บทที่ 127 เหวินเสวี่ยน

บรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน?

ระหว่างทางที่มาที่นี่ เฉินซีได้รู้ว่าหลิวจ่างเป็นศิษย์สายในที่มีพรสวรรค์ปานกลาง แต่ในตอนนี้ เขากลับเรียกชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายผู้คงแก่เรียนว่าบรรพจารย์ใหญ่ นั่นไม่ได้หมายความว่าความอาวุโสของคนผู้นี้ยิ่งใหญ่กว่าประมุขนิกายกระบี่เมฆาพเนจรหรอกหรือ?

ต้องรู้ว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติหลิงตู้ซึ่งเป็นศิษย์พี่ของประมุขนิกายกระบี่เมฆาพเนจรยังถูกเรียกขานเพียง ‘บรรพจารย์’ แต่คนผู้นี้กลับถูกเรียกว่าบรรพจารย์ใหญ่!

ในตอนนี้เอง เฉินซีตกตะลึงอย่างแท้จริง

ในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เหล่าศิษย์ถูกแบ่งออกเป็นศิษย์สายนอก ศิษย์สายใน ศิษย์หลัก*[1] พวกเขามีศิษย์สายนอกมากกว่าหมื่นคนและศิษย์สายในมากกว่าพันคน แต่กลับมีศิษย์หลักเพียงสามสิบหกคน ซึ่งเหยียนชิงหนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

บรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างเป็นคนรุ่นเดียวกันทั้งหมด จึงไม่มีความแตกต่างระหว่างศิษย์สายนอกและศิษย์สายใน แต่เนื่องจากความสามารถของผู้อาวุโสแต่ละคนแตกต่างกัน พวกเขาจึงถูกแบ่งหน้าที่ ได้แก่ ผู้อาวุโสชี้แนะเคล็ดวิชา ผู้อาวุโสคุมกฎ ผู้อาวุโสกลั่นโอสถ… ผู้อาวุโสเหล่านี้มีมากกว่าร้อยคน อีกทั้งผู้อาวุโสที่มีความแข็งแกร่งต่ำที่สุดในหมู่พวกเขาก็อยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำ และผู้อาวุโสที่อยู่ในระดับสูงสุดก็เป็นเช่นบรรพจารย์หลิงตู้ที่ได้บรรลุถึงขอบเขตจุติแล้ว

ด้วยข้อมูลที่เขาได้ทราบจากพวกตู้ชิงซี ทำให้เฉินซีเข้าใจถึงองค์ประกอบของกองกำลังภายในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้อย่างชัดเจน ทว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผู้ที่มีความอาวุโสเหนือกว่าประมุขนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในตอนนี้ ทำให้เขาต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น เหวินเสวี่ยนสะกดเขาด้วยกลิ่นอายเพียงเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจได้ทันทีว่าคนผู้นี้ต้องเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร

“เจ้าอย่าได้กังวลไป เฉินฮ่าวเป็นศิษย์ของข้า ข้าย่อมไม่ทำร้ายเขาอย่างแน่นอน” เหวินเสวี่ยนผู้สง่าผ่าเผยกล่าวอย่างอ่อนโยน ท่าทางเขาเป็นกันเองและอบอุ่น

ในขณะที่เหวินเสวี่ยนกล่าว เฉินซีก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองผ่อนคลายและแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวโดยรอบได้หายไปในทันที

เฉินซีลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก กล่าวตามจริง การบ่มเพาะที่หยั่งไม่ถึงของเหวินเสวี่ยน ทำให้เขาไม่สามารถต่อต้านได้ เนื่องจากความห่างชั้นในการบ่มเพาะ ด้วยการบ่มเพาะของเขาในปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะใช้ฝ่ามือมหาดารามันก็คงไม่อาจทำร้ายเหวินเสวี่ยนได้แม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักถึงความหมายในคำพูดของเหวินเสวี่ยนและรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ‘คนผู้นี้คืออาจารย์ของเฉินฮ่าวอย่างนั้นหรือ? แต่เหตุใดเขาถึงเนรเทศเฉินฮ่าวมายังยอดเขามังกรอเวจีนี้เล่า?’

