Ch.123 – กลิ่นอายของราชันย์สัตว์ร้าย

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.123 – กลิ่นอายของราชันย์สัตว์ร้าย

 

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้ที่ติดตามฉินเฟิงมาหรือไม่ เพราะจู่ๆก็มีบางคนล้มเลิกความคิดที่จะอยู่ในห้องใต้ดิน และตัดสินใจกลับมาร่วมฝ่าวงล้อมกับเขา

 

และในกลุ่มที่กลับใจ ส่วนใหญ่แล้วเป็นวัยรุ่นสาว

 

สรุปแล้ว ฉินเฟิงนำคนลงมา 200 คน แต่พอกลับขึ้นไป ยังมีคนตามขึ้นมาด้วยอีกราวๆ 50 คน

 

“หลิวซู พาคนที่ตามขึ้นมาจากชั้นใต้ดินขึ้นไปข้างบน หาเสื้อผ้าให้ใส่ซะ”

 

ตอนนี้เสื้อผ้าของพวกเธอถูกฉีกขาด แทบจะไม่สามารถปกคลุมจุดสำคัญของร่างกายได้ ขณะเดียวกัน ภายในห้างยังมีคนอยู่กว่า 200 – 300 คน และฉินเฟิงไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายแบบในห้องใต้ดินอีกต่อไป

 

หลิวซูตอบรับ และพาคนพวกสาวๆไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

โชคดีที่พื้นที่โซนในห้างถูกเก็บกวาดแล้วโดยฉินเฟิง ดังนั้นจึงไม่มีพวกแมลงออกมาก่อความรังควาน

 

ขณะเดียวกัน ปัจจุบันสภาพอากาศเริ่มมืดลง และดูเหมือนว่ากลิ่นมนุษย์ของที่นี่จะแรงเกินไป พวกแมลงจากภายนอกเริ่มทยอยมารวมตัวกันทีละเล็ก ทีละน้อย ล้อมห้างสรรพสินค้าจากทุกทิศทาง

 

ฉินเฟิงนั่งขวาทับซ้าย หลับตาลง ขณะเดียวกันก็มองเข้าไปในตันเถียน

 

เขาเพิ่งสังหารผู้ใช้วรยุทธโบราณไป เลยได้รับกลุ่มหมอกมาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง

 

ฉินเฟิงเริ่มใช้พลังพิเศษดูดกลืน

 

กลุ่มหมอกไหลผ่านซับผ่านเส้นลมปราณ ถูกกลั่นกรอง และเปลี่ยนกลับมาเป็นกำลังภายในของฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว

 

“ทักษะลับกลืนดาราเริ่มทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ”

 

ฉินเฟิงสัมผัสได้ ว่าในช่วงที่กำลังภายของเขาเพิ่มขึ้น ทักษะลับกลืนดาราเองก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเช่นกัน ตลอดทั้งกายคล้ายปรากฏสนามแม่เหล็กแรงดึงดูดขึ้นจางๆ กลืนกินพลังงานแห่งจิตวิญญาณของฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ฉินเฟิงได้รับเพิ่มมาอีก 5 กลุ่มหมอกกำลังภายในจากการสังหารในครั้งนี้ หากบวกกับจำนวนกลุ่มหมอกที่มีก่อนหน้า จะเท่ากับว่าเขามีกำลังภายในอยู่ทั้งสิ้น 50 กลุ่มหมอก

 

หรือเรียกอีกอย่างว่ามีกำลังภายในมากกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F9 ถึง 5 เท่า!

 

“ฟู่ว … ”

 

ฉินเฟิงผ่อนลมหายใจ ค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้น

 

ระหว่างกำลังทำสมาธิ ไป๋หลีนั่งลงเคียงข้าง และเธอคงจะเบื่อเกินไป เพราะเมื่อฉินเฟิงลืมตาขึ้น ก็พบว่าเธอเปิดเกมในอุปกรณ์สื่อสารเล่นซะแล้ว

 

และห่างออกไปราวๆ 5 เมตรจากตำแหน่งที่เขานั่ง ยังมีวัยรุ่นสาวคนหนึ่งยืนรออยู่อย่างเงียบๆ เธอเป็นวัยรุ่นสาวที่ฉินเฟิงมอบอาวุธให้ในห้องใต้ดิน

 

“มิสเตอร์ฉิน เรื่องก่อนหน้านี้ขอบคุณมากนะคะ” ปัจจุบันอารมณ์ของเธอกลับมามั่นคงแล้ว แม้รอบตาจะยังบวมแดง มุมปากแตก แก้มช้ำ ทว่าคู่ดวงตากลับเปล่งประกายสดใส

 

“ก่อนหน้านี้ขออภัยที่ยังไม่ได้แนะนำตัว ฉันชื่อว่าแชงนา”

 

“อ้อหวัดดี” ฉินเฟิงพยักหน้า “ฉันชื่อฉินเฟิง ส่วนนี่คือแฟนของฉันไป๋หลี”

