บทที่ 357 คนสำคัญ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 357 คนสำคัญ (1)

กลุ่มคนเดินตามทางเชื่อมลงไปยังชั้นใต้ดิน ทิศทางลาดเอียงลงล่างตั้งแต่เริ่ม จนกระทั่งทำมุมเอียงเกือบเจ็ดสิบองศาในภายหลัง

เดินทางเกือบหนึ่งชั่วก้านธูป แล้วเลี้ยวโค้งครั้งหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นแสงสีขาวจากด้านหน้าทางเชื่อม หลังจากเดินเข้าหาแสงสีขาวอีกสิบกว่าอึดใจ อยู่ๆ จางซงฮุยก็หยุดฝีเท้าลง

“ทุกคนรอเดี๋ยว” เขายกมือขึ้น “เดี๋ยวจะเจอสัตว์เทพเฝ้าประตู อย่าได้ตื่นตกใจ”

หึหึ

สตรีกระโปรงแดงคนนั้นส่งเสียงหัวเราะอย่างไร้เหตุผล ไม่ทราบว่าตลกที่จางซงฮุยทำท่าตื่นตูมหรืออะไร

จางซงฮุยไม่ได้ว่าอะไร ทำเป็นไม่ได้ยิน จากนั้นก็ยกมือขึ้นวาดเป็นรอยตราเรียบง่ายสองสามขีดกลางอากาศด้านหน้า

ครืน…!

เกิดเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ถ้ำสีดำครึ่งวงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าหมี่ค่อยๆ งอกขึ้นมาจากด้านหน้าทางเชื่อม

ด้านในถ้ำที่มืดมิด พลันมีแสงสีทองจุดหนึ่งสว่างขึ้น นั่นเป็นไฟสีทองขนาดเท่ากำปั้น

ไฟสีทองค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น มันกว้างและยาวขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ระเบิดเสียงดังลั่น แล้วกลายเป็นประตูใหญ่สีทองทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสบานหนึ่ง

เศษอัญมณีนับไม่ถ้วนฝังอยู่เต็มประตู อัญมณีเจ็ดสีตรงกลาง กลายเป็นใบหน้าขนาดใหญ่ซึ่งกำลังจ้องมองกลุ่มคนด้านหน้าประตูอย่างเงียบๆ

ซือ…

ด้านบนประตูสีทอง งูหลามสีทองขนาดยักษ์ที่มีหน้าเป็นมนุษย์ตัวหนึ่งค่อยๆ เลื้อยจากด้านในเปลวไฟสีทองลงมาตามบานประตู ใบหน้ามนุษย์บนตัวงูหลามยักษ์เป็นสตรีงดงามที่ไว้ผมยาวสีทอง นางลืมตาสีทองสองข้างพลางกวาดมองพวกจางซงฮุยเงียบๆ

“เข้าไปเถอะ” งูยักษ์หน้ามนุษย์เอ่ยปากช้าๆ หลังพูดจบก็เกิดเสียงโลหะกระทบกัน บาดหูเป็นอย่างยิ่ง

“ขอบคุณใต้เท้ามาก” จางซงฮุยก้มหน้าคำนับอย่างนอบน้อม คนที่เหลือรวมถึงบุรุษสตรีที่ก่อนหน้านี้คุยโวว่าตนเองมีเงินพากันคารวะตาม ดูจากสีหน้าของพวกเขา แสดงให้เห็นว่าทราบเบื้องหลังของงูตรงหน้าอยู่แล้ว

ลู่เซิ่งกลับพิจารณางูยักษ์หน้าคนตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ จากนั้นค่อยก้มหน้าคารวะ

ครึ่กๆ

ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นวังวนสีทองด้านใน

“จินตนาการว่าตนเองเข้าไปก็พอ” เขากำชับเสียงเบา

ทุกคนต่างเข้าใจ พากันก้าวไปด้านหน้า แล้วกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งเข้าหาวังวนในประตู

พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ลู่เซิ่งก็พบว่าตนเองยืนอยู่ในห้องแคบๆ ที่ติดผ้าแขวนผนังสีฟ้า

