บทที่ 18 คนคุ้นเคย Ink Stone_Fantasy

ร้านมงกุฎทองแดงในยามใกล้เที่ยงวันดูจะสว่างขึ้นเล็กน้อยจากแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามา เมื่อเทียบกับช่วงเช้าตรู่เหมือนตอนที่ลูเซียนเคยมา เวลานี้มีผู้คนเยอะกว่ามาก กวีขับลำนำกำลังทำหน้าที่ขับร้อง โดยมีเสียงพูดคุยโฉงฉางดังคละเคล้า ทำให้เสียงภายในร้านคล้ายกับจะดังขึ้นเรื่อยๆ

ลูเซียนสังเกตเห็นว่ามีหลายคนที่สวมเสื้อเกราะทำจากหนัง บางคนไม่คุ้นหน้าทั้งยังแผ่รังสีโหดเหี้ยม นอกจากนี้ยังมีสาวงามหลายคนที่ดูเหมือนจะเป็นทหารรับจ้างและนักผจญภัย

หลังจากดิ้นรนฝ่าฝูงชนอยู่สักพัก ลูเซียนก็เบียดตัวมาตรงหน้าบาร์ได้ในที่สุด

“ไง คุณลูกค้า อยากดื่มอะไรงั้นหรือ” โคเฮ็นดื่มเบียร์ไปพลางทักทายไปพลางโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา

ลูเซียนเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ “ท่านลุงโคเฮ็น ข้าเอง”

“เอ่อ ลูเซียน ทำไมเจ้าถึงมีสภาพเช่นนี้” โคเฮ็นประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นใบหน้าฟกช้ำบวมเฉ่งของลูเซียน ก่อนที่หนวดเคราของเขาจะสั่นเทา “เดี๋ยวนะ แจ็คสัน แก๊งอารอนมาถามหาเจ้า เจ้าหนุ่ม เจ้าไม่ได้ไปมีปัญหากับพวกอันธพาลมาใช่หรือไม่”

ลูเซียนรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะตอบ “คือ ปัญหาจัดการเสร็จไปแล้วล่ะขอรับ ท่านลุงโคเฮ็น ข้าอยากจะรู้ว่าตอนนี้มีอาจารย์ท่านไหนรับสอนหนังสือบ้างน่ะ”

“เจ้า เจ้าเก็บเงินได้ครบห้านาร์แล้วหรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าไปปล้นพวกอันธพาลมานะ” โคเฮ็นยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม เขาจ้องเข้าไปในดวงตาลูเซียนราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาดไม่ทราบชื่ออยู่อย่างไรอย่างนั้น

ลูเซียนคิดว่ามันคงจะเรียกว่าเป็นการปล้นได้จริงๆ แต่เขาไม่อยากเรียกแบบนั้น เขาจึงต้องอธิบายสั้นๆ และบอกว่าเป็นครอบครัวของโจเอลที่ให้ยืมเงินแล้วนำมารวมกับของเขา

โคเฮ็นจิบเบียร์ก่อนจะเอ่ยสรรเสริญ “ลูเซียน เจ้ากับจอห์นเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ เป็นลูกผู้ชายที่รู้จักเลือดร้อนและชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์!

แต่ว่า เจ้ากับครอบครัวของโจเอลต้องระวังตัวเอาไว้ แม้ว่าพวกมันจะไม่กล้าแก้แค้นโดยตรงตราบใดที่จอห์นยังเป็นอัศวินฝึกหัดของเซอร์เวนน์ แต่ลับหลัง จะต้องมีคนที่ยอมเสี่ยงลงมือเป็นแน่” โคเฮ็นเตือนลูเซียนอีกครั้ง

ลูเซียนพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม “เราจะระวังตัวไว้ขอรับ”

จากนั้นโคเฮ็นก็นำแผ่นกระดาษที่มีลวดลายยึกยือแปลกประหลาดเหมือนลายมือเด็กขีดเขียนออกมา “ฮ่าๆ ถึงข้าจะอ่านไม่ออก แต่ข้าก็มักวาดสัญลักษณ์บางอย่างเพื่อให้ตัวเองจำได้”

