กลับได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “เจ้าไปตรวจสอบสักหน่อยว่ามีผู้ใดในตระกูลที่เหมาะสมจะมาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแทนท่านอาหกบ้าง! จากนั้นก็ส่งจดหมายไปนำเสนอผู้ตรวจการคนใหม่แก่ท่านพ่อหรือท่านอาสักหน่อย ส่วนท่านอาหกนั้น ก็ขอให้ท่านพ่อหรือท่านอาไปทูลขอฮ่องเต้ให้เขาได้รับตำแหน่งกลวงๆ ก็ดี บรรดาศักดิ์ใดๆ ก็ดี สรุปก็คือแล้วแต่ท่านพ่อและท่านอาจะสั่งการ อย่างไรก็ให้สมหน้าตาของเขา”
“อะไรนะ?” เสิ่นจั้งฮุยนิ่งเหม่อไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ท่านอาสามก็เพียงช่วยระบายความขุ่นเคืองให้บิดาของเขาเท่านั้น แม้จะมีเจตนายุยง ทว่าด้วยความที่เขาเป็นบุตรก็อยู่ในเหตุผลที่เข้าใจได้ พี่ชายสามก็จะปลดเขาแล้วหรือขอรับ? นี่…ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นท่านอาของเรา ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังอยู่ในซีเหลียง ไม่เพียงแค่ต้องพบปะกันบ่อยครั้ง …วันหน้าไปมาหาสู่กันในวันเทศกาล แล้วจะมองหน้ากันได้อย่างไร?”
เขาเสนอแนะไปว่า “มิสู้คราหน้ามีงานเลี้ยงและเขาเชิญข้าไปอีก ข้าก็จะปฏิเสธไปเสีย ทำให้เขาเสียหน้า เขาก็จะรู้จักเรื่องควรไม่ควรเองขอรับ”
เสิ่นจั้งเฟิงปรายตามองลูกผู้น้องผู้ไร้เดียงสาของตนหนหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ไปว่า “เจ้านึกว่าท่านอาสามเพียงยุยงเจ้ารึ เด็กผู้ใหญ่มีลำดับ เจ้าไปจัดการพี่สะใภ้เจ้าได้รึ? เจตนาที่แท้จริงของเขาก็คือกำลังทดสอบข้า! พี่สะใภ้สามของเจ้าพอมาถึงซีเหลียงก็มาจัดแจงทุกเรื่องไม่หยุดหย่อน เริ่มจากจัดการท่านอาและท่านอาสะใภ้ ไล่บ่าวชราออก ทำผู้อาวุโสเสียหน้า …ทว่าแม้จะมีผู้อาวุโสไม่พอใจนาง วันนี้นางเชิญคนมาแต่ทุกคนก็ยังไม่ยอมให้เกียรติไม่มาตามคำเชิญ เจ้านึกว่าที่นางทำเรื่องเหล่านี้ด้วยอาศัยผู้ใด? นางอาศัยบารมีของตระกูลในสายหลักของเรา! ยามนี้ท่านพ่อท่านแม่ล้วนอยู่ที่เมืองหลวง ฉะนั้น ณ ซีเหลียงแห่งนี้คนที่นางอาศัยพึ่งพาก็คือข้า! ยามนี้ท่านอาหกกำลังอาศัยเจ้ามาทดสอบท่าทีของข้า! ขอเพียงข้าแสดงออกว่าไม่เห็นตัวกับพี่สะใภ้สามของเจ้าเพียงน้อยนิด หรือเพียงสะบัดแขนเสื้อดูอยู่นิ่งเฉย ผู้คนที่คอยจำศีลรอความหวังก็จะพากันลุกขึ้นมารุมโจมตีพี่สะใภ้สามของเจ้า! แม้นางจะให้กำเนิดกวงเอ๋อร์แล้วแต่เขาก็ยังเล็กนัก แต่งเข้าบ้านมาไม่นาน ก่อนนี้ก็ไม่เคยมาซีเหลียง ไม่เหมือนท่านแม่ของเรา ที่ลำดับอาวุโสก็สูง ทั้งฐานะและบารมีล้วนเข้าลึกในใจคน! ไม่ต้องการท่านพ่อมาคอยสนับสนุนก็เพียงพอจะขู่ขวัญคนเหล่านี้ได้แล้ว!”