ด้านข้างมีกลุ่มคนที่เข้ามาด้วยกันยืนอยู่

จางซงฮุยยืนอยู่ด้านหน้าสุด กำลังหันกลับมาด้านนี้

“หากได้สติแล้วก็รบกวนออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นจะไปขวางคนอื่นๆ ที่เข้ามาทีหลัง” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม

พวกเขาค่อยได้สติ พากันเดินออกไปจากห้องแยก

ลู่เซิ่งหันไปกวาดตามอง ห้องแยกที่เข้ามาจัดเรียงต่อกันไปเกือบสิบกว่าห้องเหมือนกับห้องลองเสื้อ ห้องแยกเหล่านี้ตั้งอยู่ในโถงเล็กๆ สีทองที่ใหญ่กว่า ด้านในโถงเล็กมีซุ้มประตูขนาดใหญ่ ผนังสามด้านที่เหลือล้วนมีห้องแยกแบบนี้

พวกเขาเพียงแค่เดินออกมาจากห้องหนึ่งในนี้ ห้องแยกที่เหลือมีคนเข้าออกเป็นบางครั้ง

“ตอนนี้จะพาทุกคนไปดูรอบๆ ที่ผลึกใจกลางมีแผนที่ของที่นี่ ทุกคนสามารถตรวจสอบที่อยู่ของตัวเองได้ตามใจ ยังมี…” จางซงฮุยยังพูดไม่จบก็ถูกสตรีกระโปรงแดงตัดบท

“พอแล้วๆ ข้ามีคนมารับ ขอตัวไปก่อน” นางพูดจบก็เดินออกจากโถงเล็กโดยไม่สนใจใคร

คนที่เหลือบอกลาเช่นกัน ต่างอ้างว่าตนเองมีคนมารับ

ไม่นานก็เหลือแค่ลู่เซิ่งกับจางซงฮุย

จางซงฮุยยักไหล่อย่างจนปัญญา ก่อนมองลู่เซิ่ง

“อย่ามองข้า ข้าไม่มีใครมารับ” ลู่เซิ่งยิ้ม

“ได้ ข้ารับหน้าที่ต้อนรับคนในเรือนด้านในมาสิบกว่าเที่ยวแล้ว คนที่ให้ข้าพูดจนจบมีน้อยจริงๆ” จางซงฮุยยิ้มเช่นกัน

“เจ้าเพิ่งมาถึงเรือนด้านใน ข้าจะพาเจ้าไปยังที่พักที่จัดให้ก่อน สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินหนึ่งเดือน เดือนหน้าต้องจ่ายเงิน ขอบอกเจ้าตามตรง ในเรือนด้านในแห่งนี้ ทองคำมารอยู่อันดับหนึ่ง อื่นๆ ล้วนอยู่รองลงไป”

“เข้าใจแล้ว…” ลู่เซิ่งพยักหน้า “เรือนด้านในแห่งนี้จุคนได้กี่คนหรือ”

“ไม่ทราบ ไม่เคยทำสถิติมาก่อน คงจะมีมากกว่าพันคนกระมัง” จางซงฮุยครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ “เป็นเพราะทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งจะมีคนถูกคัดทิ้ง และมีคนเข้าร่วมตลอดเวลา จึงไม่มีใครบอกจำนวนคนอย่างชัดเจนได้”

“สำนักพันอาทิตย์ทั้งหมดล้วนต้องการเงินแบบนี้หรือ” ลู่เซิ่งอดถามคำถามนี้ไม่ได้

“ที่อื่นยังดี แม้จะอยากได้เงินเหมือนกัน แต่ไม่ได้หนักเท่าจังหวัดไร้เหมันต์ บรรยากาศดีกว่าเยอะ” จางซงฮุยกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าอย่าได้แค้นเคืองเลยนะ ในเมื่อเข้ามาสำนักพันอาทิตย์แล้ว ก็สมควรรู้ว่าบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักพันอาทิตย์ในตอนแรกสุดเป็นพ่อค้า การที่มีสถานการณ์แบบนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล”