เมื่อเห็นเฉินซีกำลังครุ่นคิด เหวินเสวี่ยนที่ถือพัดขนนกในมือจึงกล่าวอย่างอารมณ์เสียว่า “หยกที่ไม่ผ่านการขัดเงาย่อมไม่มีคุณค่า พรสวรรค์ของฮ่าวเอ๋อร์นั้นดีเลิศที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอ หากข้าต้องการดึงเอาศักยภาพทั้งหมดของเขาออกมา ข้าก็ต้องกระตุ้นจิตใจของเขาอย่างรุนแรง เพื่อทำให้มีความอดกลั้น อุทิศตน และมั่นคงต่อกระบี่ เมื่อนั้นเขาจะสามารถเดินบนเส้นทางแห่งกระบี่และไม่หลงทางจนกลายเป็นมารที่ต้องการแต่แสวงหาความแข็งแกร่ง”

“เช่นนั้นแล้วขณะนี้ผู้อาวุโสกำลังขัดเกลาเฉินฮ่าว?” เฉินซีขมวดคิ้วขณะที่เขาถาม

“ถูกต้อง หากต้องการควบคุมพลัง ก็ต้องสูญเสียมันไปซะก่อน จากนั้นต้องทนทุกข์ทรมานและเจ็บปวดอย่างไม่มีสิ้นสุด ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวังมันจะทำให้ดวงจิตแห่งกระบี่ของเขาสงบลง อีกทั้งข้าได้สะกดปราณแท้ของเขา ไม่ให้อาหาร และปล่อยให้ดิ้นรนท่ามกลางความหนาวเย็น ทำให้เขาหล่อหลอมดวงจิตแห่งกระบี่ที่ไม่มีทางยอมจำนน”

เหวินเสวี่ยนกล่าวด้วยความยินดี “อย่างที่เจ้าเห็นก่อนหน้านี้เฉินฮ่าวไม่ได้ใช้ปราณแท้เลยแม้แต่น้อย อาศัยเพียงความเข้าใจในเต๋าแห่งกระบี่เท่านั้น เมื่อถึงขั้นนั้น ก็สามารถใช้กิ่งไม้แสดงอำนาจกระบี่จนไม่อาจมีผู้ใดเทียบได้ สิ่งนี้คือการเปลี่ยนแปลงของดวงจิตแห่งกระบี่ หากเขารู้แจ้งในดวงจิตแห่งกระบี่แล้วจึงจะออกจากสถานที่แห่งนี้และก้าวไปสู่เต๋าแห่งกระบี่ขั้นสูงสุดได้!”

เฉินซีเข้าใจในทันที แต่คิ้วของเขายังคงขมวดแน่นขณะที่เขาส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เขาใช้ร่างกายของตนเองจนแทบพังทลาย เส้นลมปราณถูกปิดกั้น จุดชีพจรเสียหาย ทะเลแห่งปราณเหือดแห้ง และ เลือดเนื้อของเขาถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น แม้ว่าท่านจะใช้เม็ดยามากมายเพื่อรักษาเขา ก็ยังยากที่จะฟื้นฟู ต่อให้จิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้นจะมีประโยชน์อะไร ถ้าข้ายังไม่พาเขาไป เขาอาจจะตายลงหลังจากนี้”

“เรื่องร่างกายของเขาเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าได้ค้นพบดวงจิตวิญญาณวารีแล้วหลังจากนี้ข้าจะสร้างร่างกายใหม่ให้แก่เขา” เหวินเสวี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย “แต่เดิมทีข้าตั้งใจจะหาสมบัติที่มีจิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าเพื่อช่วยฮ่าวเอ๋อร์สร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ แต่โชคไม่ดีที่สมบัติแบบนั้นหายากเกินไป และคงมีแต่โชคชะตาเท่านั้นถึงจะได้พานพบ”

เฉินซีไม่รู้ว่าดวงจิตวิญญาณวารีคือสิ่งใด แต่เมื่อเขาได้ยินคำว่าจิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้า เขาก็นึกออกในทันที ‘สิ่งนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับผลดอกบัวดวงจิตทองคำที่อยู่ในตันเถียนของข้าไม่ใช่หรือ?’

ผลดอกบัวดวงจิตทองคำนี้ได้มาจากที่พำนักเซียนกระบี่ของเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ เฉินซีไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันคืออะไร แต่เขาเคยได้ยินจี้อวี๋บอกว่า มันเป็นสมบัติวิญญาณทองคำที่เกิดจากธาตุทั้งห้าตามธรรมชาติ แม้แต่ในยุคบรรพกาลก็เป็นสิ่งที่หายากยิ่ง ส่วนวิธีการใช้งานนั้น ตัวเขาเองก็ไม่ทราบ

เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับการสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่?

หัวใจของเฉินซีเต้นอย่างรุนแรง เขาถามทันทีว่า “เรียนถามผู้อาวุโส ในบรรดาสมบัติที่มีวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้า ผลดอกบัวดวงจิตทองคำสามารถสร้างร่างกายขึ้นใหม่ได้หรือไม่?”

