ตอนที่ 116 กลับบ้าน (2)
ถึงบ้านแล้ว ฟางผิงก็ไม่เปิดประตูเอง ยังคงใช้มือข้างหนึ่งบีบแก้มฟางหยวน อีกข้างลากกระเป๋า เอ่ยว่า “เปิดประตู!”
ฟางหยวนกลอกตาใส่เขา นายจะเสพติดการบีบแก้มคนอื่นเกินไปแล้ว!
น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอสู้เขาไม่ได้ ถูกจับไว้แบบนี้ ฟางหยวนทำได้แค่ควักกุญแจออกมาเปิดประตู
พอเปิดประตู ฟางผิงก็ได้ยินเสียงแม่เล็ดลอดออกมา “หยวนหยวนกลับมาแล้วเหรอ?”
“แม่ ผมเอง”
“ผิงผิง?”
หลี่อวี้อิงรีบเดินออกมาจากห้องครัว พอเห็นฟางผิงก็ดีใจจนหน้าบาน
“แม่ยังคิดว่าลูกจะไม่กลับซะอีก เมื่อวานถามลูก ลูกก็บอกไม่แน่ใจ? จริงๆ เลย กลับมาไม่บอกไม่กล่าว แม่จะโทรไปหาพ่อ ให้เขาซื้ออาหารหลู่ไช่[1]กลับมาเดี๋ยวนี้แหละ…”
“แม่!”
ฟางหยวนที่ถูกมองข้ามอยู่ด้านข้างเผยสีหน้าน้อยใจ แม่ไม่เห็นหนูถูกฟางผิงบีบแก้มหรือไง?
หน้าจะบวมเป่งอยู่แล้ว ยังไม่ช่วยลูกสาวตัวเองอีก?
หลี่อวี้อิงเหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นลูกสาว สองพี่น้องเพิ่งพบกันก็มีเรื่องกันแล้ว เธอเอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?”
ฟางผิงจนใจอยู่บ้าง “แม่ครับ ช่วยหมั่นจับตาดูเด็กคนนี้หน่อย แม่ลองทายดูว่าผมเพิ่งจะเจออะไรที่ล่างตึก?”
“จะก่อเรื่องกันอีกแล้ว! นึกไม่ถึงว่าเด็กนี้จะสร้างกลุ่มอะไรขึ้นมา ยังจะไปแย่งอาณาเขต…”
“ลูกหมายถึง…สมาคมหยวนผิงอะไรนั่นใช่ไหม?”
คำพูดของหลี่อวี้อิงทำให้ฟางผิงเบิกตากว้าง แม่ก็รู้เรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอ?
หลี่อวี้อิงเอ่ยอย่างจนใจ “ต้องสั่งสอนกันจริงๆ นั่นแหละ เด็กคนนี้พูดไม่ฟังเลย เพิ่งจะอายุเท่าไหร่ กลับคิดจะขายค้าตั้งแผงลอยร่วมกับเพื่อน วันๆ เอาแต่จะไปแย่งที่ตั้งแผง ก่อเรื่องจนอาจารย์ที่โรงเรียนรู้เรื่องหมดแล้ว”
“บอกว่าจะทำงานหาเงินเรียน ไปตั้งแผงลอยที่อื่นก็พอแล้ว แต่เด็กพวกนี้จะตั้งแผงลอยที่โรงเรียนให้ได้ พวกอาจารย์ล้วนไม่เห็นด้วย อยู่ตั้งมอต้นปีสามแล้ว ยังไม่เตรียมสอบเข้ามอปลายดีๆ อีก ที่บ้านขาดแคลนเรื่องเงินที่ไหนกัน? เฮ้อ ผิงผิงกลับมาพูดหน่อยก็ดี เด็กคนนี้แทบไม่ฟัง…”
“ตั้งแผงลอย? แย่งที่ตั้งแผง?”
ฟางผิงตกตะลึง นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เผลอปล่อยแก้มน้องสามอย่างไม่รู้ตัว เหมือนตัวเองจะเข้าใจอะไรผิดไป!
ฟางหยวนลูบแก้มอย่างขุ่นเคือง เอ่ยว่า “ฟางผิง ก็แค่ขายของนายเล็กๆ น้อยๆ เถอะ? จำเป็นต้องหยิกแก้มฉันจนถึงตอนนี้รึไง? นายไม่ได้ใช้แล้วซะหน่อย ฉันเอาของมารีไซเคิลวางขายแทน…”
“หุบปาก!”
