บทที่ 129 การยอมรับและความชื่นชม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 129 การยอมรับและความชื่นชม
บทที่ 129 การยอมรับและความชื่นชม

ญาณศักดิ์สิทธิ์!

เฉินซีเข้าใจอย่างถ่องแท้ทันทีว่าก่อนหน้าจิตวิญญาณของเขาได้แปรสภาพไปสู่อีกระดับแล้วอย่างสิ้นเชิง

ผู้บ่มเพาะขอบเขตสร้างรากฐานจะสามารถควบคุมประสาทสัมผัสในร่างกาย

ขณะที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อกำเนิดจะมีญาณรับรู้บังเกิดขึ้น

ส่วนผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลสามารถแปรเปลี่ยนญาณรับรู้ให้เป็นญาณตระหนักรู้และทำให้สามารถควบคุมศัสตราวิเศษระดับสูงได้

ในเวลาเดียวกัน ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำจะสามารถหล่อหลอมญาณตระหนักรู้ขึ้นไปสู่ญาณจิตและทำให้เกิดความเข้าใจในเต๋าแห่งสวรรค์ขึ้นอีกขั้น

ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางจะมีการผสมผสานและเชื่อมโยงกับพลังหยินและพลังหยาง และเมื่อหยินและหยางบรรจบกันสมบูรณ์มันจะก่อให้เกิดญาณศักดิ์สิทธิ์

ในขณะที่ขอบเขตจุติและขอบเขตที่สูงกว่าจะแปรเปลี่ยนญาณสัมผัสของตนเองให้กลายเป็นจิตสัมผัสเทพซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของญาณสัมผัสที่มีในบันทึกไว้ ส่วนระดับที่เหนือกว่านั้นมีเพียงข่าวลือซึ่งไม่อาจยืนยันได้ว่ามันถูกเรียกว่าสิ่งใดหรือทำอะไรได้บ้างเพราะผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นเซียนสวรรค์ ตั้งแต่กาลก่อนจนถึงตอนนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นและผู้คนเหล่านั้นต่างเป็นตัวตนลึกลับที่ไม่ได้ทิ้งข้อมูลไว้สักเท่าใด

‘ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นตำหนักอินทนิลแต่ความแข็งแกร่งของญาณศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับของผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง อีกแค่ก้าวเดียวข้าก็จะถึงขั้นจิตสัมผัสเทพแล้ว ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ’

เฉินซีสูดลมหายใจขณะที่ค่อย ๆ เผยอเปลือกตาขึ้นทว่าเมื่อมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวที่ด้านข้างเป่ยเหิง เฉินซีถึงกับสะดุ้งเฮือกพลันรู้สึกตัวราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน ขณะเดียวกันเขาเริ่มเข้าใจว่าอะไรที่เกิดขึ้นก่อนหน้า

‘ทั้งหมดเป็นเพราะสตรีนางนี้!’

เฉินซีไม่อาจระงับความรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงจนอกกระเพื่อม

ความสามารถในการทำให้ผู้อื่นเกิดสภาวะหยั่งรู้โดยใช้กลิ่นอายแผ่กระจายออกจากร่างกาย …สตรีนางนี้บรรลุไปถึงขอบเขตการบ่มเพาะใดแล้วกัน!?

เฉินซีรู้สึกว่าแค่วันนี้ก็มีเรื่องที่ทำให้ตนเองต้องตกอกตกใจอยู่หลายครั้งหลายหน กล่าวรวม ๆ แล้วอาจมากกว่าสิบเจ็ดปีของชีวิตที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ อย่างแรกการเผชิญหน้ากับเหวินเสวี่ยนผู้ที่อยู่ในขอบเขตสถิตกายา จากนั้นก็ได้พบกับบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิง ระดับการบ่มเพาะของชายชราผู้นี้สูงยิ่งกว่าขอบเขตสถิตกายาด้วยซ้ำ และตอนนี้สาวงามที่ลึกลับและน่าเกรงขามยิ่งก็ปรากฏตัวออกมา ทุกสิ่งประหนึ่งคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาทีละระลอก แต่ความสูงของคลื่นจะเพิ่มขึ้นและน่าตกตะลึงยิ่งขึ้นทุกครั้ง

