EP.355 ตามหาจินเสี่ยวถัง
หนึ่งเดือนผันผ่านในพริบตา
เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่หลินมู่อวี่กลับมายังเมืองหลันเยี่ยน กิจวัตรประจำวันไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากการอ่านม้วนหนังสือในวิหาร เนื่องจากหลังการก่อกบฏของจักรวรรดิอี้เหอทำให้มีม้วนหนังสือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวิหารสาขาอื่นและยังไม่ได้รับการแก้ไข หลินมู่อวี่จะต้องส่งสาส์นไป และงานทั้งหมดเหล่านี้ตกเป็นความรับผิดชอบของผู้นำวิหารอย่างหลินมู่อวี่
อีกทั้งยังต้องไปตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อพบฉินอินและถังเสี่ยวซี รวมทั้งไปหาฉู่เหยาซึ่งเป็นผู้นำสมาพันธ์โอสถเพื่อสอนเคล็ดลับและทักษะในการฝึกพลังยุทธ์
สำหรับการฝึกฝนวิทยายุทธ์ หลินมู่อวี่เรียนรู้ทักษะหอกพันธะมังกรสิบสองรูปแบบจนชำนาญภายในหนึ่งเดือน และออกไปพบปะพูดคุยกับผู้ดูแลหลายคนในวิหาร บางโอกาสเขาต้องปรากฏตัวในฐานะครูฝึกระดับดาวสีทอง ซึ่งทำให้ครูฝึกหลายคนรู้สึกปีติ พวกเขาต่างรู้ดีว่าหลินมู่อวี่แข็งแกร่งมากเพียงใด การได้เป็นคู่ต่อสู้ด้วยนั้นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินมู่อวี่เป็นทุกข์คือ…ดาบขึ้นสนิมที่ราชาปีศาจเจ็ดประทีปทิ้งไว้ มันถูกหลอมเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ทว่าไม่สำเร็จ ราวกับดาบเล่มนี้ถูกหุ้มด้วยฉนวนกันไฟอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ลู่ลู่ที่ชาญฉลาดก็ไม่สามารถวิเคราะห์โครงสร้างของดาบได้ เหมือนว่าสิ่งนี้จะอยู่นอกเหนือขอบเขตความเข้าใจของนาง
ไม่มีทางเลือกอื่น…นอกจากต้องรอกระทั่งได้รับไฟหลอมที่ทรงพลังยิ่งกว่า!
ส่วนด้านถังหลานและซูมู่หยุนนั้นมีอำนาจควบคุมทางการทหารและการเมืองเกือบทั้งหมด ขณะที่ตำแหน่งทางทหารในจักรวรรดิถูกแบ่งอำนาจระหว่างซูมู่หยุนและถังหลาน สำหรับกองทหารมังกรผงาดยังมิถูกทำลาย…โดยปัจจุบันมีกองกำลังหนึ่งพันนาย เช่นเดียวกับกองทัพองครักษ์ เฟิงจี้สิงเปิดการคัดเลือกทหารเพิ่มเติมและต้องผ่านอุปสรรคมากมายซึ่งค่อนข้างน่ารำคาญ
โชคดีที่ในเดือนนี้สมาชิกวิหารศักดิ์สิทธิ์ยังคงหลั่งไหลเขามาจากมณฑลอวิ้นจง มณฑลชีไห่ มณฑลเทียนชู่ มณฑลดารา มณฑลชางหนาน และอีกหลายมณฑล รวมทั้งมีสมาชิกวิหารมากมายเดินทางจากมณฑลหลิงหนาน แม้ว่าจักรวรรดิอี้เหอจะปกครองมณฑลหลิงหนาน กระนั้นวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ภักดีต่อจักรวรรดิเสมอมา วิหารบางแห่งในมณฑลหลิงนานถูกทำลายไปแล้ว ทว่าพวกเขายังคงติดต่อกับวิหารศักดิ์สิทธิ์สาขาหลัก จึงทยอยเดินทางกลับมา