 

ไป๋หลียกมือขึ้นโบกไปมา แต่สายตายังจดจ่ออยู่กับเกม

 

แชงนายิ้ม “แฟนของคุณน่ารักมากๆเลย”

 

เมื่อได้รับคำชม ฉินเฟิงก็มองแชงนาในแง่ดีมากขึ้น

 

แต่คำชมของแชงนาก็ไม่ได้เกินจริง เพราะไป๋หลีราวกับเป็นเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบจริงๆ

 

เมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้าม มันทำให้แชงนารู้สึกละอายใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง

 

“อุปกรณ์สื่อสารของพวกเราถูกคนพวกนั้นทำลายไปตั้งแต่เมื่อวาน ก็เลยไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ แต่ฉันเพิ่งได้ยินมาจากคนในกลุ่มของคุณ ว่าคุณเป็นที่แข็งแกร่งมาก ไป๋หลีเองก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน!”

 

บางทีอาจเป็นเพราะกลัวว่าฉินเฟิงจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่ตัวเองจะสื่อออกไป แชงนาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ฉันเองก็เพิ่งได้รับการฉีดยากระตุ้นในปีนี้ และในวันที่ห้า ฉันก็สามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณให้ตื่นขึ้นเองได้!”

 

 

–แค่วันที่ 5 ก็สามารถตื่นขึ้นเองได้แล้ว นี่ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก! เพราะขนาดโจวฮ่าว กว่าจะตื่นขึ้นยังต้องใช้เวลาอีกเป็น 10 วันหลังจากนั้น นี่ยังไม่นับรวมพวกยาเสริมแกร่งหรือของต่างๆที่ฉินเฟิงมอบให้เขาอีกนะ

 

แน่นอน พรสวรรค์ทางกายภาพเป็นหนึ่งตัวการสำคัญที่บ่งบอกถึงความสามารถในอนาคต

 

บนใบหน้าของแชงนาปรากฏรอยยิ้มขมขื่น “ก่อนหน้านี้ฉันหวาดกลัวอันตราย เลยไม่กล้าที่จะต่อสู้ ฉันไม่อยากฝึกฝนเพราะกลัวจะได้รับบาดเจ็บ เลยเก็บงำพลังของตัวเองไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ว่าทำแบบนั้นมันโง่แค่ไหน!”

 

ทั้งๆที่นี่คือโลกที่คนแข็งแกร่งเป็นใหญ่ แต่สำหรับบางคนอย่างเช่นเธอ กลับไม่รู้ว่าจะดูแลและเพิ่มพูนความแข็งแกร่งที่ว่านั่นอย่างไร

 

“ฉินเฟิง ฉันได้ยินมาว่าคุณคือผู้ใช้อบิลิตี้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณที่แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นฉัน … ฉันขอติดตามคอยเรียนรู้วรยุทธโบราณจากคุณจะได้ไหม ได้ยินมาว่าคุณมีสถานชุมชนเป็นของตัวเอง .. ”

 

ฉินเฟิงรับฟังอย่างตั้งใจ เขาทราบดีว่าประสบการณ์ที่วัยรุ่นสาวได้รับน่าสงสารเพียงใด เขาพาลคิดไปไกลถึงขนาดว่า ในชีวิตก่อนหน้า ชีวิตของวัยรุ่นสาวคงไม่พ้นจบลงในเมืองนี้

 

แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของฉินเฟิง เท่ากับเป็นการบิดผันประวัติศาสตร์ของเมืองหาน ส่งผลให้หลายคนที่น่าจะเสียชีวิต สามารถอยู่รอดต่อไปได้ แม้จะมีบางคนที่ตายลงเพราะฝีมือเขาก็ตาม!

 

ฉินเฟิงมองไปยังแชงนาที่กำลังแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในแววตา เปิดปากกล่าว

 

“ถ้าเธอสามารถปกป้องชีวิตตัวเองจนรอดออกไปจากเมืองหานได้ ฉันก็ยินดีต้อนรับสู่สถานชุมชนของฉัน”

 

ประโยคนี้ แม้จะไม่เชิงตกลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขอของแชงนา

 

วัยรุ่นสาวรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

 

“ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ!”

 

เสร็จธุระ แชงนาก็ไม่คิดรบกวนฉินเฟิงอีกต่อไป เพราะเธอเองก็ต้องการพักผ่อน และกินอาหารเช่นกัน มิฉะนั้นคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดในวันพรุ่งนี้!