ทันทีที่เฉินซีลืมตามอง สตรีผู้งดงามก็ชี้ไปทางเหวินเสวี่ยนซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก “เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อน”

โดยไม่ต้องถามอาจารย์ของตนเอง เหวินเสวี่ยนก็ค้อมตัวลงต่ำคำนับสตรีผู้งดงาม ก่อนจะหันหลังกลับขณะทำท่าจะออกไปนั้นเอง พลันเขากลับชะงักหยุด

“จริงสิ พาเจ้าคนที่อยู่บนหลังเขาไปด้วย ข้ามีผลดอกบัววิญญาณเพลิง เมื่อใดก็ตามที่เขาฝึกฝนตามแนวทางใจหลอมรวมกระบี่แล้ว ผลดอกบัววิญญาณเพลิงจะช่วยให้เขาสร้างกายาขึ้นมาได้ใหม่” สตรีผู้งดงามกล่าวพร้อมกับยิ้มให้กับเฉินซี จากนั้นจึงชี้ไปยังเฉินฮ่าวบนหลังชายหนุ่ม พลันบนฝ่ามือบอบบางของสตรีผู้นั้นปรากฏผลดอกบัววิญญาณเพลิงเปล่งแสงร้อนแรง ผลไม้มีขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกก็จริง ทว่าเปลวไฟสีแดงเข้มนั้นลุกโชติช่วงราวกับไร้จุดสิ้นสุด อีกทั้งยังปรากฏกระแสความร้อนพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศอย่างน่าอัศจรรย์

“ผลดอกบัววิญญาณเพลิง!” เฉินซีและเหวินเสวี่ยนโพล่งออกมาพร้อมกันอย่างไม่ตั้งใจ

“ถูกแล้ว ถึงเขาจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่ในห้าธาตุหลัก ด้วยคุณสมบัติอันรุนแรงของธาตุไฟจะเหมาะกับการสร้างกายาใหม่ของเขามากที่สุด” สตรีผู้งดงามผงกศีรษะให้พลางอมยิ้มมุมปาก

เฉินซีเชื่อว่าสตรีงามพูดจริง แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือการที่นางยอมยกผลดอกบัววิญญาณเพลิงให้เพื่อช่วยเหลือน้องชายของเขา เพราะที่สุดแล้วสิ่งนี้ก็เป็นสมบัติล้ำค่าหายากแห่งฟ้าดิน การจะได้มันมาครอบครองขึ้นอยู่กับโชควาสนาของแต่ละคนเท่านั้น จะมีผู้ไร้เทียมทานสักกี่คนที่ไม่ปรารถนาอะไรมากไปกว่าต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติชิ้นนี้

‘นาง…เหตุใดจึงดีกับข้านัก’

เฉินซีรู้สึกขึ้นมาบ้างว่าหลายอย่างที่ตนเองเผชิญมาในวันนี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับสตรีผู้งดงามที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี่เอง มิฉะนั้นด้วยสถานะของเหวินเสวี่ยนและเป่ยเหิง ทั้งสองคงไม่มีทางนอบน้อมแก่เขาเป็นแน่

“ไม่ต้องกังวล ด้วยผลดอกบัวผลนี้ การบ่มเพาะของน้องชายเจ้าจะค่อย ๆ กลับมาแข็งแกร่งอย่างแน่นอน อีกทั้งต่อไปจะให้ผลสัมฤทธิ์อย่างดีเยี่ยมทีเดียว” เหวินเสวี่ยนส่งยิ้มมาให้เฉินซี จากนั้นก็รับตัวเฉินฮ่าวขึ้นไปไว้บนหลังของตัวเองก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกไป

เป็นธรรมดาที่เฉินซีจะไม่ปฏิเสธ เดิมทีเขาตั้งใจที่จะใช้ผลดอกบัวจิตทองคำที่อยู่ในตันเถียนของตนเองมาช่วยสร้างร่างกายของเฉินฮ่าวขึ้นใหม่ ทว่าตอนนี้ไม่เพียงเขาจะได้รักษาผลดอกบัวจิตทองคำไว้เท่านั้น แต่ยังได้รับผลดอกบัววิญญาณเพลิงมาอย่างไม่คาดฝัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเฉินฮ่าวต่อไปด้วย เรื่องที่ดียิ่งอย่างนี้เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร

เมื่อเหวินเสวี่ยนคล้อยหลังไปแล้ว สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมองเฉินซี อย่างพิจารณาด้วยความพึงพอใจราวกับว่านางกำลังชื่นชมสมบัติล้ำค่ากระนั้น สตรีมองมาด้วยสายตาระมัดระวัง แววตาคู่นั้นอ่อนโยนจนทำให้คนที่ถูกมองรู้สึกเหมือนถูกอาบไปด้วยสายลมกลางฤดูร้อนและไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดหรือความคิดที่จะต่อต้านนาง

ผ่านไปไม่นาน จู่ ๆ สตรีผู้งดงามก็คลี่ยิ้มก่อนที่จะมีเสียงผ่านทางกระแสปราณดังขึ้นว่า “ไม่เลว เจ้าทำให้การมาของข้าและได้พบกันในครั้งนี้ไม่เสียเปล่า เอาล่ะ ก่อนไปข้าจะมอบของบางอย่างให้แก่เจ้า” ขณะที่พูดจบ ลำแสงสีดำพลันพุ่งเข้าสู่ห้วงจิตสำนึกของเฉินซีอย่างรวดเร็ว สิ่งของรูปร่างประหลาดที่มีขนาดเท่าฝ่ามือแลดูคล้ายแผ่นกระดองเต่าที่แตกออกเป็นเสี่ยง

เฉินซีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าของชิ้นนี้คือชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก!

เป็นดั่งที่คิด ภายหลังจากการปรากฏของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากชิ้นนี้ ต่อมาเศษของแผนภาพวารีหลากที่ลอยล่องอยูู่ในห้วงจิตสำนึกของเขาก็แตกออกเป็นพลังบังคับด้วยแรงดูด จากนั้นมันก็หลอมรวมเข้ากับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่ซึมซาบเข้าสู่ห้วงจิตสำนึกของเขาในตอนนี้ทันที ก่อนจะกลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยวซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นถึงสองเท่า

นอกจากนั้น เฉินซียังพบว่ารอบนอกของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ปรากฏภาพเงาสีดำขึ้นมาเป็นชั้น ภาพเงาแบ่งเป็นชิ้นส่วนรูปร่างแปลกประหลาดจำนวนเจ็ดชิ้น และเมื่อมองผ่าน ๆ ก็จะเห็นได้ว่าหากปะติดปะต่อเงาทั้งเจ็ดเข้าด้วยกันก็จะได้แผนภาพทรงกลมเกือบสมบูรณ์

‘น่าจะเป็นแผนภาพวารีหลากที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากถูกละทิ้งอยู่ในโลกอีกเจ็ดชิ้น?’ เฉินซีเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดกับตนเองในใจ ‘หรือว่าคนผู้นั้นจะรู้มานานแล้วว่าข้ามีชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากอยู่ในตัว?’

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เฉินซีก็รู้สึกยินดีที่ได้รับชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากชิ้นที่สองนี้ ขณะเดียวกัน เขาก็มองไปยังหญิงสาวผู้นั้นด้วยความหวาดเกรงระคนประหลาดใจ

“หมั่นฝึกฝนเข้าล่ะ…ว่าที่ศิษย์น้องเล็ก…” ดูเหมือนสตรีผู้งดงามจะไม่ได้สังเกตสายตาที่จ้องเขม็งของเฉินซีเอาเสียเลย หลังจากที่พูดผ่านกระแสปราณพลางยิ้มให้แล้ว ร่างกายของนางก็เลือนหายไปจากจุดนั้นทันทีราวกับระเหยเป็นไอลอยขึ้นไปในอากาศ อีกทั้งไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่สักนิดประหนึ่งว่านางไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน!

