หลังจากเห็นพลังความสามารถพลังฝึกปรือของเขากับตาแล้ว ก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา

หลินโจวและเยี่ยนส่านล้วนไม่ได้มา ศิษย์สืบทอดหลักของสายตำหนักอัสนีสวรรค์ที่มาคราวนี้ ในด้านอายุจึงปรากฏความขาดแคลนอยู่เล็กน้อย ถึงขั้นที่จี้ฮั่นหรูแห่งเขาไร้พรมแดนเองก็ไม่มีคู่ต่อสู้เช่นกัน

ตำหนักอัสนีสวรรค์คิดอยากหาโอกาสเอาคืน ชั่วขณะหนึ่งจึงเก้อเขินวางตัวไม่ถูกยิ่ง

สุดท้ายเป็นศิษย์หญิงนามว่าเฉินหลินก้าวออกมา ประลองกับเซียวอวี่แห่งเขาไร้พรมแดน

ถึงแม้ว่าเฉินหลินจะเป็นสตรี ทว่าอุปนิสัยกลับโหดเหี้ยม ลงมือแล้วดุดันและอำมหิต ประสบการณ์ต่อสู้จริงสมบูรณ์เหลือแหล่ แม้ว่าเซียวอวี่จะปราดเปรื่องมากความสามารถ ทว่ากลับเป็นคนที่ดีแต่ปากเสียอย่างนั้น ด้วยประสบการณ์ที่ไม่เพียงพอ ทำให้เฉินหลินได้เปรียบอยู่บ้าง ในที่สุดตำหนักอัสนีสวรรค์ก็เอาคืนได้ยกหนึ่ง

จี้ฮั่นหรูและคนอื่นๆ ไม่ได้กล่าวอันใด สายตาที่จ้าวฮ่าวมองไปยังเซียวอวี่ก็ไม่ได้ปรองดองอย่างไรแล้ว แต่เปี่ยมล้นไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามมากกว่า

อีกด้านหนึ่ง การประลองระหว่างสวีเฟยกับถังหย่งฮ่าวมีแนวโน้มไปทางเข้าขั้นตึงเครียดที่สุดโดยสิ้นเชิง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนยากจะแยก

แม้ว่าระหว่างทั้งสองจะไม่ได้อาฆาตแค้นต่อกันก็ตาม ถึงขั้นยังเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันอยู่บ้าง กระนั้นบัดนี้ทั้งสองกลับล้วนใช้พลังทั้งหมด ไม่เก็บงำไว้แม้แต่น้อย

การต่อสู้ระหว่างพวกเขา กลับจะกลายเป็นว่าเริ่มต้นตั้งแต่การประชุมฝ่านภาเป็นต้นมาเสียด้วยซ้ำไป เป็นสนามหนึ่งที่มีกลิ่นดินปืนคละคลุ้งมากที่สุด

ในช่วงการประลอง มีหลายครั้งที่ทั้งสองคนต่างพ่ายแพ้และบาดเจ็บ ถึงขั้นที่หวิดจะพินาศไปด้วยกันอยู่หลายครา

พยัคฆ์ประจัญมังกรครั้งหนึ่งนี้ ยากจะแบ่งว่าผู้ใดเหนือหรือด้อยกว่า ถึงแม้ว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และเขากว่างเฉิงต่างก็หวังว่าศิษย์สำนักตนจะสามารถชิงชัยชนะในการประลองครั้งนี้ได้ แต่ถ้าหากหน่ออ่อนที่ศักยภาพน่าตกตะลึงของทั้งสองสู้กันจนพินาศไปพร้อมกัน ก็เป็นผลที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยินดีที่จะเห็น

สุดท้ายการประลองสนามนี้ ก็ทำได้เพียงตีเสมอกันเท่านั้น

เมื่อการต่อสู้ระหว่างสวีเฟยและถังหย่งฮ่าวจบลง ในที่สุดหลายคนที่ชมการประมือก็ละความสนใจไปได้ เริ่มแสวงหาคู่ต่อสู้ของตนเองบ้าง

ถึงแม้ว่าการที่ผ่านการต่อสู้ระหว่างสวีเฟยและถังหย่งฮ่าวจะเหมือนกับการกินอาหารจานหลักก่อน ส่วนที่เหลือล้วนกลายเป็นของหวานหลังอาหารทั้งสิ้น ทว่าการประชุมฝ่านภามาถึงยามนี้ก็คึกคักขึ้นมาในที่สุด

