ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 255 ขั้นเหนือมนุษย์

จอมศาสตราพลิกดารา

เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ เจ้าสำนักบัณฑิตเถี่ยจ้านกับผู้ดูแลบางส่วนของสำนัก เฮ่ออวิ๋นเสียงกับยอดฝีมือของฝ่ายดับนิวรณ์ ก็กำลังเฝ้ารอด้วยท่าทีเคร่งขรึมอยู่เช่นกัน

 

“หลี่มู่ เจ้า…” เถี่ยจ้านอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง

 

หลี่มู่แผ่พลัง พลังจิตแข็งแกร่งอัดกระแทกออกไป “ไสหัวไป”

 

พวกเถี่ยจ้านรู้สึกเหมือนภูเขาที่มองไม่เห็นพังทลายลง แรงอัดกระแทกอันน่ากลัวซัดเข้ามา หลายคนถึงกับกระอักเลือดลอยหวือออกไป ก่อนกระแทกอย่างแรงเข้ากับกำแพงหินตรงประตูสำนักบัณฑิตที่อยู่ด้านหลัง

 

“เจ้า…” เถี่ยจ้านทรุดลงข้างกำแพงหิน มุมปากมีเลือดไหล ทั้งแค้นเคืองทั้งบ้าคลั่ง

 

เฮ่ออวิ๋นเสียงสีหน้าเปลี่ยนทันควัน เอ่ยขึ้นว่า “หลี่มู่ นี่หมายความว่าอย่างไร? ‘เทพสังหารผมสีชาด’ อาจารย์ข้าอยู่ด้านในสำนักนี้ เหตุใดเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับเจ้าสำนักบัณฑิตเถี่ย?”

 

หลี่มู่สีหน้าเย็นชา ตอบกลัวว่า “วันนั้นที่เจ้าไปวาดลวดลายที่สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ รื้อเอาป้ายสำนักลงมา ใช้กำลังบีบบังคับคน ให้อาจารย์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ต้องคุกเข่าที่หน้าประตู ป่นหัวเข่าพวกเขาจนละเอียด นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ?”

 

“ข้า…” เฮ่ออวิ๋นพูดไม่ออก

 

“เจ้าสุนัขสองมาตรฐาน” หลี่มู่ด่าคำที่ทุกคนไม่เข้าใจไปประโยคหนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้นชี้ ปราณดาบสายหนึ่งฟันแหวกอากาศออกไป

 

ตูม!

 

ป้ายสำนักของสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ระเบิดกระจาย สลายกลายเป็นฝุ่นทันที

 

“ดีมาก็ควรดีตอบ นักปราชญ์เคยกล่าวไว้ มีบุญคุณต้องทดแทน ส่วนมีความแค้น….นี่คือการตอบแทนที่เจ้าทำลายป้ายสำนักของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ในวันนั้น”

 

หลี่มู่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

 

คนจากสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์โมโหตาแทบถลน แต่กลับไม่มีใครออกมาห้าม

 

พวกเขารับรู้ถึงรสชาติการถูกผู้แกร่งกว่าข่มแล้ว

 

“เจ้า…อาจารย์ของข้าอยู่ด้านในสำนัก เจ้าทำเช่นนี้ อาจารย์ข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่” เฮ่ออวิ๋นเสียงทั้งโกรธทั้งตกตะลึง  ในความคิดเขา หลี่มู่กำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว

 

“เด็กน้อยที่เอะอะก็เอาแต่เรียกผู้ปกครอง…คุกเข่าลงเสีย”

 

หลี่มู่ขี่บนหลังเสือดาวเบญจมาศ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกดกลางอากาศ

 

เฮ่ออวิ๋นเสียงรู้สึกราวกับถูกขุนเขาเทพกดทับลงมาจากด้านบน เขาเร่งพลังขั้นฟ้าประทาน กำลังภายในโหมซัดบ้าคลั่ง ปราณแท้ฟ้าประทานแล่นวนในเส้นชีพจรทั่วร่างกาย หมายจะต้านเอาไว้ ทว่าพลังนั้นน่ากลัวมากเกินไป ทำให้เขาเริ่มต้านทานไม่ไหว

