ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 13-1 บอกความลับ

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เมื่อเชิญท่านหมอในตัวเมืองซีเหลียงมา เติ้งจงฉีและเติ้งวานวานล้วนเป็นแขก เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นเจ้าบ้านย่อมต้องอยู่ด้วย ดีที่หลังจากท่านหมอมาและตรวจรักษาในทุกๆ เรื่องตามที่เติ้งจงฉีร้องขอแล้วก็แน่ใจว่าสิ่งที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดเป็นความจริง ทว่าแม้จะเป็นดังนี้ ความน่าเชื่อถือที่มาจากฝีมือแพทย์ในสายของหมอเทวดา …เอ่อ คราวนี้น่าจะเป็นความหวาดกลัวมากกว่า ก็ทำให้ในดวงตาของเติ้งจงฉีก็ยังคงมีความเคลือบแคลงอยู่

เว่ยฉางอิ๋งสั่งให้บ่าวออกไปส่งท่านหมอ และต้องแสดงความรับผิดชอบของเจ้าบ้านอย่างขาดมิได้ จึงเอ่ยปลอบเขาไปสองสามคำว่า “แม้วิชาแพทย์ของน้องซินเหมี่ยวจะสูงส่ง ทว่านางก็มิใช่คนที่ไม่รู้จักควรไม่ควร คุณชายเติ้งอย่าได้เป็นห่วงวานวานเกินไปเลยเจ้าค่ะ คุณชายโปรดคิดดูว่า แม้ว่าตลอดทางที่เดินทางมานี้น้องซินเหมี่ยวจะเมารถและนอนหลับมากกว่าครึ่งทาง แต่ก่อนหน้านั้นก็มิใช่ว่ายังตื่นอยู่หลายวันด้วยอาศัยฤทธิ์ยา เวลานั้นทุกคนล้วนไม่ได้ระวังตัวกับนางแต่อย่างใด หากนางจะลงมือ วานวานก็ควรจะถูกจัดการไปตั้งแต่คราวนั้นแล้ว แต่วานวานก็ปลอดภัยมาตลอดทาง จะมีก็เพียงเกิดอาการจับไข้ตอนใกล้มาถึงเท่านั้น …เห็นได้ว่าน้องซินเหมี่ยวมิได้คิดเป็นอริกับวานวานแต่อย่างใด”

แต่เติ้งจงฉีกลับไม่คิดว่าการที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่ได้ลงมือกับเติ้งวานวานตลอดทางที่มานี้จะเป็นเพราะนางไม่คิดเป็นอริกับเติ้งวานวาน เพราะหากมิใช่ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่ปรองดองกับเติ้งวานวานมาตลอดทาง แล้วพอเติ้งวาวานได้ยินนางพูดก็จะหลงเชื่อโดยไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย แล้วขืนพาตนเองซึ่งเป็นพี่ชายเพียงคนเดียวมาให้นางตรวจรักษา ทั้งยังช่วยนางกล่อมให้เติ้งจงฉีดื่มยาพิษถ้วยนั้นลงไปหรือ?

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เติ้งวานวานกำลังตื่นตกใจที่เห็นว่าเติ้งจงฉีกระอักเลือด ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ไม่ได้ปิดบังใดๆ และบอกว่าเติ้งวานวานเป็นคนช่วยนาง จนทำให้เติ้งวานวานทนรับเรื่องสะเทือนใจนี้ไม่ไหวจนเป็นลมไป …หากนางมีเจตนาดีต่อเติ้งวานวานก็จะไม่พูดความจริงออกไปอย่างสบายอกสบายใจ โดยไม่คำนึงถึงจิตใจของเติ้งวานวานเลยแม้แต่น้อยเช่นนั้น

ทว่า เติ้งจงฉีก็ไม่คิดจะโต้แย้งเว่ยฉางอิ๋ง เพียงแต่ยิ้มไปอย่างเรียบๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “พี่สะใภ้โปรดวางใจ จงฉีเข้าใจถึงความกังวลใจที่คุณหนูตวนมู่มีต่อ ไช่อ๋องแม่ลูก เรื่องครานี้ในเมื่อวานวานก็ปลอดภัยแล้ว จงฉีย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ” ความหมายที่เขาพูดก็คือเขาไม่ได้สนใจตัวเขาเอง แต่หากเกิดเรื่องใดกับเติ้งวานวาน เขาก็จะไม่ปล่อยตวนมู่ซินเหมี่ยวเอาไว้แน่

