ตอนที่ 46 บทลงโทษ

โจรทั้งสี่ที่เหลือตกตะลึง พวกมันมองสบตากัน “นังผู้หญิงสารเลว! เจ้ากล้าฆ่าพี่ใหญ่ของเราอย่างงั้นหรือ!”

“ขอโทษที ข้าไม่เพียงแต่กล้าฆ่าเขา แต่ข้ายังกล้าฆ่าพวกเจ้าอีกด้วย!” ซูหวานหว่านออกแรงเพียงเล็กน้อย ดาบเล่มคมก็ปาดเข้าที่ลำคอของชายคนนั้น เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว

เหตุใดหญิงคนนี้ถึงกล้าฆ่าคน มันรวดเร็วและโหดร้ายกว่าพวกเขามาก!

ซูหวานหว่านก้าวเท้าไปด้านหน้าพร้อมกับดาบในมือ หยาดเลือดไหลลงมาจากปลายดาบเป็นทาง ทำให้ชายร่างใหญ่ทั้งสี่ตื่นตระหนก และผงะถอยหลังด้วยความหวาดกลัว

“ไม่หยิ่งผยองแล้วหรือ? ไหนเมื่อครู่ยังหมายเอาชีวิตข้าอยู่เลย? งั้นขอข้าดูหน่อยว่าพวกเจ้ามีความสามารถหรือไม่!” ซูหวานหว่านจ้องมองไปยังชายทั้งสี่คน นัยน์ตาของนางราวกับว่าหลุดมาจากขุมปีศาจ

พวกเขาก้าวถอยหลังเล็กน้อยและเอ่ยพูดพร้อมกันว่า “เฮ้ คิดว่าเราไม่มีความสามารถงั้นหรือ!”

ซูหวานหว่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสี “งั้นเข้ามาเลย! เหตุใดพวกเจ้าถึงพากันเดินถอยหลังเช่นนั้น? หากกลัวก็พูดออกมาไม่เช่นนั้นจะเสียเวลาเปล่า ๆ!”

ทั้งสี่คนถึงกับยืนนิ่งอึ้ง ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำราวกับว่าพวกเขากำลังขายหน้าที่ถูกผู้หญิงคนเดียวเอ่ยดูถูก ว่าแล้วพวกเขาพลันพุ่งเข้าไปหาซูหวานหว่านทีละคนพร้อมดาบในมือ! “พวกเรามีกันอยู่สี่คน หากเอาชนะเจ้าที่เป็นผู้หญิงคนเดียวไม่ได้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแล้ว!”

“พวกเจ้ามาพูดกับข้าด้วยการกระทำจะดีกว่า ข้าจะบอกอะไรให้นะ พวกเจ้าไม่สามารถเอาชนะข้าได้!” ซูหวานหว่านพูดเย้ยหยัน นางกระโดดตัวเบา ๆ พร้อมกับวิ่งไปมารอบตัวของผู้ชายทั้งสี่คนที่กำลังถือดาบเอาไว้ในมือของตนเองอย่างรวดเร็ว นางใช้เวลาไม่ถึงสองวินาทีในการวิ่งไปรอบ ๆ ตัวของชายพวกนั้น ทำให้พวกเขาตกตะลึง ด้วยสงสัยว่าเหตุใดซูหวานหว่านถึงวิ่งได้เร็วนัก

ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายทั้งสี่คนจู่ ๆ ก็มีอาการปวดไปที่เอวและหน้าท้องของตนเองอย่างรุนแรง ทั้งสี่มองลงไปและเห็นว่าเอวของพวกเขาถูกซูหวานหว่านใช้ดาบฟัน โดยที่พวกเขาไม่รู้สึกตัวเลยว่านางลงมือตอนไหน ชายทั้งสี่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาก็เสียชีวิตลง

“พวกเจ้ายังอยากจะฆ่าข้าอยู่อีกหรือไม่!”