‘ว่าที่ศิษย์น้องเล็ก!’ ทันใดนั้นเฉินซีรู้สึกเหมือนมีเสียงลั่นในศีรษะราวกับถูกสายฟ้าฟาด หรือว่าคนที่ปลอมเป็นชายก่อนหน้าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสฝูซีอีกคนหนึ่ง!

เวลานี้เฉินซีอยากกระโจนเข้าไปถามจี้อวี๋ในเคหามากกว่าอะไรทั้งสิ้นว่าผู้อาวุโสฝูซีมีศิษย์คนอื่นด้วยหรือไม่!

น่าเศร้านัก ก่อนที่เขาจะบรรลุการขัดเกลาปราณภายในและขัดเกลากายาไปจนถึงขอบเขตเคหาทองคำ เขาจะเข้าไปในเคหาแห่งนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด

‘ว่าที่ศิษย์น้องเล็ก…ว่าที่ศิษย์น้องเล็ก…ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ทุกสิ่งที่ข้าประสบมาในวันนี้ก็เป็นอันเข้าใจได้ แต่นางหาข้าพบได้อย่างไร?’ ชายหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความคิดไม่ตก

“ผู้อาวุโสมาไวไปไวแท้” เป่ยเหิงซึ่งเป็นบรรพจารย์สูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรถอนหายใจ ทั้งน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง

เสียงทอดถอนใจของอีกฝ่ายได้ปลุกให้เฉินซีรู้สึกตัวจากภวังค์ความคิดทันที จึงหันไปถามว่า “ผู้อาวุโสเป่ยเหิง ท่านรู้จักสตรีผู้นั้นอย่างนั้นหรือขอรับ?”

“อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเลย พวกเรามาสร้างสัมพันธ์ฉันมิตรกันดีกว่า” ใบหน้าเรียบเฉยของเป่ยเหิงปรากฏรอยยิ้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวต่อมา “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กน้อย…อืม น่าจะสักสองพันปีที่แล้ว เคราะห์ดีที่ข้าได้พบกับเขาและยังได้รับการสั่งสอนชี้แนะจากผู้อาวุโสท่านนี้ น่าเสียดายที่เขาไม่รับศิษย์ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นศิษย์ของเขา แต่ด้วยคำชี้แนะเพียงอย่างเดียวมันก็ทำให้ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนปฐพีจนสำเร็จเช่นปัจจุบัน”

“แม้แต่ผู้อาวุโสก็ไม่รู้จักเขาอย่างนั้นหรือ” เฉินซีสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นและจริงใจที่เป่ยเหิงมีต่อเขา หากก็ยังปรากฏความเอาใจใส่อยู่บ้าง

“ถ้าขืนยังเรียกข้าผู้อาวุโสอีก ข้าจะโยนเจ้าออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าจริง ๆ ด้วย!” คนพูดแสดงท่าว่าขัดเคืองก่อนกล่าวต่อมา “ถ้าน้องชายไม่รังเกียจ เราสองคนมาเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องเถอะ ในเมื่อข้าอายุมากกว่าเจ้านิดหน่อย ดังนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องชายเฉินซี ว่าอย่างไร” ขณะที่พูด ดวงตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความกระตือรือร้น

แม้ภายนอกเฉินซีจะแสดงออกอย่างสำรวมมาก แต่เมื่อถูกผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี ซ้ำยังเป็นบรรพจารย์สูงสุดของนิกายอันดับหนึ่งแห่งเมืองทะเลสาบมังกรอย่างนิกายกระบี่เมฆาพเนจร มองตรงมาด้วยสายตาจริงใจ ชายหนุ่มก็อดที่จะรู้สึกเหมือนตัวกำลังลอยขึ้นไปด้วยความปีติไม่ได้

“นี่…ออกจะไม่เป็นการสมควรเลยขอรับ…” เฉินซีตอบน้ำเสียงลังเล

“ข้าตัดสินใจแล้ว!” เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าลังเลของเฉินซี แต่ไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธอย่างแข็งขันแต่อย่างใด เป่ยเหิงจึงเอ่ยตัดบททันที

‘หากข้าปฏิเสธซ้ำอีกครั้งอาจจะดูไม่ดีนัก…’ จากนั้นความคิดแปลก ๆ ก็ผุดขึ้นมาในใจของเฉินซีอย่างช่วยไม่ได้ ‘หากเป็นเช่นนั้น บรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนจะไม่กลายเป็นศิษย์น้องของข้าอย่างนั้นหรือ? คนผู้นั้นเป็นบรรพจารย์ใหญ่แห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร สรุปว่าเวลาที่ประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรมาพบข้า เขาก็ต้องโค้งคำนับข้าด้วยใช่ไหม?’

