ตอนที่ 48 หรือว่าความลับจะถูกเปิดเผย

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 48 หรือว่าความลับจะถูกเปิดเผย?

ช่วงเวลาเพียงสองเค่อหมาป่าตัวนั้นก็คาบลูกหมาป่าตัวน้อยวิ่งกลับมา มันค่อย ๆ วางลูกหมาป่าไว้บนพื้นหญ้าตรงหน้าเท้าของซูหวานหว่าน หมาป่าตัวน้อยนอนหลับตาพริ้ม ร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย

ซูหวานหว่านเอื้อมมือไปจับตัวหมาป่าน้อย นางพบว่าบนตัวของมันเต็มไปด้วยรอยเขี้ยว ถูกกัดจนเห็นกระดูกข้างใน

พวกหมาป่าไม่ได้โง่ พวกมันให้ลูกหมาป่ากับนางหนึ่งตัว ซึ่งไม่รู้ว่าลูกหมาป่าตัวนี้จะอยู่ได้ถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ อีกทั้งพวกมันก็จะไม่เสียเปรียบอะไรเลย

ซูหวานหว่านอุ้มลูกหมาป่าขึ้นมาพร้อมกับมองไปรอบ ๆ นางพบเจอสมุนไพรต้นหนึ่งจึงเก็บมันมาคั้นน้ำมัน ก่อนจะวางลงบนบาดแผลของลูกหมาป่าตัว เมื่อโดนสัมผัสนั้นลูกหมาป่าถึงกับสะดุ้งจนแทบกระโดดออกจากอ้อมแขนของเด็กสาว

“เจ้าทำอะไร! เจ้าจะฆ่ามันหรือ!” จ่าฝูงหมาป่าโกรธมาก จนแทบวิ่งเข้ามาคาบลูกหมาป่าคืน

“ข้าไม่ได้ทำร้ายมัน ข้ากำลังช่วยชีวิตมันต่างหาก” ทันทีที่ซูหวานหว่านพูดจบ จ่าฝูงหมาป่าก็เห็นว่าลูกหมาป่าเหมือนจะเชื่องขึ้นในอ้อมแขนของซูหวานหว่าน และไม่ได้ดูเจ็บปวดเหมือนก่อนหน้านี้

เมื่อเห็นดังนั้น จ่าฝูงหมาป่าก็โล่งใจที่ปล่อยให้ซูหวานหว่านนำลูกหมาหมาป่ากลับไป ซึ่งนางกะว่าจะเอาลูกหมาป่าไปเลี้ยงในมิติฟาร์มพร้อมกับพวกไก่

เมื่อพวกหมาป่าเดินจากไปแล้ว ซูหวานหว่านจึงโยนลูกหมาป่าเข้าไปในมิติฟาร์ม เมื่อจัดการลูกหมาป่าเสร็จนางก็รู้สึกเป็นกระวนกระวายขึ้นมาเมื่อมองไปที่ฉีเฉิงเฟิง

แม้ภายนอกจะดูผอมบาง คล้ายกับคนอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วเขามีร่างกายที่สมบูรณ์แบบ เด็กสาวได้บังเอิญสัมผัสโดนบริเวณหน้าท้องของเขา ซึ่งซูหวานหว่านคาดเดาน้ำหนักและร่างกายของเขาได้แทบจะทันที…

นางคิดว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามในการออกไปจากป่าแห่งนี้ ซูหวานหว่านครุ่นอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ยอมแพ้และตัดสินใจที่จะพักอยู่บนภูเขาหนึ่งคืน

“บังเอิญเหลือเกิน วันนี้มีหมอนให้หนุนด้วย” ซูหวานหว่านจับร่างของฉีเฉิงเฟิงให้นอนดี ๆ จากนั้นนางก็วางศีรษะของตัวเองลงบนหน้าท้องของฉีเฉิงเฟิงอย่างไม่ลังเล