 

“อ๊าก…” เขาดิ้นรนร้องลั่นออกมา กำลังภายถูกกระตุ้นจนสูงสุด แต่ร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่ง สองขาค่อยๆ พับงอลง

 

ขณะที่เฮ่ออวิ๋นเสียงกำลังจะต้านทานไม่ไหวแล้วนั้น

 

“อายุยังหนุ่มแน่น เหตุใดจึงต้องบีบบังคับคนอื่นเช่นนี้”

 

เสียงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามเสียงหนึ่ง ดังลอดออกมาจากด้านในสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์

 

เวลาเดียวกัน ลำแสงสีชาดเส้นหนึ่งพุ่งตรงออกมาในชั่วอึดใจ

 

อากาศราวสายน้ำ ถูกลำแสงเส้นนี้พุ่งผ่าออกเป็นคลื่นยาวสายหนึ่ง

 

“ท่านอาจารย์!”

 

เฮ่ออวิ๋นเสียงดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง

 

ในที่สุดท่านอาจารย์ก็ออกโรงแล้ว

 

สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์รวมถึงยอดฝีมือสำนักดับนิวรณ์ ต่างทยอยมีสีหน้ายินดีเช่นกัน

 

ทว่าหลี่มู่หัวเราะร่า “ตีตัวเล็กไป ตัวใหญ่ก็ออกมา…รอเจ้าอยู่นานแล้ว” เขาพลิกฝ่ามือคว้าอากาศ ดาบวัฏจักรในฝักดาบมิติที่สร้างขึ้นเก็บไว้บนหลังเสือดาวปรากฏขึ้น คมดาบยักษ์สีแดงฉานรูปร่างสง่างามถูกกำไว้ในมือ ก่อนฟาดฟันออกไป

 

ชักดาบสะบั้น

 

ตูม!

 

ปราณดาบที่ไร้รูปร่างปะทะกับแสงสีแดง พลังน่ากลัวปะทุขึ้นกลางอากาศ ระเบิดออกมาสนั่นหวั่นไหว

 

ตรงประตูทางเข้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ ดุจเกิดคลื่นสั่นสะเทือนโหมเข้ามาในพริบตา ก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวาย แผ่นหินที่พื้นปริแตก สั่นไหวเหมือนภูเขาถูกเขย่า พวกเถี่ยจ้านราวกับข้าวสาลีที่อยู่ใจกลางลมพายุคลั่ง กระอักเลือดปลิวลอยออกไป กระแทกเข้ากับกำแพงหินของประตูใหญ่ ยอดฝีมือส่วนหนึ่งที่เตรียมตั้งรับแต่เนิ่นๆ แม้เร่งพลังต้านทาน ก็ยังถูกกระเทือนจนเลือดไหลออกจากมุมปาก โซซัดโซเซถอยไปเช่นกัน

 

การปะทะกันของผู้แข็งแกร่ง เพียงแค่คลื่นพลังหลงเหลือก็รุนแรงดุจฟ้าพิโรธ

 

มีเพียงปราณแท้แนวโค้งห่างไปด้านหน้าหลี่มู่หนึ่งจั้งเท่านั้น ที่ต้านทานคลื่นสั่นสะเทือนทั้งหมดไว้

 

และด้านหน้าของเขา เฮ่ออวิ๋นเสียงทรุดลงบนพื้นแล้ว ดิ้นรนไปไหนไม่ได้ ใบหน้าบิดเบี้ยวโหดร้าย คุกเข่าที่แทบจะแตกละเอียดอยู่บนกองเลือด

 

นี่เป็นวิธีเดียวกับที่เขาข่มเหงคนสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์วันนั้น

 

“ยอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์? เหอะๆ ก็เท่านั้นละ”

 

หลี่มู่เก็บดาบ พลิกมือเสียบกลับเข้าไปในฝักด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ ดูผิวเผินแล้วเหมือนไม่ได้รับแรงกดดันเลยแม้แต่น้อย

