ตอนที่ 142-3 ขนมนมไส้สาเก กับ ห้องแห่งความรักใคร่อันแสนอบอุ่น

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

กลางดึกวันนั้น สรรพสิ่งต่างเงียบสงัด หรุ่ยจือที่หิวข้าวจนขาบวมนั้นฉวยโอกาสยามที่คนในหมู่บ้านนอนหลับสนิท คิดอยากจะไปแปลงผักผลไม้ของเพื่อนบ้านเพื่อเด็ดผักผลไม้มาประทังความหิว เดินออกจากบ้านมาไม่นาน ท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้ายามค่ำคืน ในสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ที่ไม่ไกลนักมีแสงไฟสว่างลุกโชน ตามมาด้วยเสียงล้อรถและกีบม้า ผสมปนเปไปกับเสียงร่ำไห้โอดครวญแผ่วเบาของคนป่วย

 

 

นางรู้สึกแปลกใจ คนของทางการจับคนป่วยติดเชื้อไปทิ้งทุ่งชานเมืองนั้นปกติแล้วจะทำกันในตอนกลางวัน วันนี้ทำไมถึงได้ทำเรื่องนี้ในเวลาดึกดื่นเที่ยงคืน เพราะความสงสัยในเวลานั้น ได้เปลี่ยนแปลงอนาคตของนางไปสิ้นเชิง

 

 

นางเดินเข้าไป ซ่อนตัวอยู่หลังป่าแล้วแอบดู ท่ามกลางแสงไฟที่ส่องทาง ด้านหน้าเป็นรถเข็นลากสี่ล้อสิบกว่าคันถูกชายนอกเครื่องแบบดันไปข้างหน้า ชายเหล่านั้นดูกำยำล่ำสัน เหมือนว่าเป็นคนคุ้มกันของคนใหญ่คนโต บนรถเข็นนั้นมีคนที่ทรมานจากอาการป่วยร้องครวญครางไม่หยุดมากมายนอนอยู่ บนตัวมีน้ำหนองไหล อีกยังเปื้อนดินโคลน บนใบหน้าแต่ละคนต่างก็เลอะเทอะมอมแมม เหมือนกับมุดออกมาจากใต้ดินอย่างนั้น

 

 

มีสองคนที่รู้สึกคุ้นตา นางรู้ว่าคนพวกนี้เป็นคนป่วยที่ทางการจับส่งไปชานเมืองเมื่อสองวันก่อน ป่วยหนักยิ่งนัก ตอนนั้นนางยังมุงดูอยู่ คนของทางการขุดหลุมใหญ่ ช่วงเวลาพลบค่ำของวันนี้ขุดเสร็จหมดแล้ว ทยอยไล่คนป่วยเหล่านี้เข้าหลุมฝังคนเป็นแล้ว คนเหล่านี้ในเวลานี้น่าจะขาดอากาศตายแล้ว แต่ทำไม…ถึงได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่

 

 

หรือว่า…ชายนอกเครื่องแบบลึกลับพวกนี้ ช่วยพวกเขาออกจากหลุมฝังคนเป็นกัน

 

 

ตอนกลางวันยังได้ยินเสียงโอดครวญทรมานและเสียงร่ำไห้ของคนป่วยเหล่านี้ ตอนนี้ทหารฟ้าแม่ทัพสวรรค์จากที่ใดมาช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้กัน

 

 

ในขณะที่ตกตะลึงขั้นสุดอยู่นั้น หรุ่ยจือเห็นด้านหลังของรถเข็นมีเงาคนขี่ม้าวิ่งเข้ามา ด้านข้างนั้นน่าจะเป็นผู้ติดตาม คอยปกป้องคุ้มกันหนุ่มน้อยตรงกลางนั้นอยู่

 

 

หนุ่มน้อยผู้นั้นดูแล้วอายุมากสุดก็ราวสิบสามสิบสี่ ในยามค่ำคืนนั้นสวมชุดสีเทาเงิน ท่ามกลางแสงไฟที่กระพริบนั้น ใบหน้าดั่งดวงจันทราอันเย็นเยือกที่แขวนประดับไว้บนท้องฟ้าชานเมืองรอบนอก หน้าตาดั่งหยกสลักเจียระนัย แม้อายุไม่มาก ความสูงกลับสูงกว่าคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เพียงแต่สีหน้าซีดเซียวไปบ้าง สันคมของกรามสวยงามแต่ก็ผอมโซ แม้เป็นเช่นนี้ ยังคงตัวยาวสูงสง่า ยืดตรงดั่งต้นไผ่ มองนานๆ ก็ทำให้รู้สึกสงสารเห็นใจ

 

 