จากนั้นเขาก็บอกรายชื่อผู้ที่เต็มใจจะสอนหนังสือ รวมถึงที่อยู่ และเวลาเรียน ก่อนจะให้ลูเซียนเลือก

ลูเซียนฟังอย่างตั้งใจ เปรียบเทียบไปทีละคน แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินชื่อคุ้นหู “วิกเตอร์? นักดนตรีที่ชื่อวิกเตอร์น่ะหรือขอรับ”

โคเฮ็นมองลูเซียนด้วยสายตาแปลกๆ “ใช่ เจ้ารู้จักท่านวิกเตอร์งั้นรึ”

“ข้าเคยเจอตอนไปที่สมาคมนักดนตรีคราวก่อน แต่ไม่ใช่ว่าท่านวิกเตอร์มีงานแสดงที่หอประชุมแห่งบทสวดในอีกสามเดือนจากนี้หรอกหรือขอรับ ท่านจะมีเวลาสอนหรือ” ลูเซียนนึกสงสัยว่าโคเฮ็นจำผิดหรือเปล่า

โคเฮ็นหัวเราะขัน “เพราะเหตุนั้นท่านวิกเตอร์ถึงต้องสอนหนังสืออย่างไรเล่า”

“การขึ้นแสดงที่หอประชุมแห่งบทสวดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นักดนตรีจะต้องได้รับเชิญจากคณะกรรมการของสมาคมนักดนตรี หรือได้รับเชิญจากองค์ราชา หรือเจ้าฟ้าหญิงนาตาชา และเพราะว่าที่หอประชุมแห่งบทสวดจะจัดการแสดงเพียงหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ดังนั้นหากว่าไม่ใช่นักดนตรีชื่อดัง ก็ต้องเฝ้ารอไปอีกนาน ท่านวิกเตอร์ได้รับเชิญเมื่อหกเดือนก่อน และเพื่อเตรียมการสำหรับการแสดงนี้ ท่านต้องเลื่อนการแสดงที่อื่นๆ ออกไป รวมถึงคำเชิญให้ไปแสดงยังพระราชวังเก่าแก่ของอาณาจักรไซราคิวส์ รายได้ของท่านจึงเหลือน้อยมาก และลือกันว่าตอนนี้ท่านอยู่ได้ก็เพราะเงินเก็บเท่านั้น”

ลูเซียนเข้าใจในเหตุผลนั้น “แต่ในเมื่อท่านวิกเตอร์ให้ความสำคัญกับการแสดงที่หอประชุมแห่งบทสวดมากๆ ทำไมถึงต้องเสียเวลากับการสอนหนังสือด้วยล่ะขอรับ” ไปยืมเงินเอาก็ได้นี่

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ข้าได้ยินมาว่า ยิ่งใกล้ถึงเวลาทำการแสดง ท่านวิกเตอร์ก็ยิ่งกดดัน และเจ้าก็รู้ว่านักดนตรีอ่อนไหวง่ายเพียงใด หากไม่หาอะไรทำ บางทีท่านวิกเตอร์อาจจะสติแตกเพราะการแสดงนี้ก็ได้! อึ๊กๆ” โคเฮ็นยกแก้วเบียร์ขึ้นกระดก

ลูเซียนอยากเลือกคนผู้นี้ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เขาเคยเจอกับวิกเตอร์ด้วยตัวเองแล้ว และคิดว่าเขาดูมีลักษณะท่าทางและมารยาทที่ดี “อืม เช่นนั้นข้าจะเรียนกับท่านวิกเตอร์ขอรับ”

……

เขตเกซูคือเขตที่ตั้งชื่อตามนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่นามเกซู ผู้ประดิษฐ์คิดค้นไวโอลินขึ้นมา และเขตนี้คือที่อยู่อาศัยของนักดนตรีส่วนใหญ่ในเมืองอัลโต้ ซึ่งเป็นเขตที่มีทิวทัศน์งดงาม สะอาด และเงียบสงบ

