ตอนที่ 91 เจ็บป่วย

คุณแม่จ้าวยืนอยู่ข้างลูกสะใภ้ กล่าวว่า “ก็เธอมันโง่ เธอดูครอบครัวคนอื่นสิ นอกจากครอบครัวของเธอแล้ว ครอบครัวที่เหลืออีกสามครอบครัวมีบ้านไหนบ้างที่ไม่ให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเก็บเงิน? เขาได้เงินมาไม่แม้แต่จะบอกเธอ เธอจะทำงานไปทำไม? บอกให้เขาทำเองไปเลย!”

แม่เฒ่าหยางหัวเราะ “ฟังสิ ฟังคำพูดของแม่สามีเธอ แม้แต่แม่แท้ ๆ อาจจะเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ รีบเก็บน้ำตาซะ มีแม่สามีแบบนี้ นับว่าโชคดีแล้ว”

หญิงชราที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน

พี่สะใภ้สามจ้าวย่อมรู้สึกซึ้งใจ

“แต่พูดกันตามตรงแล้ว เต้าหู้ที่ทำจากถั่วเหลืองบดมือมันอร่อยและนุ่มกว่าเต้าหู้ที่แปรรูปด้วยเครื่องจักรเสียอีกนะ” แม่เฒ่าหยางกล่าวขึ้น

“ใช่ ฉันเคยกินที่แปรรูปมา” หญิงชราอีกคนกล่าว “มีคนมาเยี่ยมฉันตอนไม่สบาย เลยให้เต้าหู้มาหนึ่งชิ้น กินเข้าไปก็รู้เลยว่าเป็นของที่แปรรูปมาจากเครื่องจักร เต้าหู้บดแบบหยาบ ๆ แถมยังคั้นหนักเกินไปอีก ตอนกินทั้งหยาบทั้งแข็ง ไม่อร่อยเท่าที่บ้านเราทำเลย”

“ใช่แล้ว เครื่องจักรนั่นทำงานเร็ว บดข้าวทีหนึ่ง แป๊บเดียวก็บดหมดแล้ว น้อยกว่าของที่พวกเราบดด้วยโม่หินตั้งเยอะ เสียหายไปหมดเลย!”

“นั่นนะสิ ฉันก็บอกเจ้าลูกชายที่บ้านไปแล้ว บอกว่าถึงตอนแปรรูปให้บดหยาบ ๆ หน่อย อย่าให้ของดี ๆ เสียจนกลายเป็นแกลบต้องเอาไปให้ไก่ให้หมูกิน แบบนั้นมันไม่บาปเหรอ!”

“ใช่ ตอนที่ฉันยังเด็ก แม้แต่แกลบก็ไม่มีจะกิน มีแต่กากถั่วเหลืองเอาไว้กิน ขนาดผักป่า เปลือกไม้ ใบหญ้าก็ยังนำมาต้มน้ำกินเลย”

“ของเธอยังดีที่ยังมีฟืนไว้ต้ม บ้านฉันไม่มีแม้แต่ฟืนด้วยซ้ำ ฉันยังจำได้เลยว่าเมื่อไหร่ที่หิว เห็นอะไรก็อยากจะเข้าไปกัดสักสองคำ ชีวิตแบบนั้น เฮ้อ กินก็ไม่ได้กินอาหารก็ไม่ได้ทำ! ดูตอนนี้สิ ดีกว่าเยอะเลย อาหารที่กินก็ใช้เครื่องจักรแปรรูปแล้ว”

หญิงชราแต่ละคนต่างพากันบอกเล่าเรื่องราว หวนรำลึกถึงอดีตอันขมขื่นและขอบคุณปัจจุบันแสนหวานชื่น

พูดคุยกันได้สักพัก คุณแม่จ้าวจึงกล่าวกับลูกสะใภ้สามว่า “ตอนนี้ไม่เหมือนกับสมัยก่อนแล้ว พวกเธออยากขายเต้าหู้ทำเงิน จะใช้เครื่องจักรก็ใช้ไปเถอะ ไม่เหมือนที่พวกเรากิน ที่ไม่ได้มากมายเท่าไรนัก นาน ๆ ถึงจะได้ทำสักครั้ง เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่พวกเธอต้องการขาย แบบนั้นก็เท่ากับว่ายิ่งเยอะยิ่งดีไม่ใช่เหรอ? ถ้าราคาถูกลง แต่ขายได้เยอะขึ้นมันก็ดีขึ้นไม่ใช่เหรอ? บัญชีนี้พวกเธอควรคำนวณไว้นะ”

พี่สะใภ้สามจ้าวรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม “เขาฉลาดขนาดนั้นย่อมคิดได้อยู่แล้วค่ะ เพียงแต่เขาไม่ยอมทำ”

คุณแม่จ้าวก็ไม่ได้กล่าวอะไรให้มากมาย แค่ชี้จุดให้ก็พอแล้ว

ต่างคนต่างก็โตกันหมดแล้ว เป็นพ่อเป็นแม่คนแล้ว ไม่สามารถจับมือสอนได้อีก ต้องแสวงหาปัญญาในการหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง

พี่สะใภ้สามจ้าวนั่งอยู่ที่นี่จนแม่สามีห่อซาลาเปาเสร็จแล้วจึงกลับไป

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือหล่อนพบว่าพี่สามจ้าวกำลังบดถั่วด้วยตัวเอง

หลังจากบดเสร็จแล้ว พี่สามจ้าวจึงไปบอกกับพี่รองจ้าวว่าตอนไปแปรรูปในวันพรุ่งนี้ให้นำถั่วเหลืองไปแปรรูปให้เขาด้วย จากนั้นก็ได้ให้ค่าแปรรูปกับพี่รองจ้าว พี่รองจ้าวจึงตอบตกลง

พี่สามจ้าวยังคงตื่นตั้งแต่เช้ามาต้มน้ำเต้าหู้ เมื่อถึงตอนคั้นน้ำก็เรียกเด็กทั้งสองคนมาช่วย

หลังจากคั้นเต้าหู้เสร็จ จึงบรรทุกขึ้นรถไปมณฑล ขั้นตอนทั้งหมดเขาไม่ได้เรียกใช้พี่สะใภ้สามจ้าวเลย

พี่สะใภ้สามจ้าวไม่สนใจเขา หล่อนเองก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน หล่อนปวดแขนมาก ถึงเวลาที่ควรนอนก็นอน ซึ่งหล่อนเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่สามจ้าวจะทนได้สักกี่วัน

หลังจากกลับมาจากการแปรรูปถั่วแล้ว พี่สามจ้าวยังคงบดถั่วด้วยมืออีกนิดหน่อย จากนั้นจึงต้มแยกกัน ทำเต้าหู้ออกมาสองแบบ แบบแรกใช้เครื่องจักรแปรรูป อีกแบบใช้มือบด

แบบหนึ่งเยอะอีกแบบหนึ่งน้อย ราคาย่อมแตกต่างกัน แบบใช้เครื่องจักรแปรรูปจะถูกกว่านิดหน่อย ส่วนที่บดด้วยมือยังคงราคาเดิม

“ทำไมถึงมีสองราคาล่ะ?” แขกประจำมาเห็นจึงเอ่ยถาม

“ภรรยาผมแขนบวมจากการบดน่ะ ก็เลยบดได้ไม่เยอะเท่าก่อนหน้านี้ ทำออกมาได้แค่นี้แหละ นี่คือเต้าหู้ที่ได้จากเครื่องจักรแปรรูป ดังนั้นราคาจึงถูกกว่านิดหน่อย ส่วนนี่คือที่บดด้วยมือ ราคายังเท่าเดิม ผมทำธุรกิจด้วยความจริงใจ ไม่เคยหลอกลวงใคร ทำในสิ่งที่ควรทำ คุณอยากได้เต้าหู้แบบไหนดีล่ะครับ?” พี่สามจ้าวบอกกับลูกค้าประจำที่มาซื้อเต้าหู้

คนที่มาขายเต้าหู้ส่วนมากเป็นรุ่นแม่ ๆ ป้า ๆ ได้ยินพี่สามจ้าวพูดแบบนี้ จึงมีความประทับใจในตัวพี่สามจ้าว ว่าเป็นคนจริงในหมู่บ้าน

อีกอย่างเต้าหู้ก็ไม่ได้แย่จึงซื้อกลับไป

อย่าบอกว่าธุรกิจดีอย่างยิ่งและไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ

พี่สามจ้าวคิดถึงภรรยาที่ยังคงโกรธเขาอยู่ที่บ้าน เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว จึงไปซื้อผลไม้กระป๋องมาหนึ่งกระป๋องด้วยความเจ็บปวด

เมื่อกลับมาถึงจึงเห็นว่าพี่สะใภ้สามจ้าวยังคงนอนอยู่ จึงกล่าวว่า “เอาล่ะ คุณพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะทำกับพวกเด็ก ๆ เอง” จากนั้นจึงวางผลไม้กระป๋องไว้ด้านข้างหล่อน

เดิมทีพี่สะใภ้สามจ้าวยังโมโหอยู่ ถึงอย่างไรภายในใจก็แอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แม่สามีพูดถูกแล้ว ภรรยาคนอื่นต่างก็เป็นคนดูแลเรื่องเงิน แม้แต่ฉูฉู่ที่เป็นภรรยาของน้องสามีหก เจ้าหกก็ยังให้เธอดูแลเงินเลย

แต่หล่อนกลับไม่มี และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้เงินมาเท่าไร ทำไมถึงต่างกันขนาดนี้?

หล่อนเองก็ไม่อยากทำแล้ว ดังนั้นให้เขาทำเองเถอะ!

