ตอนที่ 259 โดนเหยียดหยาม

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 259 โดนเหยียดหยาม

ฮูหยินผู้เฒ่าชี้ไปข้างหน้า จินหลิงที่มิรู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไรก็ยืนถือกระดานไม้ในมือแล้ว ในกระดานนั้นเต็มไปด้วยตะปู ภายใต้แสงสว่างจึงทำให้เห็นมันเปล่งแสงวาววับ

เมื่อหลี่ซื่อได้เห็นแผงตะปูสีเงินวาววับจึงอุทานออกมาด้วยความกลัว

ตอนนี้อันอิงเฉิงหน้าเปลี่ยนสีแล้ว เขาออกมายืนบังหลี่ซื่อเอาไว้ทันที “ท่านแม่ ร่างกายของหลี่ซื่ออ่อนแอยิ่งนัก นางมิอาจแบกรับการลงโทษเช่นนี้ได้ขอรับ”

“เช่นนั้นเจ้าก็ปลดนาง หากนางมิใช่คนของจวนเราแล้ว แม่ก็มิสามารถลงโทษนางได้แน่นอน” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูเคร่งขรึมขณะที่จ้องอันอิงเฉิง

สองตัวเลือกนี้ มิว่าเลือกอย่างใดก็มิดีทั้งนั้น เว่ยซื่อมิอาจซ่อนความดีใจเอาไว้ได้อีก แต่อันหลิงเกอถอนหายใจเล็กน้อย

เป็นอย่างที่นางคาดไว้มิผิด แม้หลี่อี๋เหนียงเป็นคนทำร้ายฮูหยินผู้เฒ่า แต่หากมิมีหลักฐานแน่นหนาและมิได้รับคำสารภาพจากปาก ท่านพ่อก็ยังเอ็นดูเห็นใจต่อไปและย่อมคิดว่าหลี่อี๋เหนียงได้รับความลำบากอย่างหนัก

ความผูกพันนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลานาน อีกทั้งหลี่ซื่อยังมีท่าทีเมตตากรุณามาโดยตลอด อันอิงเฉิงจึงเปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางเพียงวันเดียวมิได้แน่นอน

อันอิงเฉิงกำลังลำบากใจ พลันได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “หลี่ซื่อ เจ้าเลือกมาว่าจักโดนปลดออกจากตระกูลนี้หรือจักเดินผ่านมันไป ? ”

กระดานตะปูกว้างประมาณเก้าอี้ไม้กลมเท่านั้น แต่มิให้เดินผ่านมันไปแบบปกติเพราะต้องวางกระดานตะปูไว้บนพื้นเพื่อให้คนกลิ้งผ่านไปหนึ่งรอบ

หลี่ซื่อหน้าซีดเผือด มือทั้งสองข้างสั่นมิหยุด

ด้านหนึ่งคือความกลัว อีกด้านหนึ่งคือความโกรธ

ฮูหยินผู้เฒ่าให้ทางเลือกสองทางแก่นาง นี่ถือเป็นการจงใจเหยียดหยามนางโดยเฉพาะ

หากนางเลือกโดนปลดออกจากจวนย่อมต้องกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่นแล้วจักใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ?

หากนางเลือกกลิ้งไปบนตะปูก็ย่อมเสียหน้าต่ออันหลิงเกอและเว่ยซื่อ

มิว่าเลือกทางใด นางก็โดนเหยียดหยามทั้งนั้น !

ใครใช้ให้นางเก็บกวาดเรื่องมิสะอาดจนโดนอันหลิงเกอพบร่องรอยเหล่านั้นได้เล่า ?

ทั้งสองตัวเลือกนี้ แม้นางมิอยากเลือกก็ต้องเลือก!

