บทที่ 67 สำหรับพวกคุณแล้วการฝึกบำเพ็ญสู้หาเงินไม่ได้

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

ทุกคนนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พวกเขามีทรัพย์สินเงินทองทุกวันนี้ได้ นอกจากทายาทเศรษฐีบางคนแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่าธรรมชาติของมนุษย์จะชั่วร้ายถึงระดับไหนหากไร้ซึ่งกฎหมายควบคุม

“บางทีในพวกคุณอาจยังมีคนที่คิดว่าตอนนี้คนของสำนักสัจธรรมและหน่วยกิจการพิเศษรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้ แต่ไม่มีใครกล้าทำอย่างนี้หรอกใช่ไหม งั้นฉันจะบอกทุกคนละกัน

เว้นเสียแต่ว่าจะมีภัยคุกคามร้ายแรง ไม่อย่างนั้นปกติแล้วบทบาทที่แท้จริงของพวกเขา ถ้าพูดเกินจริงหน่อย ที่จริงแล้วก็คือพวกตัวละครในหนังที่มาถึงที่เกิดเหตุคนสุดท้ายหลังจากเกิดเหตุ พวกคุณคิดว่าพวกเขาจะคอยปกป้องพวกคุณทุกคนได้ตลอดวันตลอดคืนหรือ ต่อให้พวกเขาหาผู้ร้ายเจอและลงโทษอย่างหนัก แต่พวกคุณก็ตายไปแล้ว…”

“ต่อไปนี้ เมื่อพวกคุณเจอกับพวกคนร้าย มีแค่สามทางเลือกเท่านั้น เรียนรู้ที่จะคุกเข่าเพื่อเอาชีวิตรอดหรือยืนหยัดรับความตาย สุดท้ายนี้คือสิ่งที่เราให้คุณ นั่นคือเดินเข้าไปในประตูใหญ่แห่งโลกการฝึกบำเพ็ญเอง ศึกษาความรู้ของการฝึกบำเพ็ญ อย่างน้อยก็รู้ว่าทำไมพวกมันถึงแข็งแกร่ง จากนั้นใช้เงินที่คุณมีไม่ขาด ดึงดูดผู้แข็งแกร่งที่เป็นเป้าหมายมาปกป้องตัวเอง หรือใช้เงินนั้นเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น”

ทั้งห้องเรียนมีแต่เสียงเนือยๆ ของครูฝึกสวี่ดังก้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

สีหน้าทุกคนเคร่งขรึม ไม่มีท่าทางผ่อนคลายคล้ายกับมาท่องเที่ยวในตอนแรกอีกแล้ว

สีหน้าฟางหนิงดูจริงจังขึ้น แม้ว่าเขาจะเอาแต่อยู่บ้านเล่นเกมหลังเลิกงาน แต่ตราบใดที่เขาเข้าเรียนหรือทำงาน เขาจะจริงจังมาก ไม่อย่างนั้นเขาไม่สามารถใช้ชีวิตคนเดียวได้สบายๆ แน่นอน

อีกทั้งเขารู้เรื่องที่อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังจะเกิดขึ้น ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่บ้านนานมาก แต่เขาก็ยังเอาชนะความเฉื่อยชาในอดีตไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าในตอนแรกๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็ฝึกฝนวันละแปดชั่วโมง แม้ว่าบางครั้งเขาจะเกียจคร้านก็ตาม…

ในเมื่อต้องควักเงินก้อนใหญ่เพื่อมาที่นี่ และระบบยังอุตส่าห์ปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระ แน่นอนว่าเขาต้องเรียนความรู้พื้นฐานการฝึกฝนให้มากหน่อย จะได้ไม่ต้องไปค้นหาข้อมูลออนไลน์ทุกวัน

ครูฝึกสวี่กวาดตามอง เขามองเห็นสีหน้าท่าทางของทุกคน ไม่มีคนไหนที่ไม่จริงจัง ยิ่งรวยก็ยิ่งรักชีวิตสินะ