 

การปะทะกันกลางอากาศเมื่อครู่ เขาปะทะกับจอมยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ได้อย่างสูสี

 

พวกเถี่ยจ้านที่บาดเจ็บหนักจนกระอักเลือด เวลานี้ต่างลืมความเจ็บปวดของตนจนสิ้น ผู้ที่ลงมือเมื่อครู่นี้คือ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่า ยอดฝีมือขั้นเหนือมนุษย์แน่นอน การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ควรทำให้ขั้นฟ้าประทานกระดูกแหลกละเอียดได้แล้ว แต่หลี่มู่เพียงแค่สะบัดดาบก็ป้องกันเอาไว้ได้ทั้งหมด…

 

แต่แท้จริงแล้ว หลี่มู่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ได้ดูสบายๆ อย่างที่เห็นภายนอก

 

นี่เป็นแค่การโจมตีครั้งเดียวจากที่ไกลๆ ของอีกฝ่ายเท่านั้น

 

ความน่ากลัวของขั้นเหนือมนุษย์ ไม่ใช่ดีแต่ชื่อจริงๆ

 

ทว่าเขาก็ไม่ได้กลัว

 

เพราะในมือของเขามีไพ่ตายอยู่

 

“อวดดีนัก”

 

เสียงของ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มีความกรุ่นโกรธด้วยแล้ว

 

หลี่มู่ที่ขี่หลังเสือดาวเบญจมาศ กำลังภายในสั่นไหว ตอกกลับไปด้วยเสียงราวคลื่นซัด กังวานทั่วบริเวณสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์แห่งนี้ “ถนนไม่เรียบย่อมมีคนซ่อม เรื่องอยุติธรรมย่อมมีคนดูแล ที่ข้ามาในวันนี้ ก็แค่อยากถามว่าใครกันที่บังอาจบีบคั้นสหายข้า จะเอาตัวนางไปทำหลูติ่งบ้าบออะไรนั่น…คิดจะทำอะไรเพื่อนข้า ได้มาถามข้าแล้วหรือยัง?”

 

เจ้าสำนักบัณฑิตชวี เหลยอินอิน และคนจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ที่อยู่ด้านหลังต่างใจสั่นไหว ฮึกเหิมขึ้นมาทันที

 

ท่องทั่วยุทธจักร มีคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระ

 

นี่สิถึงจะเป็นจอมยุทธ์ที่แท้จริง

 

“ตัวข้าจะทำการใด ไม่เคยต้องไถ่ถามผู้อื่น แต่ตัดสินด้วยตัวข้าเอง”

 

พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น ร่างของ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าค่อยๆ เดินออกมาจากสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์

 

เป็นร่างของชายกลางคนตัวสูงใหญ่ ภายนอกดูธรรมดา แต่อ่อนโยนมาก เหมือนบัณฑิตที่มีวิชาความรู้อย่างไรอย่างนั้น หากมองเพียงใบหน้าเขา ทำให้คนเชื่อได้ยากว่าจะเกี่ยวข้องกับเทพสังหารที่เข่นฆ่าไปทั่วได้ ผมยาวสีชาดของเขา ลอยพลิ้วอยู่เหนือศีรษะ ราวกับกลุ่มเลือดที่กำลังเคลื่อนไหว ทั้งร่างเหมือนถูกทาทับด้วยแสงสีแดง ดุจเทพมรณะที่ย่างออกมาจากสนามรบอเวจี

 

พริบตาที่เขาปรากฏตัว จิตสังหารและสนามพลังที่หลี่มู่สร้างขึ้นตรงประตูทางเข้าสำนักบัณฑิตสลายหายไปทันที

 

พวกเถี่ยจ้านพลันรู้สึกตัวเบา แรงกดดันก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

เฮ่ออวิ๋นเสียงพยายามฝืนความเจ็บปวดพลางตระกายขึ้นมา ก่อนกระเสือกกระสนเข้าไปอยู่ข้างกายจางปู้เหล่า  เอ่ยขึ้นอย่างเคียดแค้นว่า “ท่านอาจารย์ ข้า…”