หลี่ซื่อสูดหายใจเข้าลึกและค่อย ๆ เดินไปทางจินหลิง

“ข้าจักผ่านมัน”

สีหน้าของนางดูแน่วแน่ ตอนจักนอนลงไปก็ยังมิวายหันไปมองอันอิงเฉิงด้วยสายตาซับซ้อน

อันอิงเฉิงรู้สึกหวั่นไหวในใจ ยังมิทันได้รั้งนางไว้ก็เห็นอีกฝ่ายนอนลงไปบนนั้นแล้ว นางใช้ร่างกายที่ผอมบางกลิ้งไปบนแผ่นตะปู บนเสื้อเต็มไปด้วยร่องรอยของคราบโลหิต

“หรูเสวี่ย!” อันอิงเฉิงเรียกชื่อของหลี่ซื่อออกมาด้วยความร้อนรนแล้วรีบเดินไปอยู่ข้างนางทันที

เขาอยากอุ้มนางขึ้นมา แต่พอสัมผัสโดนตัวก็ได้ยินนางร้องเจ็บปวดออกมา เห็นได้ชัดว่าสัมผัสโดนแผล

สายตาของอันอิงเฉิงเต็มไปด้วยความเจ็บใจ เขารีบปล่อยมือมิกล้าไปสัมผัสอีก เพียงหันไปสั่งสาวใช้ด้านข้าง “ยังมิรีบไปตามหมอมาอีก ! ”

ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ห้ามอันอิงเฉิง นางเพียงต้องการลงโทษหลี่ซื่อและมิได้อยากให้ถึงขั้นตาย

หากหลี่ซื่อสิ้นใจในจวนนี้จริง หลี่กุ้ยเฟยต้องมิยอมปล่อยไปโดยง่าย

แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิกลัวหลี่กุ้ยเฟย แต่ก็กังวลว่าอีกฝ่ายจักใช้ข้ออ้างนี้ทูลร้องเรียนต่อฮ่องเต้ ถึงตอนนั้นแล้วฮ่องเต้ต้องโกรธอันอิงเฉิงมาก นี่มิใช่สิ่งที่นางต้องการเห็น

เว่ยซื่อเห็นหลี่ซื่อมีคราบโลหิตอยู่เต็มตัว แววตาจึงมีประกายดีใจแล่นผ่าน

ในที่สุดสวรรค์ก็ยุติธรรม หลี่ซื่อวางอำนาจมานานนัก ตอนนี้ต้องทุกข์ทนบ้างแล้ว

สายตานางเต็มไปด้วยความชอบใจ หลี่ซื่อก็รับรู้ได้จึงจ้องกลับด้วยสายตาเกลียดชัง

ครั้งนี้นางพลาดไป เดิมทีนึกว่าสามารถกำจัดอันหลิงเกอและฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นหนามยอกอกทิ้งได้ มิคิดว่าตนจักลำบากเสียเอง นอกจากเสียแผนแล้วยังถูกผู้อื่นเหยียดหยามอีก !

แม้แต่เว่ยซื่อ บ่าวที่ต่ำต้อยยังกล้าเยาะเย้ยนาง นี่มิใช่สุนัขอาศัยอำนาจเจ้าของหรอกหรือ!

หลี่ซื่อที่มีแต่ความเกลียดชังในใจยังมิรู้ว่าหากไร้หลี่กุ้ยเฟยเป็นที่พึ่งพิง แค่เรื่องลอบทำร้ายฮูหยินผู้เฒ่านี้ก็จักสามารถลงโทษนางถึงตายได้

พอกล่าวจากมุมนี้แล้ว หลี่ซื่อเองก็เป็นสุนัขที่พึ่งพิงอำนาจเจ้านายเช่นกัน

อันหลิงเกอมองสาวใช้ที่พยุงหลี่ซื่อไปนั่งเก้าอี้ก็พบว่าอีกฝ่ายเจ็บจนปากซีดและตัวสั่นไปหมด

ฮูหยินผู้เฒ่าหมดความอดทนที่จักดูหลี่ซื่อทำแผลต่อ นางมองอันหลิงเกอและโบกมือเรียก “เกอเอ๋อ เจ้ามานี่ ข้ารู้สึกมิค่อยสบาย เจ้าเขียนใบสั่งยาให้ข้าสักสองชุดแล้วกัน”