คิดไม่ถึงเลยว่าเขากลับมาวันนี้จะนำผลไม้กระป๋องกลับมาให้หล่อนรับประทานด้วย หล่อนจึงใจอ่อน

ถัดมาพี่สามจ้าวจึงเรียกเด็ก ๆ ให้ไปช่วยทำเต้าหู้ แต่แบบนี้ทำให้เวลาในการพักผ่อนของเขายิ่งน้อยลง สุดท้ายแล้วเรื่องทุกอย่างก็ต้องให้เขาทำ ประกอบกับการที่ไม่ได้กินของดี ๆ เพียงไม่กี่วันให้หลังเขาจึงล้มป่วย

“…ฉันไม่อยู่แล้ว ปล่อยให้ฉันตายไปเถอะ เงินของฉัน…” พี่สามจ้าวนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับพึมพำ

เขาสนใจเรื่องเงินที่เสียไปมากกว่าอาการเจ็บป่วยเสียอีก

พี่สะใภ้สามจ้าวทั้งโกรธทั้งเสียใจ หล่อนยกน้ำและยาเข้ามาพลางกล่าวว่า “รีบกินยาเร็วเข้า นี่ใช้เงินซื้อมานะ จะทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่ได้”

พี่สามจ้าวในตอนนี้ไม่อยากได้ยินเรื่องการใช้เงิน ไม่ได้หาเงินแล้วยังต้องใช้เงินอีก นี่ไม่เท่ากับต้องการชีวิตเขาหรืออย่างไร?

“ผมบอกคุณแล้วไงว่าไม่ต้องไปซื้อยา คุณก็ไม่ฟัง นี่ใช้เงินไปเท่าไรเนี่ย? ชีวิตมันล้ำค่าขนาดนั้นเลยเหรอ ผมนอนพักสักหน่อยก็หายแล้ว!” พี่สามจ้าวทำได้แค่รับประทานยา จากนั้นจึงตวาดใส่ภรรยาอย่างอ่อนแรง

พี่สะใภ้สามจ้าวคร้านที่จะสนใจเขา หากไม่ใช่เพราะไม่กี่วันก่อนเขาแสดงความอ่อนโยนต่อหล่อน หล่อนคงไม่ไปซื้อยาให้เขาหรอก ครั้นเห็นว่าเขารับประทานยาจนหมดถ้วยแล้วจึงเดินออกไป

“ภรรยา ผมป่วยแล้ว คุณก็ทำเต้าหู้สิ? นั่นยังมีเต้าหู้ที่แปรรูปอยู่ คุณต้มไว้สักหม้อ ให้พวกหม่าต้านมาช่วยคุณคั้น จากนั้นคุณก็เข็นรถเอาไปขาย…แค่ก ๆ ๆ” พี่สามจ้าวกล่าวไม่กี่ประโยคก็ไอออกมา

พี่สะใภ้สามจ้าวนั่งอยู่หน้าเตาใช้น้ำมันดอกคำฝอยทาแขนของตัวเอง เมื่อได้ยินจึงถอนหายใจกล่าวว่า “เอาเถอะ ฉันจะไปขาย ฉันจะไปหาเงินเอง ส่วนคุณก็อยู่เฉย ๆ ไปแล้วกัน!”

ในขณะนั้นเองพี่สะใภ้รองจ้าวก็เดินมา “น้องสะใภ้สาม น้องสามีสามเป็นยังไงบ้าง?”

“พี่สะใภ้รองมาแล้วเหรอคะ? ดีขึ้นแล้วแหละ ตอนกลางคืนไม่ได้ไอหนักขนาดนั้นแล้ว” พี่สะใภ้สามยืนขึ้นเชื้อเชิญให้เข้ามาในห้อง

เพื่อประหยัดฟืนในฤดูหนาว พวกเขาจึงเผาฟืนใต้เตียงเตา ให้ทั้งครอบครัวนอนหลับในช่วงกลางคืน ตอนกลางวันหากมีแขกมาเยี่ยมก็จะให้อยู่ในห้องนี้ด้วย ซึ่งในชนบทไม่มีการแยกห้องนอนกับห้องรับแขก

“พี่สะใภ้รองมาแล้ว” พี่สามจ้าวกล่าวพลางกระแอมเสียง

พี่สะใภ้รองจ้าวมองเห็นสภาพของน้องสามีสามก็ตกใจเล็กน้อย ไม่เห็นแค่ไม่กี่วันเปลี่ยนไปถึงขั้นนี้แล้ว

“ไม่สบายขนาดนี้เลยเหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวนั่งริมเตียงพลางกล่าว

“หมอบอกว่าเป็นเพราะเหนื่อยน่ะค่ะ อีกอย่างเป็นไข้หวัดหนักด้วย มันเลยลาม” พี่สะใภ้สามจ้าวรินน้ำร้อนให้พี่สะใภ้รองจ้าว

พี่สะใภ้รองจ้าวรับแก้วน้ำร้อนมาอุ่นมือ ก่อนกล่าวว่า “พี่จะบอกอะไรให้นะน้องสามีสาม นี่นายกำลังหาเงินจนไม่รักชีวิตตัวเองแล้ว ทำแบบนี้ได้ที่ไหนกัน?”

…………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อะไรที่ตึงเกินไปมันก็ส่งผลเสียได้ เห็นผลลัพธ์ของมันแล้วหรือยังคะพี่สาม

ไหหม่า(海馬)