เสิ่นจั้งฮุยเอ่ยเสียงหนักไปว่า “พี่ชายสามหมายถึง …ต้องการสร้างฐานอำนาจให้แก่พี่สะใภ้สาม?”
“ไม่เพียงสร้างฐานอำนาจให้แก่นาง แต่ก็เพื่อตัวข้าด้วย!” เสิ่นจั้งเฟิงสั่งให้เสิ่นจั้งฮุยไปที่หยิบแผนที่ชายแดนมาจากชั้นหนังสือที่ไม่ไกลออกไป พ่นลมหายใจออกมาคำหนึ่ง แล้วชี้เป็นวงบนแผนที่ เอ่ยอย่างเย็นเฉียบว่า “ทางพวกตี๋นั้น สถานการณ์ของมู่ซิวเอ่อร์ไม่ดีอย่างมาก เพียงแต่คำที่หยิวเจี่ยเอ่ยไว้นั้นไม่ผิด คนผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมเหนือคนจริงดังว่า! สิบเหยี่ยวแห่งกระโจมอ๋องล้มตายเหลือเพียงตัวเดียว ทั้งยังบาดเจ็บยับเยิน เพราะการพ่ายแพ้ครานั้นบั่นทอนความน่าเกรงขามและน่าเชื่อถือของพวกตี๋ที่มีต่อเขาลง ข้ายังจงใจระงับไม่ให้หยิวเจี่ยไล่สังหารเขา เพื่อปล่อยให้เกิดความไม่สงบภายในของพวกเขาเอง …แต่แม้จะเป็นดังนี้ มู่ซิวเอ่อร์ก็ยังสามารถกดความไม่สงบภายในนี้เอาไว้ได้จนบัดนี้ กระทั้งสามารถสั่งการให้ถูหลี่ว์มาจู่โจมด่านเตี๋ยชุ่ยอย่างฉับพลันได้!”
เสิ่นจั้งฮุยนั่งฟังแต่โดยดี เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตาลง กล่าวว่า “การจู่โจมที่ด่านเตี๋ยชุ่ย แม้แต่ข้าก็ยังคาดการณ์ไม่ถึง เพียงแต่มู่ซิวเอ่อร์โชคไม่ดี กลับต้องมาพบกับผู้มีความสามารถที่เชี่ยวชาญด้านการศึกผู้หนึ่งที่ด่านเตี๋ยชุ่ยพอดี! ถูหลี่ว์ทำการไม่สำเร็จยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเสบียงของกองทัพไปจำนวนมาก …ทั้งยามนี้ก็เป็นฤดูหนาวพอดี ขนาดในตัวเมืองซีเหลียงก็ยังหนาวเหน็บเพียงนี้ ด้วยเหตุที่ถูหลี่ว์ตีด่านเตี๋ยชุ่ยไม่แตก ไม่เพียงไม่อาจเก็บกวาดทรัพย์สมบัติจำนวนมากไปได้ กลับกันเสบียงของกองทัพก็มาสูญหายไปอีก เมื่อพวกตี๋ต้องหนีไปอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้า ในฤดูหนาวปีนี้พวกเขาก็จะต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานเป็นแน่”
“ในปีก่อนๆ หากพวกเขาต้องพบเจอสถานการณ์ดังนี้จนอับจนหนทาง ก็ย่อมเข้ามารุกรานดินแดนเว่ย ทว่าปีนี้พวกเขาพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง เสบียงไม่พรั่งพร้อม จึงไม่น่ามารุกรานอีกได้ …สิ่งสำคัญที่สุดก็คือผู้คนที่หมายปองตำแหน่งข่านต้องไม่ยอมปล่อยผ่านโอกาสที่จะทำให้มู่ซิวเอ่อร์ลำบากเป็นแน่!” สีหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงค่อยๆ เย็นเฉียบลงไปเรื่อยๆ “หากไม่มีเรื่องใดผิดคาด ภายในครึ่งเดือนนี้ พวกตี๋ต้องเกิดความวุ่นวายภายใน! ซึ่งนี่เป็นโอกาสของพวกเรา ต้องคว้าเอาไว้ให้ได้! มู่ซิวเอ่อร์เคยพูดไว้ประโยคหนึ่งว่า