บนผิวทะเลเกิดคลื่น เป็นสีดำสนิท ด้านล่างคล้ายมีสัตว์ประหลาดอะไรบางอย่างแอบซ่อนตัวอยู่ ทำให้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างไม่มีเหตุผล ทำเอาบางคนถึงขนาดรู้สึกหายใจไม่ออก
เป็นเวลาครู่ใหญ่ที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะผู้คนไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามซีหวังซุนอย่างไร
เสียงของปู้ชิวเซียวดังขึ้นมา
“ในเรือนอี้เหมามักจะใช้แต่พู่กัน หมึก กระดาษ และที่ฝนหมึก นอกจากเวลาทำกับข้าวแล้ว ไม่เคยใช้มีดมาก่อน”
เขาบินมาตรงหน้าซีหวังซุน มองดูอีกฝ่ายพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าน่าจะรู้ดี ข้าไม่เคยซื้อมีดจากเจ้ามาก่อน ในเรือนก็น่าจะไม่เคยมีใครซื้อมีดจากเจ้าด้วย อย่างนั้นข้ามีสิทธิ์ที่จะถามเจ้าหรือเปล่า?”
ซีหวังซุนมองดูเขา ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ถึงแม้ข้าจะไม่มีหลักฐาน แต่ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเรือนอี้เหมามิได้สะอาดขนาดนั้น”
ปู้ชิวเซียวกล่าวอย่างเฉยชา “ไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นก็อย่าได้พูดถึง มิเช่นนั้นเมื่อสิบปีก่อนพวกเราคงมาอยู่ตรงนี้แล้ว ไยต้องรอจนถึงวันนี้”
ซีหวังซุนกล่าวเยาะเย้ย “พูดมีเหตุผล ปู้เหล่าหลินคงอยู่มาเนิ่นนานหลายปี เหตุใดพวกเจ้าสำนักฝ่ายธรรมะถึงไม่เคยสนใจมาก่อน เหตุใดต้องมาลงมือในเวลานี้? มันก็แค่ข้ออ้างที่จะจัดการสำนักกระบี่ซีไห่ของข้าเท่านั้นแหละ”
“โลกแห่งการบำเพ็ญพรตยังคงเป็นโลกมนุษย์ ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องเลวทรามต่ำช้าได้ เหตุผลที่ปู้เหล่าหลินคงอยู่มาเป็นเวลานานหลายปี ทุกคนต่างรู้ดี ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนหลังจากที่เจ้าปรากฏตัว วิถีของปู้เหล่าหลินก็ยิ่งเลวร้ายจนเกินจะรับได้ ไม่เพียงแต่จะจับมือกับพรรคมาร แต่ยังหวังจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องสงครามระหว่างราชสำนักและแคว้นเสวี่ย และที่ไม่น่าให้อภัยยิ่งกว่านั้นก็คือพวกเจ้ากล้าไปจับมือกับมารชั่วเผ่าหมิง แล้วพวกข้ายังจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร?”
ปู้ชิวเซียวตอบคำถามของซีหวังซุนจบก็มิได้กล่าวกระไรอีก เขามองไปทางถงหลูและศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ ก่อนกล่าวว่า “มอบคน ยอมแพ้”
ผู้อาวุโสขั้นคเนจรสองคนของสำนักกระบี่ซีไห่สบตากัน เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง
ถงหลูมองดูเหล่าผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “ไม่ได้! ที่นี่คือพื้นที่ของสำนักกระบี่ซีไห่! ต่อให้เรื่องราวเป็นอย่างที่พวกท่านว่าจริง พวกท่านก็ควรจะให้อาจารย์ข้าเป็นคนจัดการ ไม่ใช่มาบีบบังคับเหมือนอย่างวันนี้! พวกท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? คิดจะทำลายสำนักของข้าอย่างนั้นหรือ!”