“ตกลง…” ลู่เซิ่งหมดคำพูด

“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปลงทะเบียนจัดหาที่พัก”

จางซงฮุยพาลู่เซิ่งออกจากโถงเล็ก

นอกประตูเป็นห้องสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนกับยืนอยู่ในห้องเรียนสีขาวขนาดยักษ์ที่ขยายส่วนขึ้นหลายร้อยเท่า ส่วนยอดเป็นหลังคากึ่งทรงกลมสีขาว ตรงกลางฝังดวงแสงสีทองซึ่งกำลังปล่อยแสงที่อ่อนโยนและสว่างไสวออกมา

ด้านล่างเป็นสิ่งก่อสร้างสีขาวหลากหลายรูปแบบที่สูงต่ำไม่เท่ากัน บางครั้งก็มีอาคารสีทองอ่อนแทรกตัวอยู่หลายหลัง

ทั้งสองออกจากโถงเล็กมายังลานกว้าง แล้วเดินไปถึงด้านหน้าผลึกโปร่งแสง รูปดาวหกแฉกที่อยู่ตรงกลางลาน

ผลึกมีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าหมี่ วางอยู่บนพื้น ด้านในกะพริบแสงสีทองอ่อนๆ มุมทั้งหกมีอักขระปรากฏแวบขึ้นเป็นระยะ

บนลานกว้างนอกจากคนบางส่วนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผลึกแล้ว ที่เหลือล้วนมองไม่เห็นเงาคน เพียงเห็นลำแสงจากของขลังหลายสายพุ่งผ่านท้องฟ้าไปเป็นระยะ หรือไม่ก็เงาลวงที่ว่องไวถึงขีดสุดจำนวนหนึ่งที่พุ่งผ่านลานและหายเข้าไปในระหว่างสิ่งก่อสร้างในไม่กี่ชั่วพริบตา

จางซงฮุยยืนอยู่หน้าผลึก เขียนตัวอักษรลงบนมุมหนึ่ง ไม่นานนักก็ใส่ข้อมูลของลู่เซิ่งเข้าไปแล้วเสร็จ

“เอาล่ะ นี่เป็นที่อยู่ที่เบื้องบนจัดสรรให้ เจ้าเก็บไว้ให้ดี” ไม่นานเขาก็หยิบก้อนผลึกขนาดเท่ากำปั้นมายัดใส่มือลู่เซิ่ง

“อยู่ที่เรือนด้านใน ใช้สิ่งนี้ดำรงชีวิต อย่าได้ทำหาย”

“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า

“อย่างนั้นถ้ามีโอกาสค่อยพบกันใหม่ ข้าขอตัว” จางซงฮุยไม่รอลู่เซิ่งกล่าววาจา ก็หมุนตัวเร่งฝีเท้าจากไป

ลู่เซิ่งมองตามจนเขาจากไปโดยที่มือถือก้อนนผลึกเอาไว้ จากนั้นค่อยพิจารณาของสิ่งนี้อย่างละเอียดว่าใช้อย่างไร

เขาใส่ปราณจริงแท้เข้าไป ก้อนผลึกพลันค่อยๆ เรืองแสง เส้นสีทองเส้นหนึ่งที่เหมือนกับแมลงลอยออกมาจากด้านใน แล้วชี้ไปด้านหน้าทางขวา

เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าสิ่งนี้ใช้อย่างไร

เขาถือก้อนผลึกเดินตัดลานกว้าง จากนั้นก็เตร็ดเตร่อยู่บนถนนที่อ้างว้างสักพักหนึ่ง

ที่นี่เหมือนกับเรือนด้านนอกตรงที่ด้านนอกไม่พบคนเยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ก้าวเดินอย่างเร่งรีบ ก็มีใบหน้ากระสับกระส่าย