โดยมากแล้ววีรบุรุษผู้มีความสามารถจะไม่รู้เรื่องควรไม่ควร คนชนิดนี้หากไม่อาศัยโอกาสที่เขาไม่สามารถควบคุมพวกชิวตี๋ได้มาเล่นงานเขาให้สิ้นซาก วันหน้าก็จะกลายเป็นมหัตภัยใหญ่หลวง! คราก่อนปล่อยให้เขาฝ่าวงล้อมออกไปได้ ก็เสียการไปคราหนึ่งแล้ว คราหน้าจะไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดใดอีก! เจ้าเข้าใจหรือไม่? ไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดอีก!”
เขาเหลือบมองน้องชายคราวหนึ่ง เห็นว่าเขายังคิดไม่ทันว่าเหตุใดจู่ๆ ตนเองต้องมาอธิบายสถานการณ์ของพวกตี๋อย่างละเอียดเพียงนี้ จึงเอ่ยเรียบๆ ไปว่า “เพราะฝีมือแพทย์ลำเลิศของคุณหนูตวนมู่แปด เมื่อถึงยามนั้นแม้ข้ายังไม่อาจหายดีได้ ไม่สามารถเข้าโจมตีด้วยตนเอง ทว่าอย่างน้อยก็สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้! นี่เป็นเรื่องที่ข้าวางแผนเอาไว้นับแต่พวกตี๋มาเมื่อปีก่อน หมิงเพ่ยถังทางนี้ และเรื่องยิบย่อยภายในตระกูล ข้าย่อมไม่มีเวลาจัดการและไม่คิดจะจัดการด้วย การที่พี่สะใภ้สามของเจ้ามาก็นับว่าเป็นโชคดีนัก …ฉะนั้นข้าจะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือนางให้มากที่สุด ให้นางกำราบคนเหล่านี้ให้อยู่หมัดให้เร็วที่สุด เพื่อมิให้ถึงยามนั้นขึ้นมา แล้วจะเกิดเรื่องมาขวางการใหญ่ของข้า เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?!”
เสิ่นจั้งฮุยค่อนข้างเกรงกลัวลูกผู้พี่ผู้นี้มาแต่ไร เมื่อมาเห็นดวงตาของเสิ่นจั้งเฟิงที่เดิมทีก็เฉียบคมอยู่แล้วกลับมีรัศมีการฆ่าแฝงอยู่ภายในก็ยิ่งไม่กล้าชักช้า รีบบอกไปว่า “ข้ารู้หมดแล้ว ขอบคุณพี่ชายสามมากที่ชี้แนะขอรับ!” แล้วรับประกันอีกว่า “วันหน้าข้าจะไม่มีทางถูกพวกท่านอาสามหลอกใช้อีกแล้ว และจะคอยสนับสนุนพี่สะใภ้สามอย่างเต็มกำลังแน่นอนขอรับ”
“เจ้านึกว่าเจ้าจะอยู่แต่ในตัวเมืองซีเหลียงว่างๆ ไม่มีกิจใดรึ? ยังจะมาคอยสนับสนุนพี่สะใภ้สามของเจ้าอยู่ได้!?” เสิ่นจั้งเฟิงกลับเอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “บุตรหลานตระกูลเสิ่น ในเมื่อมาถึงซีเหลียงแล้วจะไม่เข้าสนามรบได้อย่างไร?! นับแต่วันพรุ่ง ข้าจะจัดคนไปสอนการศึกบนหลังม้าให้เจ้า แม้เจ้าจะเคยเรียนที่เมืองหลวงมาก่อนแล้ว แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เรียนอย่างตั้งอกตั้งใจ! อาศัยช่วงที่ศึกยังไม่เริ่ม ให้คนที่ชำนาญการสังหารในแนวหน้ามาสอนเจ้าใหม่ทั้งหมด รอจนไฟสงครามปะทุ เจ้าก็ออกไปรบในแนวหน้าให้ข้า! อย่าหวังจะได้เกียจคร้านอยู่แต่ในตัวเมืองซีเหลียง!”