น่าเสียดาย พวกคุณจริงจังแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ คลาสเศรษฐีครั้งนี้มีทั้งหมด 30 คน อาจเป็นคนที่ได้ปลุกความสามารถพิเศษจึงได้อาศัยความสามารถพิเศษเข้ามาในแวดวงเศรษฐี และยังมีคนที่มีความหวังว่าจะฝึกบำเพ็ญ แต่อายุก็มากเกินไปแล้ว ซึ่งก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ส่วนคนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตั้งใจหาเงินทองแล้วจ่ายค่าเรียนกับค่าคุ้มครองให้พวกเราจะดีที่สุด…

เขาคิดอย่างนี้แล้วเอ่ยต่อ

“เอาล่ะ ต่อไปพวกเรามาทดสอบเล็กๆ กัน ในตัวเลือกทั้งสามที่เราให้มา เราจะมาดูกันว่าพวกคุณเหมาะสมกับเส้นทางแรกหรือเส้นทางที่สอง”

“การทดสอบนี้แบ่งออกเป็นสองขั้นตอน ขั้นแรกคือการทดสอบความถนัดในการฝึกบำเพ็ญของคุณ และขั้นที่สองคือการทดสอบนิสัยการฝึกบำเพ็ญของคุณ หากไม่ผ่านขั้นตอนใดก็ตาม พวกคุณสบายใจได้ แค่เรียนรู้เกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญอย่างเป็นระบบก็ได้แล้ว ไม่ต้องไปฝึกบำเพ็ญน่าเบื่อ แค่ใช้ความเชี่ยวชาญของคุณทำเงินต่อไปก็พอ”

เขาพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ปรบมือดึงความสนใจของทุกคน

บนเวทีใหญ่ที่มีเพียงเขาคนเดียวพลันเกิดความผันผวนในอากาศ จากนั้นกล่องเหล็กยักษ์สูงราวสองสามเมตรก็ปรากฏขึ้นบนเวที ราวกับว่ามันอยู่ที่นั่นมาตลอด

ทุกคนตกตะลึงอีกครั้งแล้วพิจารณามันอย่างละเอียด ด้านบนกล่องยักษ์มีประตูหันมาทางพวกเขา บนประตูยังมีจออิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่แสดงตัวเลขสีเขียว

ครูฝึกสวี่เดินเข้าไปพิงกล่องแล้วยื่นมือออกไปกดบนหน้าจอที่อยู่บนประตู

“ด้านบนมีตัวเลขสามตัว หนึ่งคือความเข้มข้นของพลังชีวิต สองคือระดับความอ่อนไหวของร่างกายมนุษย์ต่อพลังชีวิต และสามก็คืออัตราความเร็วการเข้าออกพลังชีวิตของร่างกายมนุษย์ ด้านหลังมีตัวเลขสองตัว เมื่อรวมกันแล้วจะกำหนดความถนัดในการฝึกบำเพ็ญของพวกคุณ อ้อ ฉันพูดอย่างนี้อาจจะดูไม่เข้มงวดมาก แต่วิธีฝึกบำเพ็ญที่พวกคุณจะได้สัมผัสค่อนข้างปลอดภัยหรือก็คือวิธีการฝึกฝนพลังชีวิต อื่นๆ เช่น การฝึกความสามารถพิเศษ พวกคุณส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถพิเศษเลย อีกอย่างความสามารถพิเศษก็แปลกประหลาด ส่วนใหญ่มีแต่คนที่มีความสามารถพิเศษถึงจะรู้ว่าต้องฝึกอย่างไร พวกเราสอนไม่ได้”

“ยังมีอีกแบบซึ่งแบบนี้ก็คือการฝึกความคิดทางจิตวิญญาณโดยเฉพาะ การฝึกพลังส่วนใหญ่อันตรายถึงชีวิต ข้อกำหนดแต่ละด้านสูงมาก โดยทั่วไปแล้วอย่าฝึกด้วยตัวเองเด็ดขาด เพราะถ้าผิดพลาดอาจจะเสียสติได้ และพวกเราไม่มีทางสอนแบบนั้นให้พวกคุณแน่นอน เพราะสถานะของพวกคุณแต่ละคนก็ไม่ได้ธรรมดา พวกเราชดใช้ไม่ไหวจริงๆ ส่วนวิธีการฝึกพลังชีวิต อย่างน้อยหากพวกคุณฝึกกับพวกเราที่นี่แล้วติดขัด ส่วนใหญ่แล้วพวกเรายังช่วยชีวิตได้ อีกทั้งวิธีการฝึกพลังชีวิตทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และยังเสริมสร้างความคิดทางจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้นช้าๆ ปลอดภัยมากทีเดียว”