สถานที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับเรือนด้านนอกที่อยู่บนพื้นดิน นอกจากสิ่งก่อสร้างที่สีไม่เหมือนกัน และดวงแสงสีทองที่อยู่บนส่วนยอดซึ่งหายากอยู่บ้างแล้ว ที่เหลือก็ไม่ต่างจากตอนกลางวันบนพื้นดินนัก ลู่เซิ่งที่ถือก้อนผลึกเอาไว้เจอเรือนที่พักอาศัยที่ตนเองได้รับการจัดสรรให้อย่างรวดเร็ว

มันเป็นลานเรือนสี่ประสานที่กว้างใหญ่สุดเปรียบปาน ห้องของเขาอยู่ในเรือนลำดับที่หกสิบเจ็ด ไม่มีคนมาต้อนรับและไม่มีคนอธิบาย คล้ายกับทุกอย่างต้องคลำทางเอาเอง

เพิ่งจะเข้ามาในตัวเรือน สิ่งที่ลู่เซิ่งเห็นเป็นอันดับแรกก็คือป้ายประกาศที่อยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่

ด้านบนติดใบไม้สีดำหลากหลายรูปแบบเอาไว้แน่นขนัด ใบไม้แต่ละใบยาวเท่าแขนท่อนปลาย ทั้งยังเขียนเนื้อหาประกาศอันหลากหลายเอาไว้อย่างละเอียด

ผู้อาวุโสคนไหนออกจากการกักตนมาสอนหนังสือ โรงเก็บวิชาลับมีนิทรรศการวิชาลับวิชาใหม่วันไหน ลานฝึกวิญญาณบันทึกเนื้อหาของสิ่งมีชีวิตในโลกด้านนอกตัวไหนเข้าไปใหม่

ลู่เซิ่งยื่นมือไปเด็ดใบไม้ใบหนึ่งลงมา แล้วทดสอบคุณสมบัติของมันดู แม้จะหักไปหักมาแต่ใบไม้กลับไม่ขาด

‘ที่นี่น่าสนใจอยู่บ้าง’ เขาฉีกยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงแสงสีทองที่อยู่เหนือศีรษะ

ในการรับรู้ของเขา ความจริงแล้วดวงแสงนั้นไม่ใช่ดวงแสงส่องสว่าง หากเป็นก้อนสารกายขนาดมึหมา

สารกายสีขาวทั่วฟ้าด้านล่างลอยขึ้นไปเหมือนเส้นด้าย จากนั้นก็มุดเข้าไปในก้อนแสงอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะปล่อยสารกายสีทองหลายสายที่มีปริมาณน้อยออกมาตอบแทน แล้วพากันตกกระจายลงมา

‘เป็นค่ายกลที่ร้ายกาจมาก…’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก สัมผัสได้ว่าสารกายที่กระจายอยู่ในอากาศบริสุทธิ์ถึงขีดสุด แม้จะเข้มข้นไม่เท่าเขตถ่ายทอดความลับ แต่กลับบริสุทธิ์มากกว่า ไม่มีสารเจือปน อีกทั้งเวลาดูดซับก็มีความเร็วมากกว่าด้วย

และเขาก็สังเกตเห็นว่าสารกายสีทองที่กระจายลงมาจากดวงแสงจะมีที่พักหรือสิ่งก่อสร้างที่จับคู่กัน ไม่กระจายไปยังสถานที่อื่น

‘อธิบายได้พอดีว่าทำไมที่อยู่ยังต้องเก็บเงิน’ เขาพลันกระจ่างแจ้ง

หลังเข้าไปในเรือน เขาก็เจอห้องที่ตนเองได้รับการจัดสรรให้ ตามทิศทางด้านในก้อนผลึกที่ถืออยู่ ห้องไม่มีกุญแจ เพียงใช้ก้อนผลึกแตะเบาๆ ก็ค่อยๆ เปิดออก