นางเคยมีประสบการณ์ในการนอนหนุนหน้าท้องคนอื่นมาแล้ว และรู้ด้วยว่าต้องทำยังไงถึงจะใช้ให้คุ้มค่า

สัมผัสอบอุ่นของหญิงสาวทาบลงไปบนหน้าท้อง ส่งผลให้หูของฉีเฉิงเฟิงขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างควบคุมไม่ได้

ซูหวานหว่านได้หาวออกมา นางค่อย ๆ หลับตาลงและผล็อยหลับไปในที่สุด

ดวงอาทิตย์ตกดินลงไปอย่างเงียบ ๆ สายลมยามเย็นพัดผ่านเย็นยะเยือก ร่างกายของฉีเฉิงเฟิงสั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้ ทำให้ซูหวานหว่านสะดุ้งตื่นตกใจ รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันมองไปที่ฉีเฉิงเฟิง

คิ้วของชายหนุ่มขมวดแน่น ขนตาของเขาขยับไปมาเบา ๆ ราวกับว่ากำลังหลับใหลอยู่ในห้วงแห่งความฝันก็ไม่ปาน

ซูหวานหว่านตั้งคำถามขึ้นมาภายในใจ

ฉีเฉิงเฟิงตื่นแล้วงั้นหรือ?

ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว เพื่อให้แน่ใจว่าฉีเฉิงเฟิงจะสลบไปจริง ๆ นางจึงคิดใช้มือของตัวเองทุบไปที่หลังคอของเขาอีกครั้ง

ทว่าทันใดฉีเฉิงเฟิงก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับจับมือของนางเอาไว้ “เจ้าจะทำให้ข้าสลบไปอีกแล้วหรือ?”

ซูหวานหว่านตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก จ้องไปที่ดวงตาของฉีเฉิงเฟิง

หากว่าฉีเฉิงเฟิงไม่ได้สลบไปตั้งแต่แรก บทสนทนาระหว่างนางกับพวกหมาป่า รวมถึงการแลกเปลี่ยนลูกหมาป่า เขาจะรับรู้มันด้วยหรือไม่?

เวลานี้แววตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ฉีเฉิงเฟิงบีบข้อมือของนางเบา ๆ ซูหวานหว่านพยายามบิดข้อมือออกจากการกอบกุมและก้าวไปด้านหลังด้วยความกลัว จนกระทั่งแผ่นหลังบางกระแทกเข้ากับต้นไม้ ส่วนฉีเฉิงเฟิง ตัวเขาเองก็ก้าวเท้าตามหน้ามา ชายหนุ่มก้มหน้าเข้าไปใกล้ใบหูของนาง

ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเย็นวันนั้น วันที่นางเข้าประชิดตัวฉีเฉิงเฟิง

เหตุใดความสามารถในการเลียนแบบของเขาถึงได้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้? ลมหายใจของเขาพ่นรดอยู่ใกล้ใบหูของเด็กสาว ความรู้สึกเช่นนี้กลับมาอีกแล้ว

ซูหวานหว่านตกใจ นางไม่เคยรู้เลยว่าฉีเฉิงเฟิงจะแกล้งทำเป็นสลบ

“เป็นอะไรไป? ยังอยากทุบคอข้าอยู่หรือไม่? ตอบข้ามา”

แสดงว่าครั้งแรกที่นางทุบเขา ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นว่าตัวเองสลบไป!

ใครจะไปรู้ว่าเขาจะมีทักษะการแสดงที่ดีขนาดนี้!