 

จางปู้เหล่าโบกมือ

 

เฮ่ออวิ๋นเสียงไม่กล้าพูดต่อ หน้าม่อยคอตกยืนอยู่ด้านหลัง

 

เขาก็รู้ดีว่าตนเองน่าขายหน้ายิ่งนัก

 

จางปู้เหล่าค่อนข้างผิดหวัง

 

เดิมทีเขาคิดไว้ว่าจะชุบเลี้ยงเฮ่ออวิ๋นเสียงสักระยะหนึ่ง ให้ได้ค้นพบตนเองและหนักแน่นกว่านี้ จากนั้นค่อยไปหาหลี่มู่เพื่อทวงของที่ถูกช่วงชิงไปคืนมาเอง เมื่อนำกลับมาได้ ก็จะสร้างจิตใจแห่งวิถียุทธ์ในตัวเขา เอาชนะความหวาดกลัวในใจ แต่ในตอนนี้ ชั่วชีวิตของเฮ่ออวิ๋นเสียงคงไม่อาจทำได้แล้ว

 

ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของหลี่มู่อยู่เกินความคาดเดาของเขา

 

แต่เป็นเพราะเฮ่ออวิ๋นเสียงไม่ได้เรื่องจริงๆ

 

“ผู้อาวุโสเว่ยชงที่ข้าส่งมา เจ้าเป็นคนสังหารใช่หรือไม่?”

 

‘เทพสังหารผมสีชาด’ จ้องเขม็งที่หลี่มู่ แรงกดดันที่มองไม่เห็นแผ่ตรงไปหา ดุจขุนเขาเทพโบราณพังทลายทับลงมา เขาไม่ใช่คนสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ ย่อมไม่ลงมือโดยอ้างว่าช่วยเหลือสำนักบัณฑิตนี้ หากแต่เขานำความแค้นของสำนักมาใช้อย่างเปิดเผย ไม่สนใจคนอื่นจะตำหนิว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กน้อย

 

หลี่มู่วาดมือออก คมดาบสายหนึ่งพุ่งออกไปจากปลายนิ้ว

 

แรงกดดันล่องหนที่แผ่เข้ามาในอากาศถูกตัดออกเป็นสอง กระจายออกไปข้างตัวเขาราวกับสายน้ำที่มองไม่เห็น

 

“อ้อ เจ้าหมายถึงเจ้าอ้วนที่เหวี่ยงค้อนคนนั้นน่ะหรือ? ใช่แล้ว เจ้าคนชั่วช้านั่นมันสมควรตายนัก ดังนั้นข้าเลยชกมันระเบิดในหมัดเดียว” หลี่มู่ตอบกลับอย่างซื่อตรงยิ่ง “แหลกเหลวจนแม้แต่กระดูกสักชิ้นก็ไม่เหลือ”

 

“ดี ดีมาก” สีหน้า ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าเรียบนิ่ง ผงกศีรษะเอ่ยต่อว่า “หลายปีมานี้ เจ้าเป็นคนรุ่นหลังคนแรกที่กล้ามาต่อปากต่อคำกับข้าเช่นนี้”

 

หลี่มู่หัวเราะ “อาจเพราะช่วงไม่กี่ปีนี้ เจ้าเจอพวกรุ่นหลังน้อยเกินไป”

 

“คนวัยหนุ่มที่หยิ่งทระนง แข็งแกร่งกว่าศิษย์ไม่เอาไหนของข้าคนนี้มากมายนัก ข้าขอชมเชยเจ้า เด็กน้อย เจ้าฆ่าตัวตายเสียตอนนี้เถอะ จะตายได้สบายหน่อย” จางปู้เหล่าเอ่ย “ถ้าหากถูกข้าจับกลับไปที่สำนักดับนิวรณ์ เจ้าจะได้ลิ้มรสทัณฑ์ทรมานทั้งเจ็ดสิบสองอย่าง เชื่อข้าเถอะ รสชาติของการจะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้นั้น เจ้าไม่ชอบมันแน่”