สิ่งที่เฉินซีกำลังคิดนั้นนับว่าถูกต้องแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร แต่เพราะมีความสัมพันธ์กับบรรพจารย์สูงสุดอย่างเป่ยเหิง ดังนั้นตราบใดที่มีคนที่อาวุโสต่ำกว่าเป่ยเหิงอยู่ในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร พวกเขาย่อมต้องให้ความเคารพและนับถือว่าเฉินซีคือผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง ต่อให้จะไม่อยากรับก็ตาม

“น้องชายเฉินซี ต่อไปเจ้ากับข้า พวกเรานับว่าเป็นพี่น้องกัน! ข้าจะนับเจ้าเป็นประหนึ่งพี่น้องคลานตามกันมาอย่างแท้จริง และในฐานะที่ข้าเป็นบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร เรื่องอันน่ายินดีนี้ข้าจะต้องประกาศออกไปให้ศิษย์ทุกคนได้รับรู้และมีการเฉลิมฉลองกันภายในเป็นเวลาสามวันสามคืน!”

สีหน้าของเป่ยเหิงดูเบิกบาน “อีกอย่างข้าจะเปิดพื้นที่บนเขาเมฆาพเนจรให้เจ้าและจะสร้างตำหนักให้เป็นที่พำนักและสถานที่บ่มเพาะของเจ้า ส่วนของใช้ประจำวันและการใช้จ่ายทรัพยากรบ่มเพาะทั้งหลาย เจ้าจะได้รับพวกมันในจำนวนที่เทียบเท่ากับบรรพจารย์สูงสุด เจ้าห้ามปฏิเสธเด็ดขาดเพราะนี่คือความปรารถนาดีของพี่ใหญ่ ถ้าเจ้าปฏิเสธแสดงว่าไม่รับข้าให้เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า!”

เฉินซีถึงกับพูดไม่ออก ไม่สิ เขาไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากแย้งแม้แต่คำเดียว เป่ยเหิงพูดออกมาชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ถ้าเขายังปฏิเสธก็จะกลายเป็นดูว่าเขาไม่จริงใจกับอีกฝ่าย

นอกจากนั้น เวลานี้เขาได้ทำให้ตระกูลซูขุ่นเคืองเสียแล้ว หากสามารถสร้างความสัมพันธ์กับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้ เท่ากับได้ปราการป้องกันที่แข็งแกร่ง หากตระกูลซูจะทำอะไรตน อย่างน้อยพวกเขาจะต้องคิดให้ดีเสียก่อนว่าตระกูลซูจะสามารถทนรับผลกระทบที่ตามมาจากการทำร้ายคนของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้หรือไม่

“พี่ใหญ่เป่ยเหิง การที่ท่านนับข้าเป็นพี่เป็นน้องนั้นถือเป็นเกียรติต่อข้าอย่างยิ่ง แต่ท่านไม่จำเป็นต้องสร้างตำหนักให้ข้าหรอก” เฉินซีสีหน้าเคร่งขรึม “ขณะนี้ระดับการบ่มเพาะของข้ายังน้อยนิด มันย่อมไม่สมควรที่จะได้รับความเอื้อเฟื้อมากมายเกินตัว”