ต้นไม้ทั้งสองฝั่งถนนหน้าตาคล้ายต้นมะเดื่อตั้งตระหง่านสูงใหญ่ดูหนาตา แสงแดดส่องลอดใบไม้ลงมากระทบพื้นดินเป็นจุดเล็กๆ สีทองเจิดจ้า ส่วนเงาที่ล้อมรอบนั้นทำให้บรรยากาศคล้ายภาพวาดที่ประสานทั้งแสงและความมืดอย่างลงตัว

ลูเซียนเดินผ่านต้นไม้เหล่านั้นไปตามที่อยู่ที่ได้จากโคเฮ็น และหลังจากหลงทางอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็พบตัวอาคารหมายเลข 12 บนถนนสเนห์วา เขตเกซู

หลังรั้วสีฟ้าเทอร์ควอยซ์คือตึกสองชั้นเล็กๆ ที่ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์สีเขียว ให้บรรยากาศเก่าแก่และสงบเงียบ หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ลูเซียนจะได้มาที่นี่เพื่อเรียนในสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาเป็นเวลาสองเดือน ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่บ่ายสองถึงสี่โมงเย็น

ลูเซียนเคาะประตูเบาๆ และไม่นานคนรับใช้ก็เดินมา เขามองชุดของลูเซียนผ่านทางประตูเหล็กคล้ายรั้วเหล็กดัดแล้วขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ามาหาผู้ใดกัน”

หลังจากที่ลูเซียนอธิบายอย่างชัดเจน เขาก็ยังดูไม่ค่อยเชื่อถือ “ค่าเล่าเรียนคือห้านาร์ต่อเดือน เจ้าต้องจ่ายก่อนเรียน เจ้าพร้อมหรือ”

ลูเซียนไม่คิดกังวลกับการเหยียดซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเรียนรู้อีกแล้ว เขาจึงหยิบถุงเงินขึ้นมาและเทเหรียญออกมาไว้บนมือห้านาร์ “แน่นอนขอรับ”

คนรับใช้วัยกลางคนมองเหรียญเงินบนมือลูเซียนด้วยความสงสัย เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เด็กหนุ่มที่สวมชุดมอซอกลับสามารถนำเงินออกมาห้านาร์ด้วยท่าทางสบายๆ คนรับใช้นักดนตรีชื่อดังอย่างเขา ยังได้รับเงินเพียงสิบนาร์ต่อเดือน และหลังหักลบจากค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ก็ยังเก็บได้แค่หนึ่งนาร์ต่อเดือนหรืออาจน้อยกว่านั้น

ขณะที่เขาเปิดประตู เขาก็จ้องมองลูเซียนอย่างระแวดระวัง “ท่านวิกเตอร์คือนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงในอัลโต้และรู้จักมักคุ้นกับเจ้าหน้าที่ในศาลาว่าการนะ” เขาสงสัยว่าลูเซียนอาจได้รับเงินมามากมายจากช่องทางผิดปกติ

ลูเซียนเพียงยิ้ม ไม่ตอบอะไร ก่อนจะเดินตามคนรับใช้ที่แต่งตัวดูดีผ่านสนามหญ้าไปยังตึกสองชั้นเล็กๆ นี้ เฝ้ามองอีกฝ่ายเปิดประตูไม้สีน้ำตาลเบาๆ แล้วเข้าไปเพื่อรายงาน

หลังจากนั้นไม่กี่นาที คนรับใช้ก็ออกมาพร้อมกับกระซิบบอก “ตามข้าเข้าไป แล้วมอบเงินให้พ่อบ้านเอซในห้องโถงโดยตรง”

ห้องโถงนั้นกว้างมาก พื้นปูด้วยพรมสีเหลืองเข้มไม่ดูเด่นสะดุดตาจนเกินไป โดยมีโต๊ะกาแฟสีอำพัน โซฟาสีน้ำตาล โต๊ะกลมเล็กๆ และข้าวของตกแต่งอีกหลายอย่างใกล้ๆ กันนั้น ที่เห็นไกลๆ คือโต๊ะตัวยาวที่ดูเหมือนโต๊ะรับประทานอาหาร