ซูหวานหว่านมองฉากตรงหน้าด้วยใบหน้าเย็นชา จากนั้นจึงจัดฉากอย่างพิถีพิถัน แกล้งทำเป็นว่าคนทั้งสี่คนเสียชีวิตจากการต่อสู้กันเอง และนางก็หลบหนีไป

ซูจิ่นหมิงและหลี่ฉือโทวได้รีบเข้าไปรายงานกับพลลาดตระเวน ทว่าพวกเขากลับบอกว่าต้องรอตรวจสอบก่อน ณ ขณะนี้เรื่องนี้จะรอตรวจสอบได้อย่างไรกัน! หากเป็นเช่นนี้อาจจะไปช่วยซูหวานหว่านไม่ทัน!! ทั้งสองคนไม่รอช้ารีบออกมาโดยทันที

ทั้งสองคนไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาควรจะทำอย่างไรดี และพวกเขาก็ไม่สามารถทิ้งซูหวานหว่านได้ จึงหยิบท่อนไม้สองท่อนแล้วพากันวิ่งกลับไป

พอมาถึงสถานที่ที่พวกเขาถูกปล้น ทั้งสองคนก็ต้องตกใจ

มีศพห้าศพนอนอยู่ สภาพน่าสยดสยองและน่ากลัวมาก

“ท่านพี่!” ซูจิ่นหมิงเกือบจะกระโดดลงจากเกวียน ทว่ากลับถูกหลี่ฉือโทวฉุดเอาไว้ก่อน

“เจ้าจะทำอะไร! ไม่มีศพของซูหวานหว่านอยู่ที่นี่! แสดงว่านางยังมีชีวิตอยู่!”

ซูจิ่นหมิงเพิ่งรู้ตัว เขาพยายามตะโกนเรียกซูหวานหว่าน แม้แต่เจ้าวัวก็ส่งเสียงร้อง พลันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำของเด็กสาวดังขึ้นในระยะไกล ดูเหมือนเจ้าวัวจะจำและคุ้นเคยกับเสียงได้ หลังจากที่ได้ยินเสียง มันก็ออกตัวเดินผ่านศพเหล่านั้นไป แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องพากันตกใจ

ขณะที่เกวียนได้เดินทางออกมาไกลสักระยะหนึ่งแล้ว ก็เห็นซูหวานหว่านที่ยืนอยู่ข้างถนน ดูเหมือนกำลังยืนรอพวกเขาอยู่

เมื่อเห็นท่าทางของซูหวานหว่านที่สงบนิ่งและไม่ได้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสองคนต่างประหลาดใจ พากันรีบถามถึงเหตุการณ์ที่ก่อนหน้านี้ ทว่านางเพียงยักไหล่และเล่าว่า “พวกเขาคิดจะฆ่าข้า แต่เกิดการหักหลังขึ้นมาเสียก่อน ข้าก็เลยหาจังหวะที่พวกมันเผลอวิ่งหนีออกมา โชคดีที่พวกเจ้ามากันเร็ว!”

ซูหวานหว่านจึงได้ถามขึ้นมาว่า “พลลาดตระเวนอยู่ที่ไหน? เหตุใดพวกเขาถึงไม่มาด้วย?”

“พวกเขาคิดว่าพวกเราโกหกพวกเขา พวกเขาเลยไม่มา!”

ซูหวานหว่านถึงกับส่ายหัว และแอบถอนหายใจออกมา กฎและระเบียบของยุคโบราณช่างไม่ดีเอาเสียเลย

ทั้งสองไม่อยากจะเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ และรีบพากันเดินทางกลับบ้านทันที

เมื่อเดินทางมาถึงที่หมู่บ้าน หลี่ฉือโทวได้กำชับบอกกับซูหวานหว่านว่าอย่าบอกอะไรกับใครถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งซูหวานหว่านก็เห็นด้วย นางหยิบน้ำตาลทรายแดงออกมา 1 ชั่ง แล้วมอบให้กับหลี่ฉือโทว ชายชราซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้จึงจำใจต้องรับไว้ พร้อมกับขับเกวียนออกไปด้วยความปีติยินดี