เขาพูดจบแล้วก็มองทุกคนพลางชี้ไปที่คนหนึ่ง “เฮ้ นักเรียนคนนี้ชื่อหลิวซื่อเหลียงใช่ไหม เห็นคุณรูปร่างอ้วนท้วน มีลักษณะเด่นที่สุด สามารถเป็นตัวอย่างการสอนให้ทุกคนได้ ขึ้นมาข้างบนหน่อยแล้วกัน”

คนผู้นั้นก็คือตาอ้วนหลิวที่นั่งอยู่ข้างๆ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของประธานจ้าวนั่นเอง

คงไม่ใช่เหตุผลที่ว่าเขาเหมาะสมเป็นตัวอย่างการสอนอะไรพรรค์นั้นหรอก น่าจะเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ตาอ้วนหลิวเสียงดังที่สุด และครูฝึกก็จำเขาได้ตั้งแต่เดินเข้าประตูมา ข้อมูลของพวกเขาทั้งชื่อและหน้าตามีตั้งแต่ตอนที่พวกเขาลงทะเบียนสมาชิก และด้วยความสามารถของครูฝึกคนนี้ จึงไม่ยากที่จะจดจำรายละเอียดใครสักคน

หลิวซื่อเหลียงนิ่งอึ้ง แต่เมื่อนึกถึงความน่าเกรงขามของครูฝึกเมื่อครู่แล้วก็ยอมทำแต่โดยดี เมื่อครู่ก็แสดงชัดเจนแล้วว่า อีกฝ่ายไม่มีทางทำร้ายเขา ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาที่อยู่ในแวดวงธุรกิจมานานยังจะกลัวสถานการณ์นี้อีกหรือ

คนแรกยิ่งดีจะได้มีคนรู้จักข้าเหล่าหลิวมากขึ้น บางทีอาจมีลูกค้ามาติดต่อ เขาคิดอย่างนี้ก็ขึ้นไปบนเวทีเป็นตัวอย่างการเรียนด้วยความดีใจ

เห็นตาอ้วนหลิวขึ้นไปบนเวทีแล้ว ครูฝึกสวี่ก็เปิดประตูกล่องพลางชี้ “เข้าไปสิ”

ตาอ้วนหลิวเดินโยกเยกเข้าไปในประตูของกล่องแต่แล้วก็ต้องชะงักเท้า สีหน้าฉายความเขินอาย ทว่า ทุกคนกลับหัวเราะเบาๆ ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนที่เคร่งเครียดผ่อนคลายลง

ทุกคนมองแวบเดียวก็ดูออกว่าตาอ้วนหลิวไม่มีทางเดินเข้าประตูกล่องนี้ได้ เข้าไปได้ครึ่งหนึ่งก็ดีเท่าไรแล้ว ต่อให้เอียงตัวเข้าไปก็ไม่ได้อยู่ดี พุงของเขาอ้วนพลุ้ยเท่ากันทุกด้าน

“ฮ่าๆ ฉันคำนวณผิดไปหน่อย รู้อย่างนี้ให้พวกฝ่ายขนส่งทำประตูใหญ่ๆ ก็ดีสิ” ครูฝึกสวี่ยื่นสองมือมาจับกรอบประตูเหล็กสองด้านออกแรงดึงก็เห็นว่ากรอบประตูเหล็กทั้งบานถูกดึงกลายเป็นทรงโค้ง ยังดีที่จออิเล็กทรอนิกส์นั้นแขวนอยู่บนประตู ไม่อย่างนั้นเขาต้องทำมันพังแน่นอน

ทุกคนตะลึงอีกครั้ง ครูฝึกสวี่พูดอย่างไม่ใส่ใจ ยื่นมือไปแตะ “เชิญเลย นักเรียนหลิว”