“ผลดอกบัวดวงจิตทองคำ?!” ร่างกายของเหวินเสวี่ยนแข็งค้างในขณะที่เขาอุทานโดยไม่ได้ตั้งใจ ท่าทางที่สง่างามผ่าเผยได้หายไป และเห็นได้ชัดว่า เมื่อเขาได้ยินคำว่าผลดอกบัวดวงจิตทองคำ มันส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาเป็นอย่างมาก

เฉินซีรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะตอนที่จี้อวี๋เห็นผลนี้ก็สูญเสียความสงบเช่นกัน แม้การบ่มเพาะของเหวินเสวี่ยนจะสูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจเทียบกับจี้อวี๋ที่มีอายุนับล้านปีได้หรอกจริงไหม?

“ขออภัยที่ข้าแสดงท่าทางไม่สำรวมออกไป แต่ถ้าเจ้าครอบครองสมบัตินี้จริง ๆ ข้าก็สามารถช่วยเฉินฮ่าวสร้างร่างวิญญาณทองคำขึ้นมาใหม่ได้!” เหวินเสวี่ยนเองก็สูญเสียความสำรวมไปเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นจึงรีบยับยั้งความคิดก่อนที่จะกล่าวช้า ๆ ว่า “เมื่อยุคบรรพกาล ผู้ยิ่งใหญ่บางคนที่มีการบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดาจะรวบรวมสมบัติจากธาตุทั้งห้าตามธรรมชาติ เพื่อใช้พวกมันเป็นดวงวิญญาณที่สองหรือใช้สำหรับจุติร่างกายขึ้นมาใหม่”

สมบัติที่มีพลังของธาตุทั้งห้านั้นมีความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง มันมีต้นกำเนิดจากสวรรค์และโลกทั้งยังสถิตด้วยมหาเต๋า เมื่อนำมาใช้บ่มเพาะจะได้รับประโยชน์อย่างเหลือเชื่อ

“ในบรรดาสมบัติที่มีธาตุทั้งห้าโดยกำเนิด ผลดอกบัวดวงจิตทองคำเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุด ดอกบัวเป็นสิ่งที่เติบโตขึ้นจากพลังชีวิตของสวรรค์และโลก มันเป็นสมบัติชั้นเลิศที่เหมาะแก่การสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ดอกบัวดวงจิตของธาตุทั้งห้าที่มีค่ามากที่สุดสำหรับผู้บ่มเพาะกระบี่ ย่อมคือผลดอกบัวดวงจิตทองคำอย่างไม่ต้องสงสัย!” เหวินเสวี่ยนจ้องมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาเร่าร้อนในขณะที่เขากล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าเข้าใจคุณค่าของผลดอกบัวดวงจิตทองคำแล้วหรือยัง”

เฉินซีพยักหน้า ในตอนนี้เขาเข้าใจในสิ่งที่จี้อวี๋เคยกล่าวในวันนั้นแล้วว่า ‘ถ้าเขาสูญเสียผลดอกบัวดวงจิตทองคำจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต’ นับว่ามันเป็นสมบัติที่ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้จิตใจของผู้ที่พบเห็นต้องหวั่นไหว!

“เอาล่ะ ข้าบอกเจ้าทุกอย่างแล้ว ฝากน้องชายของเจ้าไว้ที่นี่ซะ ถ้าเขาจากไปตอนนี้ ความพยายามที่ข้าทำมาทั้งหมดจะต้องสูญเปล่าและมันยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตของน้องชายเจ้า ซึ่งมันช่างน่าเสียดายเหลือเกิน” เหวินเสวี่ยนยิ้มอย่างอบอุ่น

“ผู้อาวุโส ท่านรู้จักตัวตนของข้าหรือ” เฉินซีถามด้วยความประหลาดใจ

“อืม ข้าพอคาดเดาได้” เหวินเสวี่ยนพยักหน้า “ข้าเคยได้ยินฮ่าวเอ๋อร์กล่าวถึงเจ้าอยู่หลายครั้ง เมื่อได้พบแล้ว นับว่าเจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยากจริง ๆ”

“ผู้อาวุโสท่านชมข้ามากไปแล้ว” ตอนนี้เฉินซีมั่นใจแล้วว่าคนผู้นี้ย่อมเป็นอาจารย์ของเฉินฮ่าว มิฉะนั้น ด้วยการบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ เขาไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาไร้สาระกับตนนัก

“ข้าชมเจ้า?” เหวินเสวี่ยนหัวเราะลั่น “ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา เจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถหลีกเลี่ยงค่ายกลปกป้องนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น นี่ไม่ใช่คำชมที่มากเกินไปเลย”

ทันใดนั้น

ฟิ้ว!