อาจเพราะว่ามีเด็กมาเรียนที่นี่หลายคน ชั้นเรียนของวิกเตอร์จึงไม่ได้จัดขึ้นที่ห้องทำงาน แต่เป็นห้องโถง

บนโซฟาและบนเก้าอี้ไม้สีแดงมีเด็กผู้ชายห้าคนและเด็กผู้หญิงสามคนจับจองอยู่ ทุกคนดูยังเด็กมาก ราวๆ สิบสามสิบสี่ไปจนถึงยี่สิบต้นๆ

บนโต๊ะกาแฟและโต๊ะกลมเล็กๆ ตรงหน้าพวกเขามีปากกาขนนก กระดาษ และของใช้อื่นๆ วางอยู่ บางคนกำลังคัดลอกบางอย่างอยู่ ในขณะที่คนอื่นๆ พึมพำออกเสียงทบทวนคำศัพท์หรือฮัมเป็นทำนองเพลง

ดูจากชุดที่พวกเขาสวมใส่แล้ว ลูเซียนก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขามาจากปูมหลังที่แตกต่างกัน เด็กชายหญิงสองคน แม้ว่าเสื้อผ้าของพวกเขาจะสะอาดสะอ้าน และเหมือนจะพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้ดูดี แต่ก็เนื้อแท้ยังดูธรรมดามาก ในขณะที่เด็กชายอีกสามคนกับเด็กหญิงอีกสองคน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ พวกเขาต่างก็ดูสูงศักดิ์

ลูเซียนเดาว่ากลุ่มหลังคือสมาชิกทั่วไปของครอบครัวชนชั้นสูงที่ไม่มีสิทธิรับบรรดาศักดิ์กับที่ดินส่วนใหญ่และไม่สามารถกระตุ้นพรในสายเลือดได้ พวกเขาไม่มีเงินเหลือพอจะจ้างอาจารย์ส่วนตัว จึงต้องมาเรียนที่บ้านของอาจารย์ และในเมืองอัลโต้ การได้เป็นนักดนตรีที่สง่างามก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง

การสอนตัวต่อตัวเช่นนี้ ไม่มีทางที่ทุกคนจะก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน ดังนั้น วิกเตอร์ที่สวมเสื้อโค้ตสีแดง จึงต้องพูดกับเด็กคนหนึ่ง ก่อนจะหันไปกระซิบใส่หูเด็กอีกคน

ลูเซียนกวาดตามองไปรอบๆ ห้องโถงก็เห็นพ่อบ้านในชุดสูทสีดำสะอาดสะอ้านยืนอยู่ใกล้กับประตู ผมสีดอกเลาและใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นไม่น้อยบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว แต่เขากลับยืนอยู่ตรงนั้นด้วยแผ่นหลังที่เหยียดตรงและดูท่าทางเข้มงวดกวดขัน

“ขอประทานโทษขอรับ ท่านคือพ่อบ้านเอซใช่หรือไม่” ลูเซียนเดินอย่างระมัดระวังและถามเสียงแผ่ว

พ่อบ้านผู้นั้นพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าคือพ่อบ้านเอซ ข้าขอทราบชื่อและระดับการเรียนของเจ้าได้หรือไม่”

“เป็นเกียรติของข้าขอรับ ข้ามีนามว่าลูเซียน อีวานส์ ยังไม่เคยเรียนการอ่านมาก่อนเลยขอรับ” ลูเซียนกระซิบตอบขณะยื่นห้านาร์ให้กับเอซ

พ่อบ้านเอซรับเงินไปพลางเหลือบมองลูเซียนด้วยสายตาแปลกๆ ชุดที่เขาสวมดูมอซอ ทั้งยังไม่เคยเรียนการอ่านมาก่อน เห็นได้ชัดว่าเขามาจากสลัม คนหนุ่มจากสถานที่แห่งนั้นส่วนใหญ่แล้วจะกักขฬะหยาบคาย ทว่าลูเซียนที่อยู่ตรงหน้าเขา แม้จะไม่เคยเรียนมารยาทมาก่อน แต่อย่างน้อยเขาก็สุภาพอ่อนน้อมและดูเป็นผู้ใหญ่อย่างยิ่ง นี่ถือเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย

เขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาไปยังกลางโถงแล้วกระซิบกับหูวิกเตอร์ วิกเตอร์หันมามองลูเซียน จากนั้นก็พยักหน้าให้เขาพลางชี้ไปทางโซฟาว่างตัวหนึ่งเป็นสัญญาณว่าให้ลูเซียนนั่งตรงนั้น ในขณะที่เอซเดินขึ้นบันไดไป

ในตอนนั้นเอง นักเรียนชายหญิงทั้งแปดคนที่ตั้งใจเรียนอยู่ เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีนักเรียนใหม่เข้ามา พวกเขามองหน้ากัน ก่อนจะมองมาทางลูเซียนที่ยืนอยู่ข้างประตูด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้

ด้วยเส้นผมกับดวงตาสีดำ บวกกับเครื่องหน้าดูดีตราตรึงใจ จึงสามารถพูดได้ว่านักเรียนใหม่คือผู้ที่หล่อเหลาเอาการ ทว่าเขากลับสวมเสื้อที่ตัดจากผ้าลินิน กางเกงสีเดียวกับเสื้อ และรองเท้ามีส้นแบบธรรมดาๆ ถึงแม้ทั้งหมดนั้นจะดูสะอาดสะอ้าน แต่เขาก็ไม่อาจปิดซ่อนความยากจนและสถานภาพยากไร้ได้

“คนจนๆ อยากจะเรียนหนังสืออย่างนั้นรึ”

นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจพวกเขา และต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจแปลกๆ อย่างอดไม่ได้ พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าสหายคนใหม่ของพวกเขาจะเป็นเด็กผู้ชายจนๆ คนหนึ่ง

แต่แล้วเด็กชายหญิงห้าคนที่คาดว่าจะมาจากตระกูลขุนนางก็รีบกลบเกลื่อนสีหน้าของพวกเขาด้วยสีหน้าเมินเฉย แล้วต่างก็ก้มศีรษะลงทบทวนบทเรียนต่อไป ในขณะที่เด็กอีกสามคนที่ดูเหมือนจะเป็นชนชั้นกลาง เอาแต่จ้องมองลูเซียน จนกระทั่งเขานั่งลงบนโซฟาเดี่ยว ในสายตาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และคลางแคลงใจ

ในกลุ่มพวกเขามีเด็กหนุ่มผมดำและดวงตาสีดำอายุสิบเจ็ดปีที่นั่งข้างๆ ลูเซียน แต่เขากลับกระถดตัวไปอีกข้างโดยสัญชาตญาณ ราวกับว่าลูเซียนมีกลิ่นไม่พึงประสงค์

จิตใจลูเซียนไม่ได้บอบบางดั่งแก้ว ในทางตรงกันข้าม ประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แล้วส่ายหน้า ก่อนจะวางปากกาขนนกกับกระดาษสีขาวปึกหนึ่งที่ซื้อใหม่มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะบนโต๊ะกลมตัวเล็กตรงหน้าเขา และรอให้วิกเตอร์เดินมาหา

ห้านาทีต่อมา วิกเตอร์รับหนังสือปกแข็งสีดำมาจากเอซที่เพิ่งกลับมายังห้องโถง ก่อนจะเดินมาหาลูเซียน วางมันลงบนโต๊ะกลมตัวเล็ก แล้วเอ่ยเสียงกระซิบ “นี่คือ ‘การออกเสียงตามมาตรฐานภาษากลางและไวยากรณ์ขั้นพื้นฐาน’ ซึ่งเหมาะกับผู้เริ่มต้นระดับเจ้า เอาล่ะ เปิดไปที่หน้าแรกของบทที่หนึ่ง เราจะเริ่มจากการออกเสียงตัวอักษรทั้งสามสิบสองตัวก่อน”

————————————————