ลู่เซิ่งไม่กล้าเสียเวลา หลังจากเข้าไป เขาก็ลงสลักและเปิดม่านหน้าต่าง จากนั้นก็ตรวจสอบทุกๆ มุมในห้อง ครั้นยืนยันได้ว่าไม่มีปัญหา ก็นั่งขัดสมาธิบนตั่งพร้อมกับเริ่มท่องนามของอาจารย์เพื่อเชื่อมต่อกับเขตถ่ายทอดความลับ

ซู้ด…

ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น แล้วกวาดตามองสภาพแวดล้อมรอบๆ เขายังอยู่ด้านในถ้ำชั้นใต้ดินของซูหนิงเฟยผู้เป็นอาจารย์

ซูหนิงเฟยไม่อยู่ ด้านในถ้ำมีแท่นหินสีดำที่เหมือนกับแท่นบูชา ของบางส่วนวางอยู่บนนั้น

ลู่เซิ่งดินเข้าไปดู สิ่งของเป็นแผ่นหินสีเหลืองอ่อนซึ่งมีรอยดาบที่สับสนวุ่นวายจำนวนหนึ่ง

ข้างแผ่นหินสลักตัวอักษรตัวเล็กๆ ไว้ว่า ‘บรรลุแผ่นหิน สำเร็จอริยะเจ้า’

ลู่เซิ่งพลันเกิดความฉงน รู้ว่านี่คือคำชี้แนะในการเลื่อนสู่ระดับจ้าวแห่งมารที่ซูหนิงเฟยมอบให้ตน

‘สิ่งที่เราขาดในตอนนี้คือความแตกต่างในด้านสารกายกับจิตวิญญาณ อาจารย์รู้จุดนี้ แต่นางกลับทิ้งแผ่นหินนี้ไว้ให้เรา หมายความว่าสิ่งที่เขียนอยู่ด้านบนนี้สามารถยกระดับจิตวิญญาณของเราได้’ เขาเข้าใจ จากนั้นก็หยิบแผ่นหินที่ไม่มีรูปทรงขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด

ทว่าบนแผ่นหินนี้ไม่มีตัวอักษรและไม่มีคำใบ้สักอย่างเดียว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าซูหนิงเฟยผู้เป็นอาจารย์จะบอกใบ้เขาก็ต่อเมื่อเขาทำภารกิจสำเร็จแล้วเท่านั้น

ลู่เซิ่งวางแผ่นหินลงแล้วกวาดตามองสภาพแวดล้อมรอบๆ ถ้ำ รอบข้างเป็นผนังถ้ำที่ฝังอัญมณีสีเขียวสำหรับส่องสว่าง เหนือศีรษะมีผลึกก้อนใหญ่ติดอยู่ มันสาดแสงอาทิตย์สีทองอร่ามจากด้านนอกลงมาเป็นเสาแสงหลายต้น

เขาค้นบริเวณรอบๆ ดู ครั้นยืนยันได้ว่าไม่เจอประตูกับคำบอกใบ้ใหม่ๆ จึงค่อยกลับมาที่เดิมด้วยความจนปัญญา แล้วถือโอกาสนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาแผ่นหินพร้อมทั้งใคร่ครวญ

‘จ้าวแห่งมารหรืออริยะเจ้า ระดับนี้ใกล้เคียงกับอาวุธเทพศัสตรามารโดยธรรมชาติ เป็นการยกระดับแก่นชีวิตของตัวเอง หากคิดจะไปให้ถึงขอบเขตนี้ กายเนื้อของเราไม่มีปัญหาแล้ว แม้ด้านจิตวิญญาณจะไม่พร้อม แต่ถ้าบรรลุแผ่นหินก้อนนี้ได้ล่ะก็…”

ลู่เซิ่งจ้องมองแผ่นหินพลางทำความเข้าใจรอยดาบด้านบนอย่างละเอียด แต่ดูอยู่นานก็ยังไม่ได้อะไร รอยดาบเหล่านี้ดูไม่ต่างจากรอยดาบธรรมดา เขาถึงขั้นสงสัยว่าเป็นแผ่นหินรอยดาบที่ซูหนิงเฟยจงใจทำขึ้นมาให้เขาดู

‘ดีปบลู’ เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา

……………………………………….