บนเกาะลอยแม้ว่ามีเพียงศิษย์รุ่นเยาว์ของแต่ละสำนักขึ้นเกาะเข้าร่วมเท่านั้น ทว่าเหล่าผู้มีอำนาจแต่ละสำนักทั้งหลายที่นำคณะมาทะเลสาบปิดนภา ก็ให้ความสนใจในกระบวนการการประชุมฝ่านภาเช่นเดียวกัน

แม้ว่าจะมีเรื่องอื่นๆ อยู่ภายในใจ แต่มันก็ไม่กระทบกับการสังเกตการณ์ผู้สืบทอดอันโดดเด่นของแต่ละสำนัก

ในการประชุมฝ่านภาทุกๆ ปี โดยส่วนใหญ่ล้วนจะปรากฏอัจฉริยะมากพรสวรรค์ ฝีมือสะเทือนเลื่อนลั่นออกมาไม่น้อย และการแสดงออกของจ้าวฮ่าว ก็ยังคงดึงดูดสายตาให้จับจ้องเป็นอย่างยิ่ง

“ฟางจุ่น ศิษย์ผู้นี้ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชายชราหนวดเคราสีดำผู้หนึ่งภาคภูมิใจยิ่ง “บอกเจ้าไว้เลยว่าไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยนจ้าวเกอจากเขากว่างเฉิงของเจ้า!”

ซานสือเวิง ผู้อาวุโสแห่งเขาไร้พรมแดนที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้าเฉยเมย แววตาเจือความจำใจอยู่ไม่มากก็น้อย

ผู้ที่รับหน้าที่นำคณะมายังทะเลสาบปิดนภาของเขาไร้พรมแดนครานี้คือเขา ส่วนผู้อาวุโสโม่ ชายชราหนวดเคราดำผู้นี้ ในระยะนี้เคลื่อนไหวอยู่ที่บึงพิภพ ด้วยความที่อยู่ใกล้เคียงจึงรีบมาผสมโรงที่ทะเลสาบปิดนภาด้วยเช่นกัน

พลังฝึกของปรือชายชราผู้นี้สูงกว่าเขา เมื่อมาถึงที่นี่ ก็หมายความว่าความสนใจของเขาก็จะลดลง แต่ซานสือเวิงเองก็ไม่อยากจะช่วงชิงกับเขา

ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าจ้าวฮ่าวไปอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสโม่ได้อย่างไร เขาถึงได้รับชายหนุ่มเป็นศิษย์สืบทอด

ถึงแม้ว่าจ้าวฮ่าวแสดงศักยภาพและพลังความสามารถอันทรงพลังออกมาอย่างแท้จริงแล้ว ทว่ามีผู้อาวุโสโม่ท่านนี้หนุนหลัง ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้จ้าวฮ่าวสามารถหลุดพ้นจากจุดด่างพร้อยในเรื่องสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำได้อย่างรวดเร็ว

ผู้อาวุโสโม่เสมองฟางจุ่น “หากไม่เชื่อละก็ ให้เยี่ยนจ้าวเกอจากเขากว่างเฉิงของเจ้า กดพลังฝึกปรือลงถึงระดับขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย ซ้อมมือกับศิษย์ของข้าสักหน่อยเป็นไร”

ฟางจุ่นยิ้มจางๆ “เช่นนั้นต้องดูความต้องการของเยี่ยนจ้าวเกอเอง”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินเสียงของฟางจุ่นส่งทอดมา อดไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา ‘ระดับขั้นพลังฝึกปรือของศิษย์เขาไม่ได้สูงกว่าข้า จึงโทษข้าอย่างนั้นหรือ สู้กันสักครั้งหนึ่งย่อมไม่มีปัญหา แต่ข้าไม่ใช่คู่ซ้อมของศิษย์เขา หากท่านผู้อาวุโสท่านนี้สนใจนัก ท่านอาจารย์ลุงรองช่วยข้าถามสักหน่อยก็ได้ขอรับ ว่าเขาจะยอมกดระดับพลังฝึกปรือของเขาลงถึงขั้นเคียงนภาระยะกลาง ซ้อมมือกับข้าสักหน่อยหรือไม่ หากสู้กันสักสองยก ข้าย่อมไม่ถือสาจะลงสนามซ้อมมือ’

‘ได้’ ฟางจุ่นกล่าวตอบอย่างช้าๆ ‘ข้าจะลองถามดู’

เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่อย่างไม่แยแส ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าแวบหนึ่ง

ผู้อาวุโสแซ่โม่ท่านนี้รับรู้แล้ว ว่าภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตหยั่งลึกอยู่ที่เขาไร้พรมแดนแล้ว

………………..