หนุ่มน้อยผู้นั้นยกแขนอันเรียวยาวขึ้น ชี้ไปทางรถเข็นลากที่บรรทุกคนป่วยอยู่ทางข้างหน้า คิ้วขมวดแน่น พูดคุยกับคนด้านข้าง มีเสียงลอยมาอยู่รำไร “…สวนแอปริคอตเตรียมเสร็จแล้วหรือยัง…”

 

 

มีคนตอบอย่างเคารพนอบน้อมว่า “ขอรับ องค์ชายสาม”

 

 

องค์ชายสามคือผู้ใดนางไม่รู้ นางจำได้เพียงความตกใจอย่างมาก ในหัวว่างเปล่า ในความสับสนวุ่นวาย ก็เดินเข้าใกล้ขึ้นอย่างใจกล้า เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันสง่างดงามของหนุ่มน้อยผู้นั้น ลืมความหิวโหยไปชั่วขณะ

 

 

หนุ่มน้อยผู้นี้ ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์งดงาม อีกยังดั่งเทพมาจุติ ช่วยชีวิตผู้คนมากมายเพียงนี้!

 

 

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ฟ่อ! หรุ่ยจือที่เติบโตมาในครอบครัวเกษตรกรนั้นได้สติขึ้นมา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็นเสียงของงูแลบลิ้น ชานเมืองเดิมทีก็มีสัตว์แมลงมากมายอยู่แล้ว ยิ่งเป็นทางเล็กๆ กลางดึกที่มีหญ้ารกร้างอีก กลุ่มคนและม้าออกมาเช่นนี้ ทำให้งูและแมลงตกใจออกมาจากรูก็ไม่แปลกอะไร

 

 

นางมองไปตามทางของเสียง เห็นเพียงงูเขียวตาเหลืองตัวเขียวตัวหนึ่งขดตัวอยู่ใต้ม้าของหนุ่มน้อยผู้นั้น หากฉกลงไป ม้าตัวนั้นจะต้องตกใจยกกีบเท้าขึ้นเป็นแน่ แล้วหนุ่มน้อยผู้นั้นเกรงว่าจะต้องตกม้าได้รับบาดเจ็บ!

 

 

หรุ่ยจือไม่คิดอะไรทั้งนั้น พุ่งเข้าไปยื่นแขนจับคองูตัวนั้นด้วยมือเปล่า คนกลุ่มนั้นเห็นเด็กผู้หญิงเนื้อตัวมอมแมมคนหนึ่งกระโจนเข้ามา ต่างก็ตกใจยิ่งนัก รีบดึงบังเ**ยนหยุดม้าเอาไว้

 

 

มีคนตะโกนว่า “เจ้าเป็นผู้ใด!” แล้วก็มีคนดุว่ากล่าวเสียงต่ำ “ใครก็ได้ จับคนผู้นี้เอาไว้!” บนใบหน้าคล้ายว่าจะลงมือสังหารนางเสียแล้ว!

 

 

หนุ่มน้อยผู้นั้นมองลงไปจากบนอานม้า สายตาอันเยือกเย็นมองมา มือพันด้วยบังเ**ยนแดงเดินวนกับที่สองรอบ

 

 

หรุ่ยจือเข้าใจแล้วว่า พวกเขาขุดคนป่วยเหล่านั้นออกมาจากในดิน ก็เพื่อหลบเลี่ยงหูตาผู้คน ไม่คิดว่าจะมีคนมาพบเข้า!

 

 

แต่นางกลับไม่คิดเสียใจ!

 

 

ถูกดวงตาคู่นั้นของเขามองจนใจเต้น หรุ่ยจือใจลอยไปสักครู่ เดิมทีก็หิวจนไร้เรี่ยวแรงอยู่แล้ว งูเขียวตัวนั้นบ้าคลั่ง ฉวยโอกาสตอนนางไม่มีสติยื่นคอยาวมากัดง่ามมือของนาง!

 

 

หลังจากความเจ็บปวดแสนสาหัส หรุ่ยจือก็หงายหลังล้มไป ก่อนจะสลบไป รู้สึกเพียงมีคนพยุงตนขึ้นมา ระหว่างที่นางสติเลือนลาง ได้ยินเสียงของหนุ่มน้อยผู้นั้นลอยมาว่า “พานางกลับจวนอ๋อง”

 

 

หลังจากที่หรุ่ยจือฟื้นได้สติ ก็อยู่ในจวนฉินอ๋องแล้ว นางจึงได้รู้ว่า หนุ่มน้อยผู้นั้นคือองค์ชายสามที่เพิ่งได้รับการประดับยศอ๋องและเพิ่งจะสร้างจวนอ๋องนี้ขึ้น

 

 

ตอนนั้นเดิมทีจะสังหารเพื่อปิดปาก กลับได้รับการห้ามปรามจากฉินอ๋อง “หญิงสาวผู้นี้เข้มแข็งไม่กลัวตาย เก็บไว้ใช้การได้”

 

 

จากนั้นมา นางก็ได้อยู่ข้างกายฉินอ๋อง เป็นสาวใช้ชั้นหนึ่งของจวนอ๋อง

 

 

ความประทับใจแต่แรกเห็นใต้แสงจันทร์ในปีนั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ชายหนุ่มผู้นี้ยังให้ความอบอุ่นอิ่มท้องกับนางอีก ยิ่งทำให้นางไม่อาจจากไปไหนได้

 

 

จุดเริ่มต้นเช่นนี้ ทำให้นางเหมือนถูกกำหนดไว้ ให้นางมีฐานะไม่เหมือนกับสาวใช้ทั่วไป และในสายตานางนั้น ตนกับฉินอ๋องก็พึ่งพาซึ่งกันและกันเช่นกัน

 

 

หากเขาคือต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านฟ้าที่ค่อยๆ มีรากฐานที่มั่นคง แตกกิ่งก้านใบ นางก็คือดอกจื่อเถิงหลัว

 

 

ตลอดมานั้น นางแค่อยากจะรับใช้องค์ชายสามในฐานะสาวใช้ก็พอ แต่ตอนนี้ นางกลับรู้ตัวว่า ที่แท้ตนอยากจะเป็นหญิงที่อยู่ข้างกายชายผู้นี้ มีเพียงเช่นนี้ จึงจะดูแลรับใช้เขาอย่างถูกทำนองคลองธรรมไปตลอดชีวิตได้

 

 

เป็นไปได้ว่า ความคิดนี้ได้ฝังลงไปตั้งแต่นางพบชายผู้นี้เป็นครั้งแรกแล้วก็เป็นได้

 

 

นางไม่อาจเอื้อมหวังจะเป็นภรรยาหลวง แต่ถึงจะเป็นภรรยารองภรรยาน้อย ก็เกรงว่า…หญิงสกุลอวิ๋นนี้ เหมือนคนที่จะใช้สามีร่วมผู้อื่นอย่างนั้นหรือ ตนคือเกษตรกรที่ขยันขันแข็ง องค์ชายสามคือดินที่อุดมสมบูรณ์ที่นางเฝ้าบ่มเพาะมานานหลายปี ผืนดินผืนนี้ดีออกดอกผลิใบง่ายดายใกล้จะออกผลแล้ว แต่ดันมีคนแปลกหน้าเข้ามารับช่วงต่องานขุดหน้าดิน แล้วยังมีคนบอกนางอีกว่า ผืนดินผืนนี้ไม่ใช่ของนาง จะให้นางไม่ต่อต้านคนแปลกหน้านั้นได้อย่างไร!

 

 

ดินอุดมสมบูรณ์นี้ เป็นของนางแท้ๆ จะต้องยกผลที่ได้นั้นให้คนอื่นอย่างนั้นหรือ

 

 

เจ็บใจ นางเจ็บใจเสียจริง

 

 

คิดไปคิดมา หรุ่ยจือก็ยกมือขึ้นมาวางไว้บนปากแล้วเพ่งสติไว้ เนื่องจากนางจิตคิดจดจ่อเกินไป ไม่ทันระวังมือไปชนโดนพนักเก้าอี้ ดึงดูดสายตาพ่อบ้านเกาและนายให้มองมา

 

 

มีเสียงดังขึ้น ทำให้ร่างกายที่พัวพันคลอเคลียกันของทั้งสองคน แยกจากกันแล้วนั่งลง

 

 

เมื่อนั่งลงแล้ว พ่อบ้านเกาจึงได้เอ่ยขึ้น “วันรุ่งขึ้นองค์ชายสามก็จะนำทัพเสด็จไปเขตฉางชวนแล้ว ก่อนเสด็จ ตามธรรมเนียมแล้ว จะต้องรับสั่งเรื่องแผนการเดินทางและเรื่องในบ้านกับพระชายาก่อนขอรับ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า พ่อบ้านเกายิ้มแล้วกล่าวอีกว่า “โชคดีที่จวนอ๋องของเราไม่เหมือนเรือนขององค์ชายพระองค์อื่นมีคนและสิ่งของมากมาย ปฏิบัติตามระเบียบกระบวนการเหมือนก่อน ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องคิดมากขอรับ ระหว่างที่องค์ชายสามไม่อยู่นี้ พระชายาจะเป็นผู้จัดการกิจการทั้งภายในภายนอก หากมีปัญหาอะไรข้าน้อยก็จะช่วยบอกให้ จะปฏิบัติกับพระชายาดั่งที่ปฏิบัติต่อองค์ชายสามขอรับ อีกอย่างองค์ชายสามเดินทางครั้งนี้ จะพาคนในจวนอ๋องไปด้วย คือซือเหยาอันและองครักษ์คู่ใจ จึงได้รายงานพระชายาไว้ก่อนขอรับ”