ฟางผิงตำหนิ เอ่ยอย่างหงุดหงิด “เคยบอกเธอไปแล้ว อย่าทำเรื่องพวกนี้ เธอก็ยังก่อเรื่องอีก! ตัวเองก่อเรื่องไม่พอ ยังจะพาเพื่อนมาก่อเรื่องด้วยกัน! ไม่ได้ฟังที่แม่บอกหรือไง? อาจารย์ไม่มีใครเห็นด้วย!”
ฟางผิงถือโอกาสเบี่ยงเข้าประเด็นอื่น มองข้ามเรื่องที่ตัวเองเข้าใจผิดไป ระหว่างที่พูดยังปั้นหน้าตึงว่า “เธอขายของอะไรของฉันไป?”
ฟางหยวนปิดปากเงียบ
หลี่อวี้อิงเอ่ยอย่างขบขัน “นอกจากเสื้อผ้าสองชุด ของอย่างอื่นของลูกก็ไม่มีเหลือแล้ว”
“หา?”
ฟางผิงนิ่งอึ้ง ตั้งแต่เล็กจนโต ถึงจะไม่มีของล้ำค่าอะไรมาก แต่โตมาขนาดนี้แล้ว ข้าวของต่างๆ ต้องมีไม่น้อยอยู่แล้ว?
ตอนนี้แม่ว่าอะไรนะ?
ไม่มีเหลือแล้ว!
ฟางผิงไม่พูดอะไรต่อ รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องตัวเองทันที
—
หลังจากนั้นหนึ่งนาที ฟางผิงเผยสีหน้าดำคล้ำเดินออกมาจากห้อง
“ฟางหยวนเธอเอาเรื่องจริงๆ!”
“ขนาดแปรงฟันฉันยังไม่เหลือไว้!”
“รองเท้าแตะฉันล่ะ?”
“แก้วชา?”
“ผ้าขนหนูก็ไม่เหลือ!”
“…”
ฟางผิงแทบมีความคิดอยากจะตีเด็กนี้ให้ตายด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ นี่กะว่าพี่ชายเธอจะไม่กลับมาแล้วงั้นสิ?
ฟางหยวนก้มหน้าพึมพำว่า “ซื้อใหม่ให้นายก็ได้นี่? ขายของเก่าสามารถซื้อใหม่ได้เป็นสามตัว ไม่รู้จักใช้ชีวิตเอาซะเลย…”
“หุบปากเลยนะ! ทำอย่างนี้ได้ยังไง? ของเก่ามีความรู้สึก ของใหม่เทียบกันได้หรือไง?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันคิดว่าของใหม่ดีกว่า…”
“ยังกล้าเถียงอีก?”
ฟางผิงโมโหอย่างหนัก ครั้งนี้ไม่ใช่มือข้างเดียวแล้ว ใช้สองมือบีบแก้มน้องสาวจนยืดทั้งสองข้าง
ฟางหยวนจนใจ เอ่ยอู้อี้ว่า “พอแล้ว อย่ามาหาข้ออ้างบีบแก้มฉัน ไม่งั้นฉันจะโกรธแล้ว”
“เธอยังกล้าโกรธอีก?”
ฟางผิงแค่นเสียงขึ้นจมูก ยืดแก้มน้องสาวอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยฟางหยวนที่กำลังจะพองขน
“ต่อไปไม่อนุญาตให้ทำเรื่องแบบนี้อีก! ได้ยินหรือยัง? ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะตัดขาเธอ!”
ฟางผิงเตือนไปหนึ่งประโยค เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าสนใจหรือเห็นเป็นเรื่องสนุก เอาแต่คิดเรื่องพวกนี้
เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน?
