ตอนที่ 67 ฉีกหน้ากาก (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”

 

 

ว่าแล้วก็เข้าไปในเรือน เห็นเฟิงซื่อนั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่างดังคาด ในมือยังถือผ้าที่ปักค้างไว้ ดูแล้วเหมือนจะเป็นชุดคลุมบุรุษ ทว่าสองตาของนางบวมแดง เหมือนกำลังใจลอย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองนางเฟิ่งซื่อ นับว่านางเป็นสตรีที่งดงามยิ่ง ความอ่อนโยนสง่างามมิได้ด้อยไปกว่าสตรีสกุลใหญ่ในหอห้องเลย จะลุกจะนั่งล้วนเรียบร้อยเหมาะสม ฟังว่าครานั้นบิดามินำพาต่อเสียงคัดค้านของคนในตระกูล รับเฟิงซื่อซึ่งเป็นหญิงสามัญเข้าจวน ทั้งยังเมตตารักใคร่นางเป็นอันมาก นอกจากท่าทีเย็นชาต่อการถือกำเนิดของชิวเยี่ยไป๋ ทั้งไม่เคยถามไถ่ถึงตนมานานปีแล้ว ก็นับว่าเขาดีต่อเฟิงซื่อไม่น้อย

 

 

แต่นางไม่เข้าใจ แม้จะได้ยินมาว่ามารดาเกิดในครอบครัวชาวบ้านที่เจียงหนาน ทว่าทั้งรูปลักษณ์และสง่าราศีล้วนแสดงให้เห็นว่านางได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่ไม่ธรรมดา สามารถออกเรือนแต่งไปเป็นนายหญิงของสกุลดีได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่กลับต้องแต่งกับบิดาที่ดูดีแต่เปลือก

 

 

“เยี่ยเอ๋อร์ กลับมาตั้งแต่เมื่อใด!” เฟิงซื่อหันหน้ามาเห็นชิวเยี่ยไป๋ยืนอยู่ข้างประตู ดวงตาฉายแววยินดี รีบลุกขึ้นปาดน้ำตา แล้วสั่งข้างนอกว่า “เร็วเข้า รีบไปเอาน้ำแกงไก่ตุ๋นในครัวมา”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เข้าไปทำความเคารพ คลี่ยิ้มอ่อนโยน “อี๋เหนียง”

 

 

 

 

กว่าชิวเยี่ยไป๋จะออกจากเรือนของเฟิงซื่อก็เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว นางมองท้องฟ้าแล้วมุ่งตรงไปยังหอซิ่งอวี่ซึ่งเป็นเรือนที่พักของชิวซั่นหนิง

 

 

หอซิ่งอวี่ปลูกสร้างอยู่ใกล้กับหอเทียนเกอของชิวซั่นหยวน ขนาดกะทัดรัดงดงาม เห็นได้ชัดว่าชิวจิ่งเทียนประมุขสกุลชิวรักใคร่ธิดาคนนี้ที่แม้จะเป็นบุตรสาวของอนุแต่ก็รูปโฉมงดงามที่สุดในครอบครัว

 

 

แต่ก่อนยามที่ชิวเยี่ยไป๋มาหาชิวซั่นหนิง บ่าวรับใช้ที่หน้าประตูมักพิรี้พิไรขวางนางไว้ครู่หนึ่ง ปล่อยให้นางรอ ราวกับต้องการแสดงให้รู้ว่าคุณหนูหกชิวซั่นหนิงผู้นี้สูงส่งและไม่อยากเห็นหน้า ‘พี่ชาย’ ร่วมอุทรผู้นี้เพียงใด

 

 

ทว่าครั้งนี้ เมื่อชิงซวงสาวใช้ใหญ่ที่เฝ้าประตูเห็นนางก็รีบกุลีกุจอมาต้อนรับ

 

 

“นายน้อยสี่ คุณหนูหกรอท่านอยู่นานแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้ว น้องหกของนางถึงกับรอนางอยู่

 

 

แต่นางมิได้พูดอะไร เพียงพยักหน้าแล้วเข้าไปในเรือน

 

 

ชิวซั่นหนิงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ครั้นเห็นชิวเยี่ยไป๋เข้ามาก็ตวัดสายตา เอ่ยอย่างยโสว่า “นั่งสิ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นนางวางท่าราวกับพระชายาเรียกคนมาพบ ก็รู้สึกเคืองจนกลายเป็นขำ กล่าวว่า “น้องหญิงนับวันก็ยิ่งวางมาดขึ้นทุกทีแล้ว”