เว่ยฉางอิ๋งแอบชื่นชมอยู่ในใจว่าคนผู้นี้ช่างเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้ หากมิใช่ว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสนมเอกเติ้งเสียอย่างยิ่ง จนยามนี้ไม่อาจถอนตัวออกมาได้ ซึ่งเมื่อเขาได้รับบุญคุณล้นเหลือจากสนมเอกดังนี้แล้ว ด้วยอุปนิสัยของเติ้งจงฉีก็จะไม่มีวันถอนตัวออกไปทั้งเช่นนี้ด้วย …หาไม่แล้ว เขาก็เป็นตัวเลือกของน้องเขยที่ดีเหลือเกินจริงๆ ลูกผู้น้องทั้งฟากบิดามารดาที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถเป็นกุลสตรีของนางมีตั้งมากมายที่ยังคงรอคู่ครองที่เหมาะสมอยู่ น่าเสียดายนักที่ทำได้เพียงต้องปลงอนิจจังและปล่อยผ่านตัวเลือกที่ดีเพียงนี้ไปเสีย

“คุณชายเติ้งเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยชมไปคำหนึ่ง จากนั้นก็ขอขมาเรื่องที่พวกพี่น้องมาถูกตวนมู่ซินเหมี่ยวลอบเล่นงานในหมิงเพ่ยถัง ทั้งสองคนสนทนาไปตามมารยาทสักพัก เว่ยฉางอิ๋งก็บอกไปอีกว่า “ครานี้น้องซินเหมี่ยวทำการเลอะเลือนนัก พอลงมือก็ใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องมือ แต่เมื่อครู่นี้คุณชายเติ้ง กลับไม่ได้มีท่าทีหวั่นเกรงต่อคำขู่เข็ญของน้องซินเหมี่ยว ลำพังแค่จิตใจที่อดทนอดกลั้นเช่นนี้ วันหน้าต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่เจ้าค่ะ”

เติ้งจงฉีฟังคำพูดชมตามพิธีการเช่นนี้เสียจนชินแล้ว กลับมิได้สนใจอันใด แต่กลับฟังออกว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยดังนี้แล้วก็กำลังจะขอตัวกลับไป เขารู้ว่าที่นี่คือหมิงเพ่ยถัง เป็นคฤหาสน์ดั้งเดิมของตระกูลเสิ่น แม้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะไม่อยู่ด้วย ทว่าเพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องระแวงสงสัยจึงมีบ่าวที่อยู่ด้วยรอบตัว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกเล่าให้แก่คุณชายเสิ่นสามที่ยังนอนฟักฟื้นอยู่บนตั่งฟังอย่างละเอียด …ด้วยสติปัญญาหลักแหลมของเสิ่นจั้งเฟิง เกรงว่าแม้เพียงพิรุธเล็กๆ น้อยๆ ก็จะสามารถคาดเดาความจริงได้ และความรู้สึกที่เขาเก็บงำเป็นความลับก็จะถูกมองออก

ทว่าเขาก็รู้ว่าหากพลาดโอกาสเช่นในวันนี้ไปแล้ว หากเขาต้องการจะสนทนาตามลำพังกับเว่ยฉางอิ๋งอีก …ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่มีบ่าวอยู่เต็มห้องก็ตาม ก็ยังเป็นโอกาสที่ไม่อาจร้องขอได้อีกเลย

พลันเกิดความร้อนรุ่มในอกอย่างหนึ่ง เติ้งจงฉีมิได้ตอบกลับอย่างถ่อมตนไปตามที่เว่ยฉางอิ๋งคิดว่าจะได้ยิน หากแต่มีรอยยิ้มที่ซับซ้อนแล้วเอ่ยว่า “ให้พี่สะใภ้ต้องหัวเราะเยาะเอาแล้ว ความจริงเมื่อครู่นี้ในใจจงฉีหวาดกลัวนัก”

“คุณชายเติ้งพูดเล่นเก่งจริงๆ” คำพูดนี้ไม่เหมือนกับคำที่เว่ยฉางอิ๋งเตรียมตัวจะได้ยิน เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบกลืนคำพูดตามมารยาทที่อยู่ที่ริมฝีปากลงไปเสีย หัวเราะออกมาพลางว่า “เมื่อครู่นี้คุณชายมีท่าทีสงบเยือกเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ ข้ากลับมองไม่ออกว่าคุณชายมีความหวาดกลัวใด?”