ตาอ้วนหลิวมองดูตนเอง เขาสูง 160 ซม. ไม่ต้องก้มก็เข้าประตูโค้งได้พอดี เขาตกตะลึง ครูฝึกสวี่ดึงกล่องเหล็กได้ก็สุดยอดมากแล้ว พละกำลังที่แม่นยำนี้น่าตกใจจริงๆ

เขารู้สึกประดักประเดิดขณะเดินเข้าไป สองมือครูฝึกสวี่จับกรอบประตูที่เพิ่งง้างให้กว้าง เพียงดึงง่ายๆ กรอบประตูก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิมราวกับไม่เคยบิดงอมาก่อน

หลังจากประตูปิดลง ครูฝึกสวี่ก็ปรับแต่งหน้าจอครู่หนึ่งแล้วหันไปหาทุกคน

“ตอนนี้ฉันปรับแต่งระดับความเข้มข้นพลังชีวิตถึงระดับ B นี่คือขอบเขตความเข้มข้นพลังชีวิตที่พวกคุณใช้เงินซื้อได้ ส่วนจะดีกว่านี้นั้น พวกคุณเข้าใจดีว่าต้องออกไปนอกเสินโจวเท่านั้น เอาล่ะ อีกสองนาทีพวกเราค่อยมาดูคุณหลิว ไม่สิ ค่าทั้งสองของคุณหลิวก็คือ ระดับความอ่อนไหวของเขาต่อพลังชีวิตและยังมีความเร็วการรับเข้าออกพลังชีวิตของเขา”

ทุกคนไม่มีใครวอกแวกต่างจ้องมองไม่วางตา เพราะเป็นคลาสเล็กสามสิบคน แค่ไม่กี่แถวด้านหน้าก็นั่งพอ ตอนแรกยังมีคนนั่งด้านหลัง แต่ตอนนี้ทุกคนเดินมานั่งข้างหน้าหมดแล้ว เห็นชัดว่าพอตาอ้วนหลิวเข้าไปและปิดประตูแล้ว ตัวเลขสีเขียวบนจอก็วิ่งไม่หยุด

ที่หน้าประตู ครูฝึกสวี่พูดเสียงเนิบนาบ “สองค่านี้ ระดับจาก F ถึง S ทั้งหมด ถ้าหากอยู่ที่ระดับ E ขึ้นไป ความหวังฝึกฝนยังมี เข้าทดสอบขั้นต่อไปได้ แต่หากมีค่าระดับ E ลงไปก็ไม่มีความหวังแล้ว อย่างที่ฉันเพิ่งพูดไป เสียเวลาฝึกสิบปีสู้ขยันหาเงินไม่ได้”

ผ่านไปสองนาที ครูฝึกสวี่ก็ปรบมือ เอ่ยเสียงยินดี “ยินดีๆ ยินดีกับคุณหลิวท่านนี้ ไม่ต้องไปฝึกให้ลำบาก พวกคุณดูสิ ค่าทั้งสองของเขาไม่มีระดับ F เลย”

ทุกคนเห็นแต่แรกแล้วว่าบนหน้าจอนั้นกำลังแสดงข้อความ “การประเมินระดับความอ่อนไหวต่อพลังชีวิต: ต่ำกว่าระดับ F และอัตราความเร็วการเข้าออกของพลังชีวิต: ต่ำกว่าระดับ F”

ตอนแรกยังมีคนประหลาดใจทำไมครูฝึกดีใจขนาดนี้ แต่ไม่ช้าก็เข้าใจได้ ดีใจที่ไหนกันล่ะ นี่คือการดูถูกอีกแบบหนึ่งก็เท่านั้น

ทำไมอีกฝ่ายต้องพูดอย่างนี้ด้วย

หลังจากนั้นครูฝึกก็ดึงประตูเป็นทรงโค้งอีกครั้ง น้ำเสียงที่เรียกคุณหลิวออกมานั้นกระตือรือร้นมากๆ ไม่มีท่าทางเกียจคร้านอย่างก่อนหน้าสักนิด

เมื่อตาอ้วนหลิวออกมา เขาก็ได้ยินประโยคหนึ่งดังขึ้นทันที “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณหลิว คุณเป็นคนแรกที่ได้รับสิทธิ์เข้าเรียน VIP ของชั้นเรียนเศรษฐี”

…………………………………………