ซูจิ่นหมิงได้ขนของที่ซื้อมาทุกอย่างเข้าไปเก็บในบ้านเป็นที่เรียบร้อย ในเวลานี้ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แม่เจิ้นและคนอื่น ๆ พากันออกจากบ้านไปจนหมดเพื่อไปเก็บของป่าที่ภูเขา ส่วนซูหวานหว่านนั่งพักผ่อนเฉย ๆ เพื่อดื่มด่ำกับอากาศที่เย็นสบาย

พลันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากนอกประตูบ้าน “ซูหวานหว่าน ออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ! เจ้าคิดจะมาแย่งผู้ชายของข้าไปอย่างงั้นหรือ เจ้ากล้าดีอย่างไร เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ ซูหวานหว่าน!”

นี่เสียงของฮวงอี๋ฮวนใช่หรือไม่?

นางไปแย่งผู้ชายของฮวงอี๋ฮวนตั้งแต่เมื่อใดกัน? อีกทั้งยังกล้ามาพูดใส่ร้ายตนอีก! ซูหวานหว่านรู้สึกรำคาญเล็กน้อย พลันใดนั้นเองนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้ฉีเฉิงเฟิงได้เอาจี้หยกมาให้กับนาง หรือว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าแม่เฒ่าซูเอาไปบอกนางหรอกนะ?

ไม่ใช่ว่าฮวงอี๋ฮวนไม่ชอบเพื่อนบ้านข้างเคียงตัวเองหรอกหรือ! แล้วเหตุใดวันนี้ถึงมาถึงที่นี่ได้!

เดิมทีซูหวานหว่านรู้สึกเบื่อที่จะโต้เถียงกับฮวงอี๋ฮวนเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ทว่าจู่ ๆ นางก็อยากเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของฮ่วงอี๋ฮวน เมื่อคิดได้เช่นนั้นซูหวานหว่านก็ลุกขึ้นยืน เดินออกไปเปิดประตูบ้าน และได้พบฮวงอี๋ฮวนซึ่งยืนพิงกับประตูอยู่ เลยได้เห็นอีกฝ่ายเซ เกือบเสียหลักล้มลง

“ซูหวานหว่าน! เจ้าทำเกินไปแล้ว! เจ้าไม่รู้หรือไงว่าท่านพี่เฉิงเฟิงชอบข้า! เหตุใดเจ้าต้องทำให้เขาเข้าไปพัวพันกับเจ้า! เจ้ายังโกหกอีก เขาก็แค่ให้หยกหัก ๆ กับเจ้าแค่นั้นเอง!”

มีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

ตาคนบางคนก็เหมือนจะไม่มี เห็นอะไรก็พูดไปเรื่อยทั้งที่ยังไม่รู้เรื่อง ปากของคนบางคนก็เหมือนกัน ดูเหมือนจะมีแต่ก็ไม่มี เพราะบางคนก็พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง

ซูหวานหว่านถึงกับขมวดคิ้วและเหยียดยิ้มช้า ๆ “เหตุใดเจ้าถึงมาที่บ้านข้าได้ ทั้งยังมายืนด่ากราดไปทั่ว เป็นเพราะว่าเจ้าไม่มีมารยาท? หรือว่าเป็นเพราะเจ้าเป็นผู้หญิงที่ปากคอเราะรายกันแน่?”

“นี่! นังผู้หญิงต่ำช้า! ท่านพี่เฉิงเฟิงตาบอดจริง ๆ ที่มาชอบคนอย่างเจ้า!” ฮวงอี๋ฮวนพูดออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลริน นางเอื้อมมือออกมาปาดน้ำตาทั้งสองข้าง ทำให้ผ้าคลุมบนใบหน้าของนางได้หลุดออก เผยให้เห็นใบหน้าบวมเป่งที่ยังไม่หายดี แถมตอนนี้มีอาการบาดเจ็บเพิ่มเข้ามาใหม่ และมีรอยฝ่ามือสีแดงสดสะดุดตาที่ข้างแก้มและเห็นได้อย่างชัดเจน