“….ขอรับ” เสิ่นจั้งฮุยตอบรับไปอย่างอึกอัก แล้วเอ่ยอย่างเป็นกังวลอีกว่า “เพียงแต่ถึงยามนั้นพวกเราพี่น้องล้วนต้องไปแนวหน้า เหลือแต่เพียงพี่สะใภ้สามไว้ในตัวเมืองซีเหลียงผู้เดียว หากนางกำราบผู้อาวุโสและบ่าวปลิ้นปล้อนเหล่านั้นไม่อยู่จะทำเช่นใดเล่าขอรับ?”
คราวนี้เขากลับเป็นกังวลถึงเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมาเสียแล้ว…
เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ออกจะหมดคำพูดกับลูกผู้น้องผู้นี้ สักพักหนึ่งจึงเอ่ยออกมาว่า “เจ้าวางใจเถิด พี่สะใภ้สามของเจ้าไม่มีทางกำราบคนเหล่านี้ไม่ได้”
“เพราะเหตุใดขอรับ?” เสิ่นจั้งฮุยเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เขารู้สึกว่าพี่สะใภ้สามของตนผู้นี้ก็เพียงดุร้ายไปสักหน่อย ทว่าอายุก็ยังน้อยนัก หากอยู่ลำพังคนเดียว ทั้งยังเป็นสตรี เมื่อไม่มีสามีและน้องสามีคอยหนุนหลัง หากบรรดาผู้อาวุโสพากันไม่ไว้หน้านาง เช่นนั้นก็มิใช่ว่าจะไม่มีทางไปแล้วหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นหากพวกบ่าวร่วมมือกันสร้างความลำบากให้แก่นาง พี่สะใภ้ผู้นี้ก็อย่าได้โมโหเสียจนร้องไห้โฮต่อหน้าธารกำนัลได้เป็นดี
“ก่อนพี่สะใภ้สามของเจ้าออกเรือนเคยถูกคนร้ายลอบสังหารที่นอกตัวเมืองเฟิ่งโจว นอกจากองครักษ์สองคนแล้วองครักษ์คนอื่นๆ และสาวใช้ที่ติดตามไปล้วนตายกันหมด ทว่านอกจากนางจะต้านห่าฝนลูกธนูของคนร้ายและสังหารหัวหน้าคนร้ายช่วยชีวิตน้องชายร่วมท้องมาได้แล้ว ภายหลังยังสังหารคนร้ายไปอีกคนหนึ่ง และด้วยการช่วยเหลือขององครักษ์ทั้งสองก็สามารถพาน้องชายหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย!” เสิ่นจั้งเฟิงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “นั่นยังเป็นครั้งแรกที่นางได้พบเห็นการสังหารด้วยดาบด้วยทวนจริงๆ ชายอกสามศอกหลายคนเข้ารบหนแรกก็มิได้มีความห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนาง นับไปแล้วคนที่ไม่เคยเข้ารบมาก่อนเช่นเจ้า หากว่ากันเรื่องการต่อสู้และความเป็นตาย เจ้าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของพี่สะใภ้สามของเจ้า!”