ปู้ชิวเซียวมิได้สนใจเขา สายตามองไปทางส่วนลึกของทะเลที่อยู่ห่างออกไป
สถานการณ์ในวันนี้จะดำเนินไปในทิศทางใด เขาพอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว แต่จนถึงตอนนี้คนผู้นั้นก็ยังไม่ออกมา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมั่นใจได้
ทันใดนั้นพลันมีลำแสงกระบี่พุ่งมาจากทะเลด้านนั้น
ในที่สุดก็มาแล้ว
ปู้ชิวเซียวเลิกคิ้วเล็กน้อย
ลำแสงกระบี่สายนั้นพุ่งมารวดเร็วอย่างมาก เพียงแค่พริบตาก็มาจากส่วนหนึ่งของทะเลมาถึงที่นี่ น่าจะบินอยู่ในดินแดนแห่งความว่างเปล่า
ระหว่างดินแดนแห่งความว่างเปล่าและท้องฟ้าในโลกจริงๆ นั้นมีม่านพลังที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ แต่มันไม่สามารถตัดขาดการตอบสนองของฟ้าดินที่เกิดขึ้นจากลำแสงกระบี่สายนั้นได้
ลมพัดหวีดขึ้นมาอย่างรุนแรง บนทะเลที่มืดมิดเหมือนน้ำหมึกมีเกลียวคลื่นซัดสาดขึ้นมาจำนวนมาก
นำพาลมทะเลที่มีกลิ่นเค็ม ฝนธนูที่คล้ายธนูจริงๆ บนท้องฟ้ามีรอยแตกปรากฏขึ้นมามากมาย
ลำแสงกระบี่ร้อยกว่าสายที่อยู่ใกล้ลานเมฆมากที่สุดส่ายไปมา เหล่าศิษย์ชิงซานมิอาจยืนอยู่บนกระบี่ได้อย่างมั่นคง จึงพากันถอยหลบออกมา
เฉิงโหยวเทียนและต้าเจ๋อลิ่งอยู่ด้านหน้าสุด สีหน้าคร่ำเคร่ง เตรียมลงมือ แต่กลับถูกปู้ชิวเซียวห้ามเอาไว้
ปู้ชิวเซียวถอยไปด้านหลัง เหล่าศิษย์ชิงซานถอยออกไปสิบกว่าลี้แล้ว บนท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้ยังเต็มไปด้วยลำแสงกระบี่ เวลานี้พลันดูโล่งขึ้นมาถนัดตา
การล้อมลานเมฆถูกคลี่คลาย
กระบี่ยังไม่ทันได้ปล่อยออกมาก็มีอานุภาพถึงเพียงนี้ นอกจากเทพกระบี่ซีไห่แล้ว ยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?
เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดคนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเช่นนี้ ต่อให้มีคนมากกว่านี้มันก็ไม่มีประโยชน์
เจตจำนงที่ส่งออกมาจากลำแสงกระบี่สายนั้นทั้งชัดเจนและแข็งแกร่ง
พวกเจ้าล้วนแต่เป็นมดปลวก
……
……
ในที่สุดสีหน้าของถงหลูก็มิได้ขาวซีดอีก เหล่าศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่เหมือนลูกสัตว์ตัวน้อยที่หาบ้านเจอ บนใบหน้ามีความปีติยินดีเหมือนรอดตายจากภัยพิบัติร้ายแรง บริเวณหน้าผาบนลานเมฆก็มีเสียงอุทานยินดีดังขึ้นมา
ลำแสงกระบี่สายนั้นมาถึงท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่เหนือลานเมฆ แต่มิได้หยุดลง หากแต่แหวกฝ่าท้องฟ้ายามค่ำคืนไปข้างหน้า พุ่งเข้าไปหาผู้บำเพ็ญพรตของสำนักต่างๆ
ศิษย์ชิงซานสองร้อยกว่าคนตั้งข่ายพลังกระบี่ขึ้นมา ป้องกันอยู่ด้านหน้าสุด
ยอดฝีมือคนอื่นๆ อย่างปู้ชิวเซียวลอยอยู่ตามที่ต่างๆ บนท้องฟ้า
เหล่าศิษย์ของสำนักต่างๆ ล้วนแต่มีสีหน้าเคร่งเคร่ง เตรียมตัวตั้งรับการโจมตี
ในขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียดเป็นอย่างมากนั้น
ลำแสงกระบี่สายนั้นพลันหยุดลง จากนั้นแตกสลายหายไป
ราวกับมีม่านพลังปรากฏขึ้นตรงหน้าลำแสงกระบี่สายนั้น
ลำแสงกระบี่กระจัดกระจายราวลาวาอันร้อนระอุ หลั่งไหลออกมาไม่หยุด ส่องสว่างท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองไห่โจว
ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างเจิดจ้า คล้ายกลับมาอยู่ในช่วงเวลากลางวัน
ทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจน เบื้องหน้าลำแสงกระบี่สายนั้นมีเงาร่างของคนที่สูงใหญ่อย่างมากอยู่คนหนึ่ง
เงาร่างนั้นยื่นมือขวาออกมา ในมือคล้ายกุมกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง
ลำแสงกระบี่ที่มาจากทะเลตะวันตกสายนั้น เมื่อเจอกับมือของคนผู้นั้นกลับไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปข้างหน้าได้ ทำได้เพียงแค่สลายหายไปราวกับสายน้ำ
ใครกันที่อาศัยมือเพียงข้างเดียวกับกระบี่เล่มเดียวก็สามารถหยุดยั้งกระบี่ของเทพกระบี่ซีไห่ได้?