 

 

ชิวซั่นหนิงเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ “ข้าเคยบอกแล้ว หากวันหน้าข้าได้ดิบได้ดีเมื่อใด จะไม่ยอมให้ใครมาบงการชีวิตเด็ดขาด”

 

 

เห็นดวงตานางส่อแววโอหัง ชิวเยี่ยไป๋จึงนั่งลง เอ่ยเสียงเนิบว่า “ที่เจ้าว่าได้ดิบได้ดีคือเรื่องที่รู้ไปทั้งเมืองหลวงว่าเจ้าปีนขึ้นเตียงองค์ชายสาม จากนั้นองค์ชายสามก็จะทนคำครหามิได้จนต้องรับเจ้าไว้น่ะรึ”

 

 

แม้ชิวซั่นหนิงจะรู้ว่าข้างนอกเอานางไปพูดถึงอย่างไม่น่าฟัง ทว่านับตั้งแต่เกิดเรื่อง นอกจากฮูหยินใหญ่แล้ว ก็เพิ่งจะมีคนพูดเช่นนี้กับนาง ในใจรู้สึกอัปยศ แม้กระนั้นก็ยังยิ้มอย่างเคียดแค้น “เจ้ามองน้องสาวของตนเองเช่นนี้หรือ ใช่สินะ แต่ไหนแต่ไรเจ้าก็เหมือนกับพวกข้างนอกนั่น เห็นข้าได้ดีเป็นไม่ได้ แต่พอข้าไม่ยอมแต่งกับไอ้คนปัญญาอ่อนนั่น ก็ขัดขวางอนาคตข้า หนำซ้ำตอนอยู่ที่ชิวซานยังลงมือกับข้า คงนึกไม่ถึงกระมังว่าข้ายังคงหาหนทางให้ตนเองได้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองใบหน้าที่ทั้งเคียดแค้นและได้ใจระคนกัน นางไม่อาจทนข้องเกี่ยวกับหญิงโง่สติปัญญาต่ำได้ จึงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้าแน่ใจว่านี่คือทางออกมิใช่ทางตาย?”

 

 

ชิวซั่นหนิงงงงัน “เจ้าพูดส่งเดชอะไร!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รินน้ำชาให้ตนเองถ้วยหนึ่ง เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “จารีตธรรมเนียมในราชวงศ์นี้เปิดกว้างกว่าราชวงศ์ก่อนก็จริง แต่พวกสตรีที่ทำอะไรเกินตัวตามอำเภอใจได้มีสถานะใดกันบ้าง หากมิใช่เป็นราชนิกุล ก็ล้วนเป็นผู้ทรงอำนาจมีอิทธิพล เหมือนอย่างฮูหยินใหญ่ในจวนเรา เหมือนฉินกั๋วฮูหยินที่กล้าเลี้ยงชายบำเรอ เหมือนองค์หญิงหมิ่นอี๋ที่กล้าตีราชบุตรเขยจนตาย แล้วองค์ชายสามเป็นใคร เขาคือพระโอรสในจักรพรรดินี เป็นผู้ที่อาจได้สืบทอดบัลลังก์ในภายหน้า เจ้าเคยเห็นว่ามีราชวงศ์ใดที่ผ่านมาที่พระชายาขององค์ชายมีประวัติไม่ขาวสะอาดบ้าง”

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ชิวเยี่ยไป๋พูดกับนางมากมายถึงเพียงนี้ แต่กลับทำให้ชิวซั่นหนิงหนาวเยือกในใจ นางมิใช่คนโง่ เพียงแต่นางจำต้องทำให้ตัวเองเชื่อว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง เพราะว่า…

 

 

“องค์ชายสามทรงรับปากข้าแล้ว อีกอย่างบุตรสาวอนุเช่นข้าไม่เคยคิดจะเป็นพระชายาขององค์ชาย!” ชิวซั่นหนิงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา ตัวสั่นเทิ้ม ขยุ้มผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น

 

 