เสิ่นจั้งฮุยเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “หรือพี่สะใภ้สามจะถึงขั้นลงมือกับบรรดาผู้อาวุโสเชียวหรือขอรับ?”
“ข้าหมายถึงว่าครั้งพี่สะใภ้สามของเจ้าอยู่ที่บ้านแม่ของนาง ก็เป็นถึงคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์ที่ญาติผู้ใหญ่ทุกคนประคองเอาไว้ในมือและไม่เคยต้องอาทรร้อนใจกับสิ่งใด จู่ๆ ก็ต้องมาพบเจอกับคนร้าย แต่กลับมีความกล้าหาญที่จะชักดาบ หาญท้าลูกธนู” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยไปเรียบๆ “แล้วผู้อาวุโสเหล่านี้จะข่มขวัญนางได้หรือ?” นับแต่รู้เรื่องโดยคร่าวๆ ถึงสิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งทำในระหว่างที่ถูกลอบทำร้ายแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่เคยกังขาต่อความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของภรรยาอีกเลย
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่เขาเชื่อมั่นในตัวเว่ยฉางอิ๋งซึ่งมิได้บอกกล่าวกับเสิ่นจั้งฮุย นั่นก็คือเว่ยฉางอิ๋งเติบโตมาด้วยมือของแม่เฒ่าซ่ง …วิธีการที่ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้ควบคุมบงการเว่ยฮ่วนผู้เป็นสามี อบรมสั่งสอนและควบคุมบุตรธิดาทุกคน ล้วนเป็นสิ่งที่เหล่าสตรีชั้นสูงในตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ต้องการยึดถือเอาเป็นแบบอย่าง และเป็นเพราะแม่เฒ่าซ่งจึงทำให้ทั้งตระกูลเว่ยและแม้แต่ตัวเว่ยฮ่วนเองรักใคร่หลานสาวบ้านใหญ่เพียงคนเดียวผู้นี้เสียอย่างยิ่ง แล้วประสาอะไรกับคนนอกนั้น?
ฉะนั้นเพียงคิดก็รู้แล้วว่าด้วยธรรมเนียมจารีตที่เว่ยฉางอิ๋งถูกอบรมสอนสั่งมาแต่เล็ก มารยาทที่นางควรปฏิบัติต่อเหล่าผู้อาวุโสตามพิธีรีตองต่างๆ นั้นย่อมไม่ขาดเหลือเป็นแน่ เช่นการที่ครานี้นางส่งของกำนัลไปให้ผู้อาวุโสที่บอกว่าล้มป่วยผู้นั้น …ทว่าหากจะวาดหวังให้นางเคารพยำเกรงผู้อาวุโสเหล่านี้จากใจจริง นั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้…
เว่ยฉางอิ๋งเก่งกล้าเหลือล้น มีความห้าวหาญเด็ดเดี่ยว มีฐานะมีคนหนุนหลัง ผู้อาวุโสที่เดิมทีก็ไม่กล้ามายั่วยุประมุขตระกูลอย่างออกหน้าออกตา แล้วจะกำราบนางอยู่ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง สำหรับสตรีโดยทั่วไปแล้ว แม้จะถูกผู้คนดูแคลนเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่หากวันใดก่อเรื่องจนไม่อาจควบคุมได้ เสิ่นจั้งเฟิงออกหน้ามาไกล่เกลี่ย ผู้อื่นก็ไม่มีหน้าจะมาไล่เรียงเอาความกับสตรีซึ่งเป็นคนรุ่นหลานต่อไปไม่จบสิ้น
แต่หากมีคนเลอะเลือนไร้สมองทำดังว่าจริงๆ เสิ่นจั้งเฟิงก็ยังจำได้ว่า แม้นางห่วงบ่าวติดตามหลังแต่งงานของเว่ยฉางอิ๋งผู้นั้นจะมิได้มีฐานะเป็นทางการแต่ก็เป็นผู้ที่จี้ชวี่ปิ้งเคยสอนสั่งเรื่องการแพทย์มา! ดีชั่วอย่างไรพวกผู้อาวุโสที่พูดไม่รู้ความ ตายไปเสียไวๆ ก็สิ้นเรื่องร้อนใจดีเหมือนกัน!