หลินมู่อวี่มิได้กังวลว่าพวกเขาจะเป็นหน่วยสอดแนมของจักรวรรดิอี้เหอ แม้คนกลุ่มนี้จะเป็นชาวหลิงหนาน ทว่าทุกคนต่างเป็นสมาชิกวิหารศักดิ์สิทธิ์ และจะกลายเป็นคนของหลินมู่อวี่ในภายหลัง ซึ่งนี่คือความเชื่อมั่นที่ผู้นำพึงมี…
…
ภายในหนึ่งเดือน มีช่างฝีมือเกือบหนึ่งหมื่นคนเข้ามาสร้างบ้านเรือน เปลี่ยนที่พักอาศัยด้านหลังวิหารให้กลายเป็นค่ายทหาร สนามฝึก และโถงแสดง ซึ่งสามารถรับรองผู้อาศัยได้มากกว่าหมื่นคน
แสงอรุณสาดส่องลงมายังห้องทำงานของผู้นำวิหาร
หลินมู่อวี่เอนกายลงบนเก้าอี้และฟุบหลับไป ขณะที่มีม้วนหนังสือกองพะเนินราวภูเขา ไม่แปลกใจที่คนแข็งแรงเช่นหลินมู่อวี่จะเหนื่อยจนสลบไสล
‘ก๊อก ก๊อก…’
เกอหยางเคาะประตูและเดินเข้าไปพร้อมม้วนหนังสือในมือ “ผู้ดูแลหลิน”
“โอ้ ใต้เท้าเกอหยาง!”
หลินมู่อวี่รีบยืนขึ้นด้วยความเคารพ “มีสิ่งใดหรือขอรับ?”
“รายชื่อ”
เกอหยางกล่าว “รายชื่อสมาชิกวิหารศักดิ์สิทธิ์จากทั่วทั้งจักรวรรดิซึ่งมีทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นสามพันสองร้อยสี่สิบสี่คน และดูเหมือนบางคนจะมาจากที่ห่างไกล ฮ่า…เจ้าก็รู้ดีว่าพวกเขาต้องใช้เวลาเดินทางกว่าหนึ่งเดือนจากมณฑลเทียนชู่และมณฑลหลิงตง และหากไม่มีเงินพอที่จะซื้อม้า ก็อาจใช้เวลาถึงสามเดือนในการเดินทางมาเมืองหลันเยี่ยน”
“อืม ข้ารู้ ท่านปู่เกอหยางต้องทำงานอย่างหนัก” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เกอหยางแสดงท่าทีลำบากใจ “พวกเขาเหล่านี้ต้องการเงินสำหรับเสื้อผ้า ชุดเกราะ อาวุธ อาหาร และอีกมากมาย กระนั้นเหรียญทองในคลังของวิหารถูกใช้ไปเกือบครึ่งแล้ว การทำงานอย่างหนักมาทั้งชีวิตของผู้ดูแลอาวุโสเหล่ยหงต้องถูกเจ้าใช้จ่ายไปทั้งหมด…”
หลินมู่อวี่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ “ข้ามิได้ต้องการ ทว่าเงินจำนวนนั้นจำเป็นต้องใช้ เฮ้อ…พูดถึงเรื่องนี้ ท่านปู่เหล่ยหงเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังลึกลับ ทว่าเขากลับไม่มีความรู้เกี่ยวกับการค้าขาย อย่างที่ท่านเห็น…วิหารของเรานั้นค่อนข้างขัดสน…”
เกอหยางกล่าว “แล้วรายจ่ายจะจัดการอย่างไร?”
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ามีเงิน”
หลินมู่อวี่ดึงตั๋วทองหนึ่งล้านเหรียญส่งให้เกอหยาง “ชายเฒ่าที่อยู่กับอวี่จื้อหยานเคยมอบให้ ข้าคิดว่าเขาคงขูดเลือดขูดเนื้อจากประชาชนในมณฑลเทียนชู่ กระนั้นเราจำเป็นต้องใช้”
เกอหยางมองเงินจำนวนนั้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ในชีวิตชายเฒ่ามิเคยเห็นเงินจำนวนมากถึงเพียงนี้…ส่งคนไปแลกเปลี่ยนมันเถิด ฮ่าๆ วิกฤตการเงินของวิหารได้รับการแก้ไขแล้ว…”
“พาคนไปเพิ่มด้วยขอรับ ระวังอย่าโดนปล้น…”
“มิต้องกังวล จะมีผู้ใดบังอาจปล้นเงินของวิหารศักดิ์สิทธิ์?”
เกอหยางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนทำให้หลินมู่อวี่พูดไม่ออก ทว่าเงินในถุงสรรพสิ่งเริ่มลดน้อยลง หลินมู่อวี่เพิ่งใช้เงินหนึ่งล้านเหรียญทองในการสร้างค่ายทหาร ซื้ออาวุธและม้า
น่าเสียดาย หลังจากเหตุการณ์นองเลือดจากจักรวรรดิอี้เหอก็ไม่มีข่าวคราวของร้านค้าแห่งจักรวรรดิอีกเลย มันถูกแทนที่ด้วยร้านค้าอื่นมากมาย ซึ่งดูไม่น่าเชื่อถือที่จะทำการค้าด้วย กระนั้นหลินมู่อวี่ก็รู้ว่าพ่อลูกจินซ่านปังและจินเสี่ยวถังนั้นสาบสูญไปแล้ว
ขณะเดียวกันเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านแม่ทัพ หลัวอวี่ขอเข้าพบขอรับ”
“เข้ามา”
“ขอรับ!”
หลัวอวี่หนีบหมวกเหล็กของกองทหารมังกรผงาดไว้ใต้แขน เขาสวมเครื่องแบบทหารแห่งจักรวรรดิที่ดูน่าเกรงขามและเดินเข้ามา “ท่านแม่ทัพ ข้าเข้ามาแล้ว”
“มีสิ่งใดหรือ?” หลินมู่อวี่ยังคงอ่านม้วนหนังสือตรงหน้า “หลัวอวี่ เจ้าเป็นถึงรองผู้บัญชาการกองทัพมังกรผงาด ตำแหน่งทางการทหารมิได้น้อยเลย เจ้ามิจำเป็นต้องเคารพข้าถึงเพียงนี้ ข้าเป็นเพียงผู้นำวิหารเท่านั้น…”
หลัวอวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น? แม้ว่าหลัวอวี่จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุด ทว่าก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านเสมอ และครานี้ข้านำข่าวมาขอรับ”
“ข่าวเรื่องใดหรือ?”
“เราพบเบาะแสของจินเสี่ยวถังแล้ว”
“โอ้? จากที่ใด?” หลินมู่อวี่รีบลุกขึ้นยืน
หลัวอวี่กล่าว “ในชุมชนทางตอนใต้ของเมืองขอรับ กล่าวกันว่าหลังจากจักรวรรดิอี้เหอเข้าโจมตี ได้เกิดการนองเลือดในร้านค้าแห่งจักรวรรดิ ผู้คนจำนวนมากถูกเข่นฆ่า พร้อมถูกปล้นสะดมข้าวของในร้าน อีกทั้งพ่อของจินเสี่ยวถัง…เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้นด้วย ขณะนี้นางทำการค้าขนาดเล็ก ซื้อขายศาสตราวุธและติดต่อการค้ากับทหารรับจ้าง ทว่านางมักถูกข่มเหงบ่อยครั้ง”
“เป็นเช่นนี้เอง…”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “พาข้าไปหาเสี่ยวถัง”
“ขอรับ!”