 

หลังจากนั้นฉินเฟิงก็พักผ่อนต่ออีกเล็กน้อย เพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอกอีกครั้ง

 

—–

 

ยามค่ำคืนคือช่วงเวลาที่ปลอดภัยที่สุด และยังเป็นโลกของฉินเฟิง

 

เขานำไป๋หลีเดินเข้าไปในความมืดมิด แฝงตนกลืนไปกับเมืองที่ล่มสลาย ควบม้าศึกกระโจนขึ้นไปบนอาคารโดยไร้สรรพเสียง

 

ที่ต้องขึ้นที่สูง เพราะเป้าหมายของเขาในคราวนี้ ไม่ใช่การล่า ดังนั้นตลอดเส้นทางเลยไม่คิดเดินทางอย่างเปิดเผย หรือดึงดูดความสนใจใดๆแก่พวกสัตว์ร้าย

 

“เจอแล้ว!”

 

ที่นี่คือป้อมปราการจราจรที่อยู่ห่างไกลจากประตูเมือง หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ มันก็เหมือนกับสถานีขนส่งของสถานชุมชนเฉิงเป่ย เป็นที่จอดรถศึกก่อนออกสู่ภายนอก และปัจจุบันมีรถบัสดัดแปลงเป็นรถศึกจอดอยู่ 3 คันที่นี่

 

เนื่องจากรถศึกเหล่านี้ต้องแล่นผ่านทุ่งล่า ดังนั้นกระจกรถไม่เพียงป้องกันการโจมตีจากสัตว์ร้าย แต่มันยังมีกำแพงเหล็กกั้นอีกชั้นอยู่ด้านนอก และมีป้อมปืนติดตั้งไว้อยู่ด้านบน

 

ฉินเฟิงเดินเข้าไปในรถ แต่พบว่ามันไม่มีกุญแจ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉินเฟิง เขาสลับสายไฟเล็กน้อย รถก็ถูกสตาร์ทจนติด!

 

เมื่อเกิดเสียงดัง สัตว์ร้ายรอบๆที่ได้ยินก็ใกล้เข้ามาเป็นธรรมดา

 

“ไป๋หลี ใช้แรงกดดันของเธอ บังคับให้พวกมันหวาดกลัวและถอยหนีไป”

 

“โอ้ว! ของกล้วยๆ”

 

ไป๋หลีปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาทันที แมลงสัตว์ร้ายที่รับรู้ได้ถึงแรงกดดันระดับราชันย์ พากันตื่นตระหนก และถอยหนีไป

 

รถคันแรกสตาร์ทติด ฉินเฟิงก็นำเชือกไปพ่วงกับรถอีกคัน แล้วขับมุ่งหน้าสู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

 

ราวๆ 20 นาทีต่อมา รถก็จอดลงด้านนอกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ขณะนี้พวกแมลงสัตว์ร้ายเตลิดด้วยความหวาดกลัวจากแรงกดดันของไป๋หลี พลังสมาธิของฉินเฟิงครอบคลุมทั้งตำแหน่งสถานเลี้ยงเด็ก และค้นพบว่าภายในไม่มีแมลงสัตว์ร้ายก็จริง แต่ก็ไม่พบถึงสัญญาณชีวิตของผู้คนเช่นกัน

 

แน่นอน ว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเด็กๆตายหมดแล้วภายใต้เงื้อมมือศัตรู ตรงกันข้าม มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา ทั้งหมดแค่ไปซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดิน

 

แม้ว่าฉินเฟิงจะเพิกเฉยต่อเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือผ่านอุปกรณ์สื่อสาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้ยินมัน ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น เขาได้ยินมาว่าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองหาน ถึงจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีกำพร้าติดอยู่มากกว่า 100 คน ดังนั้นรถสองคันนี้น่าจะเพียงพอต่อการบรรทุกพวกเขา

 

“ไป๋หลี เธอช่วยทิ้งกลิ่นอายไว้ที่นี่ได้ไหม พวกสัตว์ร้ายตัวอื่นๆจะได้ไม่เข้ามาใกล้” ฉินเฟิงถาม

 

แต่พอนึกไปถึงวิธีที่สัตว์ร้ายทิ้งกลิ่นอายเอาไว้เบื้องหลังได้ ทันใดนั้นฉินเฟิงก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น!

 

ไป๋หลีพยักหน้า

 

“ได้สิ”

 

ว่าจบ ภายใต้การเฝ้ามองของฉินเฟิง ไป๋หลีพลันกระชากเส้นผมตัวเองออกมา

 

“ฟิ้ว–”

 

ไป๋หลี่เป่ามัน พัดพาเส้นผมเหล่านั้นลอยออกไป และตกลงบนรถบัส

 

“เอาล่ะ ถ้ามีผมอยู่ในนั้น พวกแมลงจะไม่มีทางเข้ามาใกล้แน่นอน!”

 

ทันใดนั้นฉินเฟิงก็ตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้ตนคิดมากเกินไป เขาอุตส่าห์จินตนาการว่าไป๋หลีจะทำแบบพวกสัตว์ตัวอื่นๆ อย่างการฉี่เพื่อทิ้งกลิ่นตัวเองไว้ซะอีก

 

“เอาล่ะๆ ไปกันเถอะ”

 

ฉินเฟิงกระโดดขึ้นควบม้าศึก เดินทางกลับพร้อมไป๋หลี