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปบนท้องฟ้า ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ตามหลักแล้ว การต่อสู้กันระหว่างยอดคนแห่งยุคนี้เกิดขึ้นเหนือดินแดนแห่งความว่างเปล่าที่อยู่ห่างไกล สายตาของผู้บำเพ็ญพรตส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้น่าจะมองไม่เห็น แต่ลำแสงกระบี่นี้เจิดจ้าเป็นอย่างมาก ส่องสว่างจนเห็นเงาร่างนั้นอย่างชัดเจน
หรือว่านั่นคือเจ้าสำนักชิงซาน?
ลำแสงกระบี่นั้นลอยกลับไปร้อยกว่าลี้ กลับไปหาคนคนหนึ่ง
นั่นคือเทพกระบี่ซีไห่
ยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์สองคนเผชิญหน้ากัน
เมื่อสิบกว่าปีก่อน นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียนบนยอดเขาเสินม่อ เทพกระบี่ซีไห่ไปเยือนโดยมิได้รับเชิญ จึงถูกเจ้าสำนักชิงซานใช้กระบี่แบกสวรรค์บีบจนต้องเผยตัว ถอยห่างออกไปสามพันลี้
เมื่อดูจากครั้งนี้ สภาวะของเจ้าสำนักชิงซานคล้ายจะเหนือกว่าเทพกระบี่ซีไห่ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะที่นั่นคือชิงซาน
วันนี้ต่างหากถึงจะเป็นการประมือกันจริงๆ เป็นครั้งแรกของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทางใต้สองคนนี้ แล้วก็เป็นการประมืออย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกของยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ของแผ่นดินเฉาเทียน
มองดูแล้วสภาวะของทั้งสองใกล้เคียงกัน มองไม่ออกว่าใครแข็งแกร่งกว่าใคร
“สำนักชิงซาน ก็แค่นี้แหละ”
เสียงที่ทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังมาจากทะเลที่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้
เสียงนั้นมิได้แฝงอารมณ์ใดๆ ไว้ ดูเย็นชาเป็นยิ่งนัก และความเย็นชาก็มาจากความเชื่อมั่นใจตัวเอง
เจ้าสำนักชิงซานมิได้กล่าวกระไร
ลำแสงกระบี่ร้อยกว่าสายแหวกอากาศพุ่งออกไปล้อมลานเมฆใหม่อีกครั้ง พร้อมจะโจมตีทุกเมื่อ
นี่คือการโต้ตอบจากชิงซาน
ต่อให้เจ้าเป็นเทพกระบี่ซีไห่ สามารถต่อสู้กับท่านเจ้าสำนักได้อย่างสูสี แต่ศิษย์ของสำนักกระบี่ซีไห่จะเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์ชิงซานได้อย่างไร?
ผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลสี่คน ศิษย์ขั้นคเนจรสิบกว่าคนและกั้วหนานซาน แล้วยังมีศิษย์ขั้นมิประจักษ์อีกสองร้อยกว่าคน นี่เป็นความยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดไหน?
ต่อให้สำนักอื่นไม่ลงมือ สำนักชิงซานก็สามารถบดขยี้ลานเมฆได้ นอกจากนี้ในยอดเขาทั้งเก้ายังมียอดฝีมืออีกจำนวนมากยังไม่ออกมาด้วย
ก็แค่นี้แหละ?
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ยอดคนทั้งสองเผชิญหน้ากันอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่สูงขึ้นมา
บนผิวทะเล ลำแสงกระบี่หลายร้อยสายเผชิญหน้ากัน
น้ำทะเลสีดำซัดสาด บรรยากาศตึงเครียดจนถึงที่สุด
ทันใดนั้น น้ำทะเลที่ดำมืดเหมือนน้ำหมึกพลันปั่นป่วนขึ้นมาอย่างรุนแรง เกิดเป็นเกลียวคลื่นจำนวนมาก จากนั้นแหวกเปิดออก เผยให้เห็นอะไรบางอย่างสีดำยกตัวสูงขึ้นมา ดูคล้ายภูเขาลูกหนึ่ง
น้ำทะเลไหลออกไป ภาพตรงหน้ายิ่งดูชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือผิวหนังสีดำที่เป็นมันวาว
ในน้ำทะเลมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ยักษ์แอบซ่อนตัวอยู่
ภูเขาที่แหวกน้ำทะเลขึ้นมานั้นเป็นแค่เพียงแผ่นหลังของมัน
………………………………