…
อาจเป็นเพราะสถานะของหลินมู่อวี่แตกต่างจากเดิม ก่อนออกเดินทาง…ทหารรักษาการณ์แปดนายถูกสั่งให้ติดตามไปด้วย ขณะนี้วิหารมิได้ขาดกำลังคน มีทหารกว่าหนึ่งหมื่นนายกำลังฝึกฝนในค่ายด้านหลัง จากนั้นหลินมู่อวี่ในชุดทหารยศสูงแห่งจักรวรรดิขี่ม้าเคียงข้างหลัวอวี่เดินออกไป
เมืองหลันเยี่ยนมีขนาดใหญ่มาก หลังจากขี่ม้าเกือบหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชุมชนทางตอนใต้ ที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกควันซึ่งคลาคล่ำไปด้วยโจร คนเร่ร่อน ทหารรับจ้างพเนจร คนชั่ว และโสเภณี หลัวอวี่ชี้ไปยังโรงเตี๊ยมที่ห่างออกไป “โรงเตี๊ยมแห่งนั้นเป็นที่ที่จินเสี่ยวถังมักทำการแลกเปลี่ยนอาวุธกับทหารรับจ้าง นางมีหน้าที่ดูแลรักษาและผลิตอาวุธ แล้วพวกทหารรับจ้างจะจ่ายเบี้ยให้นาง”
“อืม”
หลินมู่อวี่ลงจากม้าและดึงสายบังเหียนส่งให้กับทหารรักษาการณ์ เขาวางมือบนด้ามกระบี่ขณะที่เดินเข้าไป ภายในโรงเตี๊ยมค่อนข้างวุ่นวาย ทุกคนต่างดื่มสุราอย่างสนุกสนานจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขา
ภายใต้แสงไฟสลัว มีทหารรับจ้างในชุดเกราะผุพังกำลังดื่มอย่างหนักอยู่ไม่ไกล สุราข้าวจอกใหญ่ไหลรินลงมาตามหนวดเคราและแผงอกสีแดงราวกับถูกเผาไหม้
ที่มุมหนึ่ง หลินมู่อวี่เห็นร่างจินเสี่ยวถังถือดาบยาวขึ้นสนิมในอ้อมแขน นางดูซูบผอมกว่าเดิมมาก จากนั้นเสี่ยวถังนำดาบไปวางตรงหน้าทหารรับจ้างหนวดครึ้มคนนั้น
“อะไรนะ? สองเหรียญทองสำหรับอาวุธพังๆ เช่นนี้รึ?”
ชายผู้นั้นลุกขึ้นกะทันหันและผลักจินเสี่ยวถังพร้อมรอยยิ้มหยิ่งยโส “แล้วหากข้าจ่ายด้วยร่างกายให้เจ้าสองคืนล่ะ? สาวน้อย…มาทำการค้าขายในถนนหลานชุ่ยที่ควบคุมโดยกองทัพองครักษ์เช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร? กล้าต่อรองกับข้าอย่างนั้นเหรอ?”
จินเสี่ยวถังหวาดกลัวจนน้ำตาปริ่ม นางยืนนิ่งพึมพำ “เหรียญทองสองเหรียญ ไม่น้อยไปกว่านี้ หากจ่ายให้น้อยกว่านี้ ข้าคงไม่มีเงินสำหรับค่าขนมปัง”
“สองเหรียญทองใช่หรือไม่? เอาไป!”
ทหารรับจ้างหยิบเหรียญทองแดงสองเหรียญออกมาโยนลงบนโต๊ะ “เอาไปซะ แล้วอย่ามาพูดว่าข้าเอาดาบไปโดยมิได้จ่าย”
จินเสี่ยวถังกำลังจะร้องไห้ “นี่คือสองเหรียญทองแดง ทุกคนก็เห็น…”
“เจ้ารนหาที่ตายรึ?!”
ทหารรับจ้างหนวดยาวระเบิดโทสะ ก่อนจะก้าวไปด้านหน้าและคว้าคอเสื้อเสี่ยวถัง
ทันใดนั้น! ลมแรงพัดวูบพร้อมฝ่ามือทรงพลังปิดกั้นแขนของทหารรับจ้าง และผลักออกไปราวกับคีมเหล็ก
‘ตึง!’
แผ่นหลังปะทะกับกำแพงอย่างรุนแรง ทำให้ทหารรับจ้างผู้นั้นตกตะลึงและเต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนจะตะโกนดัง “ใครมันบังอาจมาทำข้าในถนนหลานชุ่ยแห่งนี้!?”
ทว่าเมื่อจ้องมองคนตรงหน้าดีๆ ก็พบว่าคนผู้นั้นสวมชุดเกราะของนายพลระดับสูงพร้อมสวมตราใบไม้สีทองอันสูงส่งบนหน้าอก เมื่อเห็นดังนั้นทหารรับจ้างสร่างเมาทันที
หลัวอวี่กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าต้องการท้าทายผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์รึ?