ความแข็งแกร่งที่สันมือของนางทั้งหนักและรุนแรง! หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าฉีเฉิงเฟิงบังเอิญขยับร่างกายจนหลบหลีกได้ ทำให้ซูหวานหว่านพลาดไปละก็! แท้จริงแล้วซูหวานหว่านกลัวว่าหากนางตีไปที่คอของฉีเฉิงเฟิงอย่างเต็มแรง เกรงว่าฉีเฉิงเฟิงอาจจะถึงตายได้

ฉีเฉิงเฟิงคลี่ยิ้ม รอยยิ้มนั้นทำให้ซูหวานหว่านเกิดความหงุดหงิดขึ้นมา

“ข้า…” ซูหวานหว่านไม่รู้จะตอบคำถามเขาอย่างไรดี นางจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เวลาที่นางอ้าปากพูดมันเผยให้ฟันที่เรียงสวยและมีเสน่ห์ของนาง ซึ่งมันดูน่ารักมาก

ฉีเฉิงเฟิงขยับกายเข้าไปหาอีกฝ่ายช้า ๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามออกมาตรง ๆ “เจ้าบอกข้ามาเสียดี ๆ ว่าเจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ที่ทำให้ข้าสลบไป? หรือว่าเจ้าต้องการหมอนหนุนหัวโดยไม่เสียเงินใช่หรือไม่?”

“เจ้าดูเสียเวลานี้มันก็ค่ำมากแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการหมอนหนุนแต่อย่างใด แต่ตอนนั้นเจ้าสลบไปแล้ว ดังนั้นข้าเลย…” ซูหวานหว่านตอบออกมาอย่างลนลาน ทว่าภายในใจกลับรู้สึกผิดขึ้นมาเรื่อย ๆ

สรุปแล้วนางไม่รู้ถึงความแตกต่างของชายหญิงหรือว่านางตั้งใจทำ? ฉีเฉิงเฟิงรู้สึกมีความสุขอยู่ภายในใจ “ซูหวานหว่าน เจ้าทำอย่างไรหมาป่าพวกนั้นถึงไม่ทำร้ายเจ้า? เจ้าเผชิญหน้ากับหมาป่าเจ็ดตัวโดยไม่เป็นอะไรเลยภายในครึ่งชั่วยาม

ถึงแม้ว่าฉีเฉิงเฟิงจะไม่เข้าใจว่าซูหวานหว่านใช้วิธีใดในการพูดคุยกับฝูงหมาป่า ทว่าเขาก็พอจะเดาออกอยู่บ้าง

ซูหวานหว่านพยายามบิดข้อมือของตัวเองออกจากฉีเฉิงเฟิงอีกครั้ง “ข้ายังคงยืนยันจะต้องพูดประโยคนั้นออกมา บางสิ่งเจ้าไม่ควรถาม ดังนั้นเจ้าก็อย่าถาม ข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้นับเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ดังนั้นข้าเปรียบเสมือนเป็นผู้มีพระคุณของเจ้า เจ้าสมควรใช้คำพูดและทำกิริยาเช่นนี้กับข้ารึอย่างไร ทั้งยังกล้าถามข้าเช่นนั้นอีกหรือ?”

ซูหวานหว่านสบโอกาสกาสจับไปที่หลังมือของชายหนุ่ม นางใช้แรงทั้งหมดพลิกร่างกายของเขาและผลักอีกฝ่ายเข้าไปชิดกับต้นไม้ ทำให้ตำแหน่งของทั้งคู่สลับกัน!

“ข้าได้ยินมาว่ามีหลายวิธีที่จะตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สิ่งที่ข้าชอบมากที่สุดเหมือนจะเป็นประโยคที่ว่า ‘ยอมพลีกายถวายตัว’ เจ้ากล้าที่จะแสดงออกให้ข้าดูได้หรือไม่?” ซูหวานหว่านแกล้ง พร้อมกับขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กับอีกฝ่าย หายใจรดไปที่ใบหูของฉีเฉิงเฟิงเพื่อยั่วยุเขา

เมื่อเห็นการกระทำของนาง ฉีเฉิงเฟิงถึงกับหน้าแดง และได้พูดออกมาว่า “เจ้ามันคนไร้ยางอาย!”

ซูหวานหว่านเหมือนจะชอบคำนี้ขึ้นมาเล็กน้อย นางแย้มยิ้ม “เอ๊ะ เอ๊ะ เจ้าก็มีผิวที่หนาด้านเหมือนกับข้า ดังนั้นพวกเราสองคนจึงเหมือนกัน”

“…”

ฉีเฉิงเฟิงหน้าแดง ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างส่องมาจากระยะไกลและตามมาด้วยเสียงดังโวยวาย

“ดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่ทางนั้น!”