“ว้าว วันนี้เจ้าดูสวยมากเลยนะ” ซูหวานหว่านยิ้มออกมา เมื่อรู้ว่าซูหวานหว่านกำลังเยาะเย้ยตัวเองอยู่ นางก็พลันจ้องไปที่ซูหวานหว่านด้วยความโกรธทันที “หากหน้าของข้าดีขึ้นเมื่อใด แน่นอนว่าข้าจะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในหมู่บ้านนี้ เจ้ามันน่าเกลียด ยังกล้ามีหน้ามาพูดจาเยาะเย้ยข้าอีก!”

ฮวงอี๋ฮวนพับแขนเสื้อตัวเองขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปหาซูหวานหว่านพร้อมกับเล็บมือที่ยาวของตัวเอง หวังจะตบหน้าของอีกฝ่าย ทันใดซูหวานหว่านก็สังเกตเห็นว่ามีคนกำลังเดินมา เช่นเดียวกับที่จู่ ๆ ใบหน้าของฮวงอี๋ฮวนก็เปลี่ยนเป็นสีแดง นางชี้นิ้วเรียวยาวไปที่ซูหวานหว่านพร้อมกับร้องไห้ออกมา “ซูหวานหว่าน! เจ้ามันคนใจร้าย! เจ้ามาตบข้าทำไมกัน!”

นี่มันคืออะไร?

หรือนังดอกบัวเทียมนี่คิดเสแสร้งทำเป็นว่าตัวเองถูกทำร้ายต่อหน้าฉีเฉิงเฟิงอย่างงั้นหรือ?

ซูหวานหว่านถึงกับขบริมฝีปากเพื่อรอดูว่าฮวงอี๋ฮวนจะทำอย่างไรต่อไป!

ซูหวานหว่านชี้ไปที่รอยตบบนใบหน้าของฮวงอี๋ฮวนพร้อมกับพูดว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่ามันคือฝีมือของข้า?”

“เจ้ากล้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้ตบหน้าข้า?” ฮ่วงอี๋ฮวนจ้องไปที่ซูหวานหว่านด้วยสีหน้าเศร้าสลด และเหลือบมองไปยังฉีเฉิงเฟิงด้วยสายตาคับข้องใจที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจของนาง พร้อมกับน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาอีกครั้ง

เพี๊ยะ!

ซูหวานหว่านตบลงไปบนใบหน้าอีกข้างของฮวงอี๋ฮวนแบบไม่ได้สนใจอะไร พลันใดนั้นใบหน้าของฮวงอี๋ฮวนก็ปรากฏรอยฝ่ามือแดงขึ้นมา ซูหวานหว่านพยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจแล้วพูดว่า “ข้ากล้าพูดได้เลยว่าข้าไม่ได้เป็นคนทำ เพราะว่ารอยตบมันต่างจากอีกด้านหนึ่ง แถมรอยตบทางด้านนี้ก็เล็กกว่าอีกด้านมาก”

“เจ้า!” ฮวงอี๋ฮวนลูบใบหน้าของตัวเองอีกข้างหนึ่ง เมื่อนางได้ไปสัมผัสมัน อาการเจ็บก็กลับมา พลันใดนางก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้งพร้อมกับพูดว่า “เจ้านั่นแหละที่ตบข้า! เจ้ามันโหดร้าย!”

“ข้าบอกแล้วไง ว่าข้าไม่ได้เป็นคนตบเจ้า หากยังอยากพิสูจน์อยู่ว่าเป็นฝีมือข้าทำอยู่หรือเปล่า ข้าจะตบไปที่หูอีกข้างของเจ้าดีหรือไม่ เผื่อว่าเจ้าจะได้ยอมรับความจริงเสียที” ซูหวานหว่านพูดออกมาอย่างเย็นชา และพอใจมากที่ได้เห็นฮวงอี๋ฮวนวิ่งหนีไป