 

ก่อนหน้านี้ ตอนที่ได้รับรายงานว่าพวกเฮ่ออวิ๋นเสียงถูกทำให้อับอายที่สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ในใจของจางปู้เหล่าถึงแม้จะโกรธแค้น กลับไม่ได้คิดว่าต้องลงมือสังหารหลี่มู่เองทันที ไม่ใช่เพราะอื่นใด แต่เป็นเพราะในใจเขาที่เป็นถึงยอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์ คนขั้นฟ้าประทานระดับกลางค่อนต่ำอย่างหลี่มู่ ไม่คุ้มค่าให้ต้องลงมือเองเลย

 

ครั้งนี้ เขานำพวกของเฮ่ออวิ๋นเสียงมา พูดตรงๆ ก็คือเพื่อฝึกฝนกองกำลังและสำรวจหาคนใหม่ๆ

 

เฮ่ออวิ๋นเสียงเป็นลูกศิษย์ที่เขารับมาเมื่อหลายปีก่อน มีความคิดจะให้เป็นผู้สืบทอดอยู่ และเฮ่ออวิ๋นเสียงก็แสดงความสามารถได้ไม่เลว พัฒนาวรยุทธ์ได้รวดเร็วยิ่ง ปกติก็จัดการเรื่องราวได้ดี ส่วนเรื่องแก้แค้นให้กับผู้อาวุโสสาขาก็เป็นแค่ข้ออ้าง เขาเพียงอยากให้ศิษย์รักคนนี้มีชื่อเสียงในยุทธจักรบนศพของหลี่มู่เท่านั้น

 

ทว่า เมื่อเทียบสิ่งของ ของไม่ดีก็ต้องโยนทิ้ง เมื่อเปรียบเทียบคน คนไม่ได้เรื่องก็สมควรตาย

 

เฮ่ออวิ๋นเสียงที่ปกติฉลาดหลักแหลม เมื่อเทียบกับหลี่มู่แล้วไม่ใช่คนในระดับเดียวกันเลย

 

สิ่งนี้ทำให้ ‘เทพสังหารผมสีชาด’ จางปู้เหล่าผิดหวังอย่างมาก จนต้องลงมือเอง

 

แต่เมื่อหลี่มู่ได้ยิน ‘ความหวังดี’ ของอีกฝ่าย กลับหัวเราะร่าอย่างหยามเหยียด “ฆ่าตัวตาย? สมองเจ้ายังดีอยู่หรือเปล่านี่? หากการสู้รบในยุทธจักรเอาแต่เปรียบเทียบชื่อเสียง อายุ กับขั้นพลังแล้วละก็ ทุกคนจะสู้กันเพื่ออะไร? พอเจอกันก็แจ้งฐานะชื่อเสียง จากนั้นฝ่ายที่ไม่มีมันก็จับดาบเชือดคอตัวเองตายพอแล้ว….”

 

“กำแหงนัก”

 

‘เทพสังหารผมสีชาด’ โกรธเกรี้ยวในที่สุด

 

หลายปีมานี้ เขาใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบอยู่ภายในสำนัก แทบจะไม่ข้องแวะกับเรื่องใด เมื่อไรกันที่ต้องถูกใครเย้ยหยันถากถางเช่นนี้?

 

คราใดที่ขั้นเหนือมนุษย์บันดาลโทสะ ครานั้นฟ้าถล่มดินทลาย

 

จางปู้เหล่าเพียงขยับสายตา ภายใต้คลื่นพลังถาโถม หลี่มู่รู้สึกถึงแค่พลังที่ยากจะพรรณนาได้ดุจสวรรค์เก้าชั้นร่วงหล่นลงมา เขาตกใจอย่างมาก รอบตัวในระยะหนึ่งจั้ง พื้นดินถูกกระแทกจนถล่มลึกถึงหนึ่งฉื่อครึ่ง เสือดาวเบญจมาศของเขาร้องโหยหวน ไม่สามารถทนยืนอยู่ได้

 

……………………