เสียงฉีกผ่านท้องฟ้าดังก้องจากขอบฟ้าที่ไกลโพ้น จากนั้นชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวที่ยืนอยู่บนกระบี่บินกำลังเหินเข้ามา

“ท่านบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน?” เมื่อคนผู้นี้เห็นเหวินเสวี่ยนที่อยู่บนยอดเขาจากระยะไกล เขารู้สึกตกตะลึงก่อนที่จะรีบร่อนลงไปที่ยอดเขาและโค้งคำนับ “ศิษย์ซูเฉินคารวะท่านบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยน!”

‘อย่างที่ข้าคาดไว้!’

‘การเคลื่อนไหวของตระกูลซูนั้นรวดเร็วยิ่งนัก ถ้าข้าช้ากว่านี้เฉินฮ่าวจะไม่ถูกจับตัวไปหรือ?’

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงขณะที่เขามองไปที่ซูเฉิน

ในตอนนี้ ซูเฉินก็สังเกตเห็นเฉินซีที่อยู่ใกล้เคียงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นเฉินฮ่าวที่อยู่บนหลังของเฉินซี ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขามาช้าไปหนึ่งก้าว

สิ่งที่น่าฉงนที่สุดสำหรับเขาคือ ดูเหมือนว่าท่านบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนจะรู้จักเฉินซีและเฉินฮ่าว?

หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ การพาตัวเฉินฮ่าวออกไปคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก!

ทันใดนั้น ความคิดนับไม่ถ้วนก็แวบเข้ามาในหัวของซูเฉิน และเขาเป็นคนที่หัวไวมาก ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาก็มืดลงทันที ก่อนจะเขาตะโกนใส่เฉินซีว่า “เจ้าเป็นใคร? เจ้ากล้าบุกรุกนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าหรือ?”

เฉินซีหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ในใจ ‘ทั้ง ๆ ที่เจ้ารู้แต่กลับแสร้งเป็นคนโง่ และตั้งคำถามกับข้าเช่นนี้ เพื่อต้องการหยั่งเชิงความสัมพันธ์ของข้ากับบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนอย่างนั้นหรือ? คนตระกูลซูนี้ล้วนเป็นนักวางแผนอย่างที่คาดไว้’

“เขาเป็นพี่ชายของศิษย์ข้า ที่เขาบุกรุกมาที่นี่เป็นเพราะกังวลต่อความปลอดภัยของน้องชาย และถือได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะล่วงเกิน ดังนั้นข้าจึงให้อภัยเขา” เหวินเสวี่ยนเหลือบมองซูเฉินด้วยความหมายลึกซึ้ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“อะไรนะ!? เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?” ซูเฉินไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขาซีดเผือด ในขณะที่เขาร้องอุทานออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “เฉินฮ่าวเป็นศิษย์ของท่านบรรพจารย์ใหญ่หรือ?”

ในตอนนี้ หัวใจของซูเฉินรู้สึกหนักอึ้งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่บรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนกล่าว เฉินฮ่าวจะไม่ได้มีตำแหน่งสูงกว่าเขาหรือ?

‘ถ้าข้ายังกล้าสร้างปัญหาให้กับเฉินฮ่าว ข้าเกรงว่า… แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังไม่อาจปกป้องข้าได้กระมัง?’

‘เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?’

หัวใจของซูเฉินปั่นป่วนเมื่อเขารู้ว่าคนที่ตระกูลของเขาต้องการแก้แค้นกลับไม่อาจฆ่าได้อีกต่อไป ไม่เพียงเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสร้างปัญหาให้กับเฉินฮ่าวในอนาคต เนื่องจากอีกฝ่ายมีบรรพชนเหวินเสวี่ยนคอยหนุนหลังอยู่!

เหวินเสวี่ยนจะรู้ได้อย่างไรว่า ความคิดนับไม่ถ้วนจะเกิดขึ้นในใจของซูเฉินเป็นเพราะคำพูดของเขา เขารู้สึกไม่พอใจกับท่าทีของซูเฉิน ดังนั้นจึงกล่าวขณะขมวดคิ้วว่า “ข้าจะโกหกศิษย์เช่นเจ้าไปทำไม?”