ยังไงฟางผิงก็ไม่อยากให้ฟางหยวนก่อเรื่องยุ่งวุ่นวายในขณะที่อายุเพียงแค่นี้
สั่งสอนน้องสาวแล้ว ฟางผิงก็พูดคุยเรื่องการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยกับแม่
จากปากของฟางผิง ชีวิตในมหาวิทยาลัยนั้นเลิศหรูอย่างยิ่ง
มีอาหารฟรีของมหาวิทยาลัย หอพักอยู่คนเดียวอย่างหรูหรา อาจารย์โปรดปราณเอ็นดูเขา ยาบำรุงสามารถกินได้ตลอด
เพื่อนร่วมชั้นเป็นมิตรต่อกัน พวกนักศึกษาหญิงก็มีน้ำใจ…
สรุปจากที่เขาพูด มหาวิทยาลัยนั้นแทบไม่ต่างจากสวรรค์
ฟางหยวนที่นั่งด้านข้างได้ฟังแทบจะลืมเรื่องที่ปวดแก้มไปเสียสิ้น เผยสีหน้าอิจฉา
หลี่อวี้อิงก็ดีใจอย่างมาก โดยเฉพาะตอนแรกที่รู้ว่าลูกชายทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว
หลี่อวี้อิงเล่าเรื่องทางบ้านให้เขาฟัง เรื่องที่ฟางผิงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์มีคนรู้ไม่น้อยเช่นกัน
ตอนนี้ฟางหมิงหรงได้ทำงานที่กองการศึกษาอย่างเป็นทางการ เข้างานเก้าโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น ส่วนมากก็ดื่มชาอ่านหนังสือพิมพ์
หลี่อวี้อิงไม่ทำงานอีกแล้ว ออกมาดูแลฟางหยวนแทน
ส่วนฟางหยวนได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เหมือนกัน อยู่ในโรงเรียนกลายเป็นลูกพี่ใหญ่สมชื่อ พวกอาจารย์ต่างให้ความดูแลเอาใจใส่เธอ
ทางชุมชน ไม่กี่วันก่อนพวกเพื่อนบ้านและผู้ดูแลก็ยังพากันมาเยี่ยมเยือนครั้งหนึ่ง ส่งของขวัญให้ไม่น้อย
ตอนนี้มียามรักษาความปลอดภัยมาลาดตระเวนใต้ตึกของพวกเขาทุกวัน แม้จะไม่ได้มีประโยชน์เท่าไหร่ แต่ยังคงได้รับรู้ถึงน้ำใจ
ส่วนค่าส่วนกลาง ยิ่งไม่มีคนเอ่ยถึง ผู้ฝึกยุทธ์มาอยู่ในย่านของพวกคุณ นั่นถือเป็นหน้าตาของทุกคน ยังกล้าจะเก็บค่าส่วนกลางอย่างนั้นเหรอ?
ที่บ้านสบายดีกันทุกคน ทุกอย่างราบรื่น
ฟางหมิงหรงมักจะเอาของกลับบ้านมาบ่อยๆ ของกินบ้าง เครื่องดื่มบ้าง ล้วนเป็นสวัสดิการจากหน่วยงาน
ฟังคำบอกเล่าของแม่ ฟางผิงรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
บางครั้งคนก็มีความสุขง่ายๆ แบบนี้
จวบจนพ่อกลับมา เห็นใบหน้าพ่อเปล่งปลั่ง ดูยิ้มแย้มร่าเริงกว่าเมื่อก่อน ทั้งยังแข็งแรงขึ้นมาก ฟางผิงยิ่งชื้นใจขึ้นไปอีก
ทุกคนกินข้าวเย็นที่วางเต็มโต๊ะ ทุกอย่างดูสมบูรณ์ไปหมด
ถ้าไม่นับรวมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นพวกนั้น….
อย่างเช่น ตอนที่ฟางผิงกินข้าว พบว่าชุดจานชามของที่บ้าน เหมือนจะขาดไปหนึ่งชุด
อย่างเช่น ตอนที่อยากดื่มน้ำ กลับหาแก้วชาไม่เจอ…
ฟางผิงอยากถามว่าใครเป็นคนปัญญาอ่อนที่ซื้อของพวกนี้มา?
แต่พอเห็นท่าทีแวดระวังของน้องสาว ฟางผิงจึงตัดสินใจปล่อยเธอไปก่อน
ยังไงครั้งนี้ก็เป็นวันหยุด ตัวเองยังมีเวลาอีกหลายวัน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจู่โจม
“อยู่ที่บ้านดีที่สุดแล้ว…”
กินอิ่มนอนหลับ ฟางผิงจมดิ่งในความคิดอีกครั้ง รู้สึกกลัวหลังจากเกิดเรื่องขึ้นมาอยู่บ้าง
หากเช้าวันนี้เขาถูกคนอื่นฆ่าตาย ตอนนี้จะเป็นฉากแบบไหนกัน?
ถอนหายใจ ก่อนจะทิ้งเรื่องพวกนี้ไป รักชีวิตนั้นถูกแล้ว ไม่มีใครอยากตายหรอก
————————
[1]หลู่ไช่ เป็นอาหารที่หมักด้วยเครื่องพะโล้