“เป็นนางบำเรอ แล้วภายหลังขึ้นเป็นพระสนมหรือ” ชิวเยี่ยไป๋เอ่ยอย่างมินำพา “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นนางบำเรอชั้นสูงหรือชั้นต่ำ ชั้นดีหรือชั้นเลว จักรพรรดินีเป็นคนสกุลใด คนที่ตายด้วยน้ำมือของหญิงสกุลตู้มีมากเท่าใด เจ้าเห็นฮูหยินใหญ่แล้วยังไม่เข้าใจหรือ เจ้าว่าจักรพรรดินีจะทรงยอมให้หญิงไม่รักดีคนหนึ่งมาทำให้หนทางขึ้นเป็นใหญ่ขององค์ชายสามด่างพร้อย หรือว่าจะให้ฮูหยินใหญ่ช่วยพระนางลบรอยด่างพร้อยนี้เล่า”

 

 

วาจาเยียบเย็นโหดร้ายเช่นนี้ ราวกับมีดปักหัวใจของชิวซั่นหนิง นางสั่นไปทั้งร่าง คว้าป้านชาขว้างใส่ศีรษะชิวเยี่ยไป๋ พลางกรีดร้อง “หุบปาก เจ้าหุบปาก ได้ยินว่าวันนี้เจ้าผลักชิวซั่นจิงตกน้ำ ยังหลงคิดว่าในที่สุดเจ้าก็ทำตัวสมเป็นพี่ชายของข้า แต่พวกเจ้าทุกคนล้วนหลอกข้า ไม่อยากเห็นข้าได้ดี!”

 

 

นางอยากจะทำลายใบหน้าเยาะหยันของคนตรงหน้านัก!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋จะยอมปล่อยให้นางทำเช่นนั้นได้อย่างไร เห็นสารรูปของนางแล้วก็แค่นหัวเราะเย็น พลิกฝ่ามือตบป้านชากลับคืนไปอย่างไม่เกรงใจ ป้านชากระแทกใส่ศีรษะชิวซั่นหนิงดังเพล้ง น้ำชาทั้งป้านรดใส่ศีรษะและใบหน้า

 

 

“โอ๊ย…!” ชิวซั่นหนิงกุมศีรษะ เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลลงมา

 

 

“เจ้าควรตื่นเสียที นี่แค่เลือดหัวโง่ๆ หยดแรกของเจ้า!” ชิวเยี่ยไป๋เอ่ยเสียงเรียบ ราวกับไม่เห็นเลือดบนศีรษะของชิวซั่นหนิง

 

 

“เจ้า…!” ชิวซั่นหนิงตกใจจนอึ้งไป นางอยากกรีดร้อง อยากโถมเข้าไปตบตี ชีวิตนี้ไม่เคยมีผู้ใดกล้าแตะต้องนางแม้แต่เส้นขน ยิ่งทำลายโฉมนางด้วยแล้ว แต่ชั่วขณะนี้ภายใต้สายตาเย็นชาของชิวเยี่ยไป๋ นางจำต้องฝืนกลืนเสียงกรีดร้องนั้นลงไปอย่างยากลำบาก มิใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะแววตาที่ชิวเยี่ยไป๋จ้องมองมา

 

 

นั่นเป็นแววตาที่ใช้มองคนตาย

 

 

เย็นเยือกและโหดเ**้ยม

 

 

“ให้คนที่ประตู ปิดประตู ปิดปาก” ชิวเยี่ยไป๋มองนางแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

ชิวซั่นหนิงยังไม่ทันมีปฏิกิริยา ก็ได้ยินเสียงสั่นเทาว่า “ห้ามเข้า ปิด…ปิดประตู”

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็กลัวขึ้นมา ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างประหลาดต่อคนตรงหน้าผู้นี้ทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะจัดการกับบาดแผลที่ศีรษะ ปล่อยให้โลหิตไหลรินลงมาช้าๆ

 

 

“นั่ง” น้ำเสียงชิวเยี่ยไป๋ราวกับออกคำสั่ง ทำให้ชิวซั่นหนิงต้องนั่งลงอย่างว่าง่าย

 

 

“เจ็บหรือไม่ วันหน้าเจ้ายังต้องเจ็บกว่านี้อีก” ชิวเยี่ยไป๋ค่อยๆ จิบชาต่อ ไม่แปลกใจกับอาการว่าง่ายของนาง ถึงอย่างไรคนเราย่อมมีสัญชาตญาณรับรู้อันตราย และยามนี้ชิวซั่นหนิงกำลังสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของตน

 

 

จิตสังหารรุนแรงอันเกิดจากการฆ่าคนจริงๆ และเคยอาบเลือดมาก่อนจริงๆ ย่อมมิใช่สิ่งที่ดรุณีในหอห้องทั่วไปที่มัวแต่เล่นเล่ห์หักเหลี่ยมจะทนรับได้