เสียงของพวกชาวบ้าน!

“จริงหรือ! เป็นหวานหว่านของข้าหรือเปล่า?” แม่เจิ้นพูดออกมาทั้งน้ำตา

“ไม่รู้สิ มันอยู่ไกลเกินกว่าข้าจะมองเห็นได้” ชาวบ้านคนหนึ่งได้พูด

คงจะเป็นแม่ของตน แม่เจิ้นขอร้องชาวบ้านให้ออกมาช่วยตามหาตัวนาง เพราะเห็นว่ามืดค่ำแล้ว แต่นางยังไม่กลับบ้าน

แต่แล้วซูหวานหว่านก็คิดอะไรบางอย่างออก นางมองฉีเฉิงเฟิงพร้อมพูดว่า “ตอนนี้แม่ของข้ากำลังเดินมาทางนี้แล้ว ทางที่ดีเจ้ารีบไปหาที่ซ่อนตัวจะดีกว่า หากเกิดมีคนเห็นว่าเรามี ‘การนัดพบกันช่วงดึก’ ตามลำพัง เรื่องนี้จะต้องถูกพูดออกไปแน่ ๆ แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องได้”

ไม่ใช่เพราะเหตุนี้หรอกที่จู่ ๆ ซูหวานหว่านนึกห่วงชื่อเสียงของตัวเองขึ้นมา ส่วนฉีเฉิงเฟิงเมื่อได้ยินคำพูดของซูหวานหว่าน เขาก็ได้เก็บคำพูดนั้นมาครุ่นคิดอยู่ในใจ

สีหน้าของฉีเฉิงเฟิงดูไม่พอใจเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะไปสู่ขอแต่งงาน หรือไปทำลายชื่อเสียงของนางได้ อีกอย่างเขาก็ไม่อยากได้ยินคำศัพท์ที่แปลกใหม่ของซูหวานหว่านที่นางได้ใช้ด่าเหมี่ยวอี้เซิงในวันนั้น

ฉีเฉิงเฟิงสำรวจไปรอบ ๆ พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ทันที และพบว่าบนต้นไม้เต็มไปด้วยขนไก่ นั่นทำให้เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก

ไก่จะบินขึ้นมาอยู่บนต้นไม้สูงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?

อีกอย่างขนไก่นี่ไม่น่าจะใช่ไก่ป่า มันเหมือนขนของไก่บ้านมากกว่า

ใครกันที่เป็นคนเอาไก่มาไว้ที่นี่?

พอนึกถึงเสียงไก่ร้องที่ได้ยินตอนที่ตัวเองแสร้งทำเป็นว่าหมดสติไป ฉีเฉิงเฟิงก็หันไปมองซูหวานหว่าน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและความคิดอันน่าสยดสยองก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา หรือว่าซูหวานหว่านจะเป็นคนนำไก่มาที่นี่แล้วจัดการฆ่ามัน!

ฉีเฉิงเฟิงส่ายหัวไปมาอย่างรวดเร็ว ซูหว่านหว่านเป็นเพียงคนธรรมดา นางคงจะไม่ทำเรื่องแปลก ๆ เหล่านั้นแน่

ณ ขณะที่ฉีเฉิงกำลังใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเอง ซูหวานหว่านก็ได้วิ่งไปหากลุ่มชาวบ้าน เมื่อนางมาถึงก็พบกับชาวบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีจำนวน 10 คน เหล่าชาวบ้านต่างถือคบเพลิงเพื่อช่วยกันออกมาตามหาตัวนาง จนเมื่อซูหวานหว่านเห็นแม่เจิ้น นางก็ก็รีบวิ่งเข้าไปกอดแม่ของตัวเองทันทีพร้อมกับพูดว่า “ท่านแม่! ข้าอยู่นี่!”