นางอยากให้อันหลิงเกอออกไป อันหลิงเกอยกยิ้มมุมปากแล้วพยักหน้าพร้อมส่งฮูหยินผู้เฒ่าไปพักผ่อนที่ห้อง

เมื่ออันหลิงเกอออกมาจากในห้อง ป้าซุนและหม่าห่าวก็มิอยู่แล้ว น่าจักถูกสั่งให้ถอยไปก่อน

อันอิงเฉิง เว่ยซื่อและคนอื่นๆ ก็ออกไปหมดแล้ว แม้กระทั่งหลี่ซื่อก็ถูกสาวใช้ประคองกลับเรือนไปเช่นกัน

อันหลิงเกอจึงกลับเรือนฉีอู๋ซึ่งหมิงซินและปี้จูได้รออยู่ที่นั่นแล้ว

“คุณหนูใหญ่ เกิดอันใดขึ้นกับฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ? ”

เมื่อครูสาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่ามาเรียกคุณหนูไปเรือนชิงเฟิง เพียงบอกว่าเกิดเรื่องกับฮูหยินผู้เฒ่าแต่มิได้บอกว่าเป็นเรื่องอันใด

ปี้จูเห็นอันหลิงเกอกลับมาจึงอยากรู้อยากเห็นมิได้ นางเอ่ยถามตามตรง

อันหลิงเกอส่งสัญญาณให้นางสองคนกลับไปสนทนาในเรือน เมื่อเห็นหมิงซินปิดหน้าต่าง นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านย่าถูกพิษ”

ยาพิษน่ะหรือ ?

หมิงซินและปี้จูสบตากันทีหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและมิอยากเชื่อ

อาหารและชาต่าง ๆ ในจวนนี้ถูกคัดกรองอย่างเข้มงวด เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจึงโดนพิษ ?

หมิงซินคิดได้ลึกซึ้งกว่านั้น เพียงครู่เดียวก็สามารถคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้ “เพราะมีคนวางยาพิษฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่เจ้าคะ ? ”

เพราะเหตุนี้เรื่องฮูหยินผู้เฒ่าโดนพิษจึงสามารถอธิบายได้

อันหลิงเกอพยักหน้า ดวงตาดูลึกล้ำไร้ขอบเขต “ถูกต้อง มีคนเปลี่ยนตัวยาในน้ำซุปของท่านย่าจากเปลือกส้มเป็นขมิ้น ท่านย่าจึงโดนพิษ”

“แล้วฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ ? ”

ปี้จูถอนหายใจเพราะน้ำซุปนั้นเป็นคุณหนูเขียนใบสั่งยาให้ หากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอันใดไป คงต้องเกี่ยวพันมาถึงคุณหนูของพวกนาง

“ข้าไปได้ทันเวลา พิษในร่างกายของท่านย่าจึงมิได้กระจายไปทั่วร่าง หากอาเจียนออกมาก็มิเป็นอันใดแล้ว เพียงแต่นางอายุมากและเมื่อเจอเรื่องเช่นนี้ร่างกายจึงเสื่อมโทรมไปมิน้อย”

อันหลิงเกอเล่าเหตุการณ์พร้อมแววตาที่ดูเย็นชาราวน้ำแข็ง นางได้เล่นเล่ห์กับสุนัขของป้าซุนทำให้สุนัขตัวนั้นไล่ตามหลี่อี๋เหนียงมิปล่อย

แต่นางรู้จักหลี่อี๋เหนียงดี เรื่องนี้ต้องเกิดจากอีกฝ่ายแน่นอนอยู่แล้ว มิเช่นนั้นต่อให้หลี่อี๋เหนียงตายก็มิยินยอมรับการลงโทษเด็ดขาด

อยากทำร้ายข้าก็มิว่า เหตุใดต้องทำร้ายท่านย่าด้วย เพราะหวังโยนความผิดมาที่ข้าหรือ ?