เหลือบมองลูกผู้น้องที่ยังคิดจะเอ่ยบางอย่าง เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างหมดคำจะพูดว่า “เรื่องของพี่สะใภ้สามของเจ้านี้ข้ามิได้เป็นกังวลเลยสักนิด กลับเป็นเจ้าที่ทำให้ข้ากังวลนัก เดิมทีนั้น ประการแรกตัวข้ายังบาดเจ็บไม่หายดี ประการที่สองข้าคิดว่าเจ้าเพิ่งได้กลับมายังถิ่นฐานเดิมของตระกูลเสิ่นของเรา อยากจะคบหาสนิทสนมกับคนในตระกูลที่นี่ก็คงจะมีบ้าง เพียงแต่ไม่คิดว่าเจ้าจะถูกกล่อมง่ายเพียงนี้….”
เขายกมือขึ้นมาหยุดคำที่เสิ่นจั้งฮุยคิดจะเอ่ย กล่าวว่า “ข้าคิดดูแล้ว คิดว่านี่ล้วนเพราะเจ้าว่างเกินไป ยามนี้เจ้าไม่ต้องไปสนใจเรื่องใด กลับไปที่ห้องตระเตรียมของก่อน ข้าจะให้เสิ่นเตี๋ยไปถ่ายทอดคำสั่ง เพื่อให้คนไปสอนเจ้า”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยเย็นเฉียบไปว่า “คนที่ข้าส่งไปจะไม่ออมมือให้เพราะเจ้าเป็น คุณชายสี่ในตระกูลสายหลัก เจ้าก็อย่าได้หวังว่าจะมาฟ้องกับข้า หรือไปฟ้องเอากับผู้ใดแล้วจะเป็นผล …ข้าจะสั่งสอนเจ้า ท่านพ่อและท่านอาไม่อยู่ คิดว่าบรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้ก็จะไม่กล้ามาชี้ไม้ชี้มือใดๆ!”
สัญชาตญาณของเสิ่นจั้งฮุยบอกว่าท่าไม่ใคร่ดีแล้ว เขาฝืนยิ้มแล้วว่า “เช่นนั้น …เรื่องของทางท่านอาหกนั้น…? ข้ายังต้องไปทำหรือไม่?”
“เจ้าก็ต้องไปทำด้วย” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ทั้งสองเรื่องล้วนเป็นเจ้าไปจัดการ และต้องจัดการให้ข้าดีๆ ด้วย! ถ้าจัดการไม่ดี….” เขาพลันยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “เจ้าคิดถึงผลลัพธ์ดูเอาเอง!”
“…” เสิ่นจั้งฮุยพลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว ความเห็นใจและไม่ยอมใจที่มีต่อท่านอาหกพลันหดหายไปในพริบตา กลับเหลือเพียงความคิดเดียวว่า ซวยแล้ว! ครานี้พี่ชายสามคล้ายจะโกรธจริงแล้ว…. ข้าจะทำเช่นใดดี?
ทางฝั่งของสองพี่น้องนี้ เสิ่นจั้งเฟิงจัดการน้องชายลงได้อย่างไม่ต้องคิดมาก
แต่กลับเป็นสถานการณ์ในเรือนของตวนมู่ซินเหมี่ยวที่กำลังค่อยๆ ดึงเครียดขึ้น เว่ยฉางอิ๋งคล้ายจะรับมือไม่ไหวเสียแล้ว….
____________