เวลานี้เติ้งจงฉีคิดแต่อยากจะสนทนากับนางอีกสักคำสองคำ แต่ก็กลัวว่าบ่าวที่อยู่รอบตัวจะมองพิรุธออกและส่งผลร้ายต่อคนทั้งสอง จึงรีบคิดอย่างรวดเร็วคราวหนึ่ง และตัดสินใจใช้น้องสาวที่ยังนอนสลบไสลอยู่ตอนนี้มาเป็นข้ออ้าง “หากจงฉีมีเพียงตัวคนเดียวก็มิเป็นไร เพียงแต่วานวานยังเด็กนัก และยังไม่ได้ออกเรือน หากจงฉีเป็นอันใดไป ก็กลัวว่าวานวานขาดพ่อแม่มาแต่เล็ก หากแม้แต่พี่ชายก็ยังไม่มีแล้ว วันหน้าก็จะต้องถูกรังแกเอาหนักหนาขอรับ”

“คุณชายรักใคร่วานวานเพียงนี้ เป็นโชคดีของวานวานจริงๆ เจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติในคำพูดที่เติ้งจงฉีตอบกลับมา ทว่าเมื่อคิดถึงเสียงร่ำลือถึงความรักใคร่ที่เติ้งจงฉีมีต่อน้องสาว จึงทำให้ยังไม่ได้แต่งภรรยาจนบัดนี้ก็เพราะต้องการจะเลือกคู่อย่างระมัดระวัง หาไม่แล้วหากได้ภรรยาที่ไม่ดีงาม เมื่อแต่งเข้าบ้านมาแล้วก็จะปฏิบัติไม่ดีต่อน้องสาวของเขา …ในเมื่อเขาเป็นพี่ชายที่รักใคร่น้องสาวดังนี้เสมอมา เมื่อวันนี้เห็นว่าน้องสาวถูกหลอกจึงทั้งชิงชังทั้งเคืองโกรธทั้งรุ่มร้อนใจจนหมดสติไปในทันใด จากนั้นก็ถูกฝังเข็มจนนอนหลับไม่ได้สติจนตอนนี้ จึงกลัดกลุ้มอยู่ในใจ ในขณะที่จิตใจไม่สงบจึงคิดอยากหาคนมาระบายความในใจสักคำสองคำ แต่กลับลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้

 เว่ยฉางอิ๋งจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาที่ตัวของเติ้งวานวาน เพื่อปลอบโยนเขาสักหน่อย …เติ้งจงฉีก็ไม่กล้าหาเรื่องอื่นมารั้งตัวนางเอาไว้อีก จึงทำได้แต่ฟังนางเอ่ยคำปลอบโยนจนจบและอำลาไปอย่างเกรงใจ

รอจนเว่ยฉางอิ๋งและคนของนางจากไปแล้ว เติ้งจงฉีจึงสั่งให้บ่าวทั้งหมดออกไป แล้วนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง ค่อยๆ ดื่มน้ำชา ในใจนั้นไม่รู้ว่าเปรมปริ่มที่มีโอกาสได้สนทนาเพียงลำพังกับนางในดวงใจที่ชื่นชมมาแสนนานสักหน …หรือว่าเศร้าเสียใจที่ชาตินี้ตนไร้วาสนา?

ใจเขาเต้นเร่าไม่อาจสงบลงได้ ดื่มนำชาในถ้วยชาไปจนหมดแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว และยังคงเอาถ้วยจ่ออยู่ที่ริมฝีปากอยู่เช่นนั้น เนิ่นนานจากนั้นจึงเพิ่งรู้สึก เมื่อมองเห็นใบชาที่กองอยู่ก้นถ้วยกลับหลงยิ้มออกมา เขาเอาถ้วยชาวางไว้บนโต๊ะ คิดล่องลอยไปว่า “ต่อให้นางไม่ได้มีสัญญาหมั้นหมายกับเสิ่นจั้งเฟิงตั้งแต่ยังอยู่ในผ้าอ้อม บุตรหลานตระกูลใหญ่ผู้หนึ่งเช่นข้า ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือ จะไปแต่งกับบุตรีจากภรรยาเอกเพียงคนเดียวในรุ่นนี้ของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวได้อย่างไร? อีกประการ …อนาคตชั่วชีวิตของข้าล้วนผูกติดอยู่กับตัวท่านอา หากท่านอาเกิดเรื่องใด วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นใด ต่อให้มีโอกาสแต่งกับนาง ก็อย่าเสียเลยดีกว่า เพื่อมิให้นางต้องพลอยลำบากไปด้วย ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ไร้วาสนากับนาง อีกประการก็ดูคล้ายว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะดีกับนางยิ่งนัก แล้วไยข้ายังต้องทำเช่นนี้อีก? หากให้คนจับพิรุธได้ กลับเป็นการทำร้ายนางเสียอีก!”

————————