“น้องเล็ก เจ้ากังวลล่ะสิว่าจะถูกตำหนิจากคนรอบข้าง” เป่ยเหิงส่ายหน้าพลางยิ้มตอบ จากนั้นจึงกล่าวด้วยท่าทางภาคภูมิใจว่า “ข้า…เป่ยเหิงเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในเมืองทะเลสาบมังกร ไม่ว่าจะอย่างไร การฉลองให้กับน้องชายที่ข้ายอมรับนั้นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ถ้าใครรับไม่ได้เท่ากับไม่ให้เกียรติเราสองพี่น้อง และข้า…เป่ยเหิง จะสั่งสอนให้มันผู้นั้นให้เข้าใจว่าเมื่อมีคนบังอาจมาคุกคามพี่น้องของข้าจะเป็นอย่างไร!” เจตนาสังหารอย่างชัดแจ้งแฝงมาในคำพูดของเป่ยเหิงทุกคำ

แน่นอนเฉินซีเข้าใจถึงน้ำหนักของคำพูดเหล่านี้เป็นอย่างดี ในฐานะบรรพจารย์สูงสุดของนิกายทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งเมืองทะเลสาบมังกร สถานะอันสูงส่งรวมทั้งความแข็งแกร่งที่ลึกล้ำอย่างยิ่งของเป่ยเหิงเป็นสิ่งที่ยากจะหาใครมาเทียบเทียมได้ ฉะนั้นคำพูดอหังการที่เอ่ยออกมาจึงหาใช่เรื่องเกินจริงแม้แต่น้อย

“แต่ข้ารู้สึกว่าการทำอะไรโดยที่ไม่เป็นจุดสนใจนั้นจะดีกว่านะพี่ใหญ่” เฉินซียิ้มน้อย ๆ ต้นไม้ใหญ่ย่อมต้านลม เขาไม่สามารถรับการปกป้องจากเป่ยเหิงไปได้ตลอด ดังนั้นจะเป็นการดีหากทำให้ถูกคนอื่นอิจฉาน้อยลง

สิ่งที่สำคัญที่สุด เฉินซีไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนอ่อนแอ คนทุกคนมีทางเดินของตัวเอง หากเขาคอยแต่อาศัยการหนุนหลังจากความแข็งแกร่งของเป่ยเหิงอยู่ร่ำไป เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับศิษย์ไม่เอาถ่านของพวกนิกายใหญ่ใช่หรือไม่

การพึ่งพาอำนาจของผู้อื่นเป็นเพียงกลยุทธ์สุดท้าย ความแข็งแกร่งของตัวเองเป็นหลักประกันการอยู่รอดที่แข็งแกร่งที่สุด!

“ในเมื่อน้องเล็กดื้อรั้นเช่นนี้ ข้าจำต้องยอมแต่โดยดี แต่เจ้าห้ามปฏิเสธของที่ข้าจะมอบให้แก่เจ้าก็แล้วกัน” เป่ยเหิงผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายมีหรือที่จะไม่ล่วงรู้ความคิดของเฉินซี ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกชื่นชมในตัวชายหนุ่มตรงหน้ามากขึ้น อันที่จริงสาเหตุที่เขาลดตัวลงมาสร้างสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับเฉินซีเป็นเพราะสตรีผู้งดงามลึกลับนั่นต่างหาก เพราะเขาหวังว่าจะได้สร้างความสัมพันธ์อันดีผ่านทางเฉินซี

ส่วนตัวของเฉินซีนั้น ในสายตาของเขาเป็นแค่เพียงคนกลางเท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญมากเท่าใด แต่แล้วเมื่อได้เห็นการกระทำอันหนักแน่นของชายหนุ่ม เป่ยเหิงจึงพบว่าที่ผ่านมาตนคงประเมินสหายน้อยคนนี้ต่ำไปเสียแล้ว ความรู้สึกนึกคิดของเขาพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว

“เช่นนี้ดีแล้ว ๆ” เฉินซีตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ฮ่า ๆ! มา ๆ! วันนี้ข้ามีความสุขที่สุด เราสองพี่น้องมาดื่มกันให้เต็มที่ ถ้าไม่เมาห้ามกลับ” ว่าแล้วเป่ยเหิงก็จับแขนเฉินซีไว้ ทันใดนั้นร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากศาลาใจกลางทะเลสาบและทะยานตรงไปที่ริมฝั่งทะเลสาบ