“ท่านบรรพจารย์ใหญ่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ศิษย์แค่ตกใจเกินไปเท่านั้นเอง เนื่องจากท่านได้ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ที่ด้านหลังของภูเขาเป็นเวลานับพันปี และศิษย์คนนี้ไม่เคยได้ยินว่าท่านรับศิษย์มาก่อน ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ” ซูเฉินรีบส่ายหน้าไม่หยุด เขาจะกล้าตั้งคำถามกับเหวินเสวี่ยน ผู้เป็นศิษย์พี่ของท่านอาจารย์ของเขาบรรพจารย์หลิงตู้ได้อย่างไร ต่อให้เขามีความกล้าหาญมากกว่านี้ร้อยเท่าเขาก็ไม่กล้าทำ!

“ข้ารู้ทุกอย่างที่เจ้าทำในอดีต รวมทั้งเรื่องที่เจ้าร่วมมือกับศิษย์คนอื่น ๆ เพื่อยุยงให้ประมุขนิกายเนรเทศศิษย์ของข้ามายังที่นี่ข้าก็รู้เช่นกัน เหตุผลเดียวที่ข้าไม่ออกหน้าและหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะข้ารู้สึกว่ามันเป็นเพียงเรื่องขัดแย้งระหว่างศิษย์รุ่นเยาว์ซึ่งไม่มีค่าพอที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว” เหวินเสวี่ยนมองไปที่ซูเฉินและถอนหายใจ “แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดของข้าจะตื้นเขินเกินไป”

บรรพจารย์ใหญ่รู้ทุกเรื่องอยู่แล้วหรือ?

หัวใจของซูเฉินสั่นสะท้าน และหลังของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น ๆ ในทันที เมื่อเขารู้ว่าคนที่เขาต้องการจะจับกุมคือศิษย์สายตรงของบรรพจารย์ใหญ่ เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาตกลงไปในบ่อน้ำแข็งและร่างกายของเขาหนาวสะท้านไปทั้งตัว

“จงไปซะ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากยอดเขาทะยานนภาเป็นเวลาสิบปี ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน” เหวินเสวี่ยนโบกมือขณะที่เขากล่าว

“รับทราบขอรับ ท่านบรรพจารย์ใหญ่” น้ำเสียงของซูเฉินขมขื่นมากในขณะที่เขาหันหลังกลับและจากไปด้วยความสลดใจ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้เหลือบมองเฉินซีอีกเลย

“เจ้าพอใจกับผลลัพธ์ที่ข้าจัดการเรื่องนี้หรือไม่?” เหวินเสวี่ยนมองไปที่เฉินซีและยิ้มขณะที่เขากล่าว

“กล่าวตามตรงผู้เยาว์ไม่พอใจเล็กน้อย แท้จริงแล้วผู้อาวุโสกำลังปกป้องเขา อย่างน้อยถ้าข้าอยากฆ่าเขา ข้าต้องรอถึงสิบปี!” เฉินซีกล่าวอย่างอับจนหนทาง

“ฮ่า ๆๆ อย่างที่เขาว่ากัน ปัญญาคือความรู้ที่แท้จริง ความสามารถในการรับรู้ของเจ้าโดดเด่นยิ่งนัก” เหวินเสวี่ยนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะหัวเราะไม่หยุด เขาไม่ได้สนใจท่าทีที่ไม่พอใจของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย

“มาสิ ข้าจะพาเจ้าไปหาคนคนหนึ่ง” ขณะที่เหวินเสวี่ยนกล่าว ร่างของเขาก็สว่างวาบและพุ่งผ่านท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

‘ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้ปฏิเสธ อาจารย์ของเฉินฮ่าวผู้นี้ดูอบอุ่นราวกับแสงอรุณรุ่ง ทว่าในกระดูกของเขากลับเป็นคนเอาแต่ใจและไม่มีเหตุผล!’ เฉินซีถอนหายใจในใจ เมื่อเขาเห็นร่างของเหวินเสวี่ยนลับหายไปแล้ว เขาก็ไม่กล้าลังเลอีกต่อไปและใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานไล่ตามไปติด ๆ ในทันที

[1] ในบรรดาศิษย์นิกายหรือสำนักจะแบ่งศิษย์ออกเป็นสามประเภท ได้แก่ ศิษย์สายนอก ศิษย์สายใน และศิษย์หลัก และยังมีอีกคำเรียกหนึ่งที่คนเขียนเพิ่มเข้ามา คือ ‘ศิษย์สายตรง’ แต่ในบริบทนี้ผู้เขียนใช้เป็นศิษย์หลักเพื่อกล่าวถึงภาพรวม ในขณะที่ศิษย์สายตรง จะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์โดยตรงเท่านั้น