ทหารรับจ้างหนวดยาวเผยธาตุแท้ออกมา เขาเป็นเพียงคนที่กลั่นแกล้งผู้อ่อนแอและเกรงกลัวผู้แข็งแกร่ง จากนั้นจึงหันหลังหนีอย่างรวดเร็ว
“หยุดก่อน วางดาบลงซะ” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเย็นชา
ชายผู้นั้นวางดาบลงและมองหลินมู่อวี่ด้วยท่าทางหวาดกลัว ก่อนจะวิ่งหนีออกจากโรงเตี๊ยม
…
จินเสี่ยวถังด้านข้างมองหลินมู่อวี่อย่างตกตะลึง ทันใดนั้นนางก็โผเข้ากอดหลินมู่อวี่พร้อมร้องไห้เสียงดัง “พี่อาอวี่ พ่อของข้าถูกจักรวรรดิอี้เหอสังหาร ลุงจาง ลุงลิ่ว และทุกคนต่างตายกันหมด…”
หลินมู่อวี่กอดร่างบางของจินเสี่ยวถัง “ข้ารู้ เสี่ยวถังอย่าร้องไห้เลย ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
“อีกทั้ง…ผู้เฒ่ากระบี่ตายแล้ว…”
น้ำตาไหลรินจากดวงตาจินเสี่ยวถัง “ดาบที่ผู้เฒ่ากระบี่ซ่อนไว้ถูกลั่วหลานฉวยไปพร้อมทรัพย์สินทั้งหมด…”
หลินมู่อวี่ตัวสั่นเทา แม้ผู้เฒ่ากระบี่จะมีนิสัยแปลกประหลาด ทว่าเขาเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาดาบให้ตน ดูเหมือนว่าลั่วหลานจะสร้างหนี้เลือดเพิ่มมากขึ้น!
“เสี่ยวถัง เหตุการณ์เป็นมาอย่างไรจึงตกอยู่ในสภาพนี้?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
จินเสี่ยวถังปาดน้ำตา “พานติงเถียน…เขาเห็นว่าร้านค้าแห่งจักรวรรดิสูญเสียอำนาจทันทีที่ท่านพ่อเสียชีวิต จึงเปิดร้านค้าล่ามังกรและขับไล่ข้าออกจากถนนทงเทียน ดังนั้นข้าจึงมาลงเอยอยู่ที่นี่”
“พานติงเถียน?”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “บุตรีของพานติงเถียน…พานจื่ออี เป็นสหายรักเจ้ามิใช่หรือ? เหตุใดนางจึงไม่ปกป้อง?”
“จื่ออีมิได้เต็มใจเช่นกัน”
“มิต้องกังวล ข้าจะจัดการทุกสิ่งในภายภาคหน้าเอง”
หลินมู่อวี่กล่าวด้วยท่าทางเย็นชา “ข้าต้องการสร้างร้านค้าเพื่อแข่งขันกับร้านค้าล่ามังกร เสี่ยวถัง…เจ้ายินดีจะเป็นผู้นำให้ร้านค้าของข้าหรือไม่?”
“หือ? จะดีหรือเจ้าคะ?” จินเสี่ยวถังกะพริบตา
“อื้ม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจะให้เงินทุนดำเนินการสามล้านเหรียญทองแก่เจ้า ซึ่งนี่คือทรัพย์สินทั้งหมดที่มี อีกทั้งข้าจะส่งรายการจัดหาอาวุธระดับสูง โอสถ และสิ่งของต่างๆ จำนวนมากให้ กระนั้นเจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าสินค้าเราจะมีคุณภาพกว่าร้านค้าล่ามังกร?”
จินเสี่ยวถังประสานหมัดและพยักหน้า “ตราบใดที่พี่อาอวี่สนับสนุน ข้าจะทำให้ได้เจ้าค่ะ!”
“อืม ไปกันเถิด แต่งตัวสวยๆ แล้วเริ่มลงมือทันที”
“